สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

whoscall แอพพลิเคชั่น ยุคใหม่ รู้ทันภัยมิจฉาชีพ

รู้ทันมิจฉาชีพ

ในยุคปัจจุบันนี้ มีมือถือ Android เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีผู้พัฒนากลุ่มหนึ่งได้พัฒนา แอพพลิเคชั่น ต่างๆ ขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบายให้กับมนุษย์มีส่วนลดส่วน 3 ไม่ว่าจะเป็น App สำหรับการโอนเงินและทำธุรกรรมอย่างแอปธนาคารต่างๆ App LINE ที่เอาไว้ส่งข้อความฟรี App Google แปลภาษาซึ่งเอาไว้แปลภาษาต่างๆ ที่เราไม่เข้าใจ และมีอีก 1 แอปที่ถูกพัฒนาเพื่อความปลอดภัยของตัวเรา ซึ่ง App นี้มีชื่อว่า whoscall ซึ่งเป็น แอพพลิเคชั่น ที่เอาไว้สำหรับเช็คว่าใครเป็นคนโทรหาเรา เพื่อความปลอดภัยของเรานั่นเอง ในทุกวันนี้ มีมิจฉาชีพมากมายใช้เบอร์แปลกๆ โทรหาเรา และในทุกๆ วันก็จะมีคนตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้เป็นจำนวนมาก แอพพลิเคชั่น นี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเบอร์โทรเหล่านี้โดยเฉพาะ ซึ่งผู้คนจำนวนมากก็ได้โหลด แอพพลิเคชั่นนี้ไว้ในมือถือทั้งระบบAndroid และiOSเพื่อใช้ในการเช็คเบอร์โทรต่างๆ หรือเช็คเบอร์แปลกๆ ที่โทรเข้ามาในมือถือของเราว่าเบอร์นี้เป็นเบอร์ของใคร และโทรมาจากสถานที่ไหน ซึ่ง แอพพลิเคชั่น whoscallจึงตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้มือถือหลายคนนั่นเอง แอพพลิเคชั่น นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ สร้างความปลอดภัยให้กับมือถือของเรามากยิ่งขึ้น และเป็น แอพพลิเคชั่น เดียวที่มีความนิยมสำหรับผู้คนหลากหลายกลุ่มไม่ว่าจะเป็น ประชาชนทั่วไป นักธุรกิจที่ต้องติดต่อประสานงานกับลูกค้าเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีเบอร์แปลกๆ เข้ามาในแต่ละวันแบบไม่หยุดหย่อน หรือแม้กระทั่งคนอื่นๆ ที่ใช้โทรศัพท์ในการติดต่อประสานงานเป็นหลัก ซึ่งจะพบว่ามีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามาไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน และเพื่อป้องกันการถูกหลอกจากมิจฉาชีพ แอพพลิเคชั่น นี้จึงถูกผลิตหรือสร้างขึ้นมาและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีระบบการป้องกันความปลอดภัยที่ทันสมัย และมีลูกเล่นที่มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น และถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับยุคสมัยในปัจจุบัน สำหรับในยุคปัจจุบันนี้ การก่อกำเนิดแอพพลิเคชั่นหรือสร้าง แอพพลิเคชั่นนั้น เป็นไปอย่างทันสมัยและมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นักพัฒนาจึงสร้าง แอพพลิเคชั่น ขึ้นมาหลากหลายและมากมาย แต่ถ้าถามว่า แอพพลิเคชั่น whoscallทำไมถึงเป็นที่นิยมสำหรับผู้คนมากนัก คำตอบก็คือ แอพพลิเคชั่น นี้เป็น แอพพลิเคชั่น ที่ถูกสร้างขึ้นมาในยุคแรกๆ ที่มือถือ Android ได้ถือกำเนิดขึ้น และมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นอย่างต่อเนื่องจนมีความปลอดภัยและมีลูกเล่นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นนอกจากการใช้งานแบบเดิมๆ

whoscall

whoscall ตอบโจทย์สำหรับใครบ้าง

whoscallตอบโจทย์สำหรับคนทุกกลุ่มที่ใช้มือถือระบบ Android และ iOS ซึ่ง แอพพลิเคชั่น นี้สามารถเช็คเบอร์มือถือว่าเป็นเบอร์แปลกที่โทรมาจากที่ไหนและเป็นเบอร์ของใคร อย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว และยังเป็น แอพพลิเคชั่น ยอดนิยมอันดับต้นๆ ของเมืองไทยอีกด้วย เพราะคนไทยร้อยละ 70% ก็จะใช้ App นี้กันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง App นี้จะครอบคลุมทุกฟังชั่นไม่ว่าจะเป็น ตรวจเช็คเบอร์ หาตำแหน่ง และอื่นๆ อีกมากมาย ผู้ที่สนใจสามารถโหลด App นี้ ได้ทาง Google Play บนมือถือ Android และ App Store บนมือถือระบบ iOS นั่นเอง

รู้ทันมิจฉาชีพ

ข้อดีของ แอพพลีเคชั่นwhoscall

whoscall มีข้อดีมากมายที่ตอบโจทย์สำหรับคนใช้มือถือระบบ iOS และ Android ข้อดีข้อแรกที่ทำให้ผู้ใช้เกิดความประทับใจนั่นก็คือ แอพพลิเคชั่น นี้ สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีผ่าน Google Play และ App Store บนมือถือระบบ iOS ข้อดีข้อต่อมาที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้ แอพพลิเคชั่น นี้นั่นก็คือ สามารถใช้งานได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งข้อดีในข้อนี้เป็นข้อดีที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนนิยมโหลดแอพพลิเคชั่นนี้มาไว้ในมือถือ นั่นเอง whoscall ก็ยังเป็นที่นิยมในยุคปัจจุบันอยู่ดี และทางผู้พัฒนาก็ยังพัฒนาลูกเล่นต่างๆ ในตัว แอพพลีเคชั่น อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้คนนิยมใช้กันเป็นจำนวนมากเพราะ แอพพลิเคชั่น whoscallก็ยังมี ความทันสมัยตามกาลเวลา และมีลูกเล่นต่างๆ มากมายทั้งลูกเล่นที่มีอยู่แล้ว และลูกเล่น ที่ ทางผู้พัฒนาได้อัพเดทออกมาให้กับผู้ใช้งานได้ทดลองเล่นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง whoscallเหมาะกับการใช้ในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ในปี 2022 นี้ มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพระบาด แอพพลีเคชั่น ตัวนี้จึงเป็นที่นิยมและมีผู้นำมาใช้กันมากขึ้น เพื่อเช็คเบอร์โทรแปลกๆ ที่โทรเข้ามาในมือถือของเรา แอพพลีเคชั่น นี้ ไม่ใช่แค่เพียงเป็นที่นิยมในหมู่ของผู้เล่นมือถือ Android และ iOS กลุ่มเล็กๆ เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ไม่ว่ามือถือเครื่องไหนก็มี แอพพลิเคชั่น นี้ติดเครื่องเอาไว้แล้ว เพื่อป้องกันภัยจากมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเภทต่างๆ ที่มาในหลากหลายรูปแบบนั่นเอง

วิธีการใช้ whoscall

whoscall มีวิธีการใช้ที่ไม่ยากเย็นมากนัก แถมในตัว แอพพลีเคชั่น ยังเป็นภาษาไทย จึงทำให้ผู้ที่ใช้ แอพพลีเคชั่น ตัวนี้เข้าใจง่ายและไม่มีความสงสัยไปอย่างไร ท่านสามารถศึกษาวิธีการใช้ แอพพลีเคชั่น นี้ได้ทาง YouTube และเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งวิธีการใช้จะมีอะไรนั้นเราไปดูกันเลย

เมื่อท่านติดตั้ง แอพพลีเคชั่น whoscallเรียบร้อยแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเปิด แอพพลิเคชั่น ทิ้งไว้ เพียงแค่มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามา ตัว แอพพลิเคชั่น ก็จัดแสดง Pop Up ขึ้นมาว่าเบอร์นี้เป็นเบอร์ของใคร ซึ่งชื่อเหล่านี้ก็จะเป็นชื่อที่ผู้ใช้คนอื่นๆ รายงานใส่ฐานข้อมูลมานั่นเอง

ซึ่งวิธีการใช้ แอพพลิเคชั่น whoscallก็มีเพียงเท่านี้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่หลายคนคิด ด้วยความที่วิธีการใช้ไม่ยุ่งยาก จึงทำให้ แอพพลิเคชั่น นี้เป็นที่นิยมสำหรับผู้ใช้หลายคน และเป็น แอพพลิเคชั่น ที่ติดอันดับใน แอพพลิเคชั่น ต่างๆ ที่ใช้ในการจับผิดเบอร์แปลกๆหรือใช้ในกรณีเอาไว้สำหรับตรวจสอบเบอร์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกด้วย

whoscall
ทำไมทุกคนต้องมีแอพพลิเคชั่น whoscall ติดมือถือเอาไว้

สาเหตุหลักๆ ที่คนไทยต้องใช้แอพพลิเคชั่น whoscallนั้นก็มีสาเหตุหลักๆ คือ ไม่ป้องกันเบอร์โทรแปลกๆ จากมิจฉาชีพที่โทรเข้ามาหลอกลวงหรือทำให้เรานั้นเกิดความเสียหายทั้งเวลาและทรัพย์สิน และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตัวของผู้ที่ใช้มือถือ Android มากยิ่งขึ้น และยังทำให้เรารู้ถึงกลโกงมิจฉาชีพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า แอพพลีเคชั่น นี้เป็น แอพพลิเคชั่น ที่มีการพัฒนาจากผู้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็น แอพพลิเคชั่น ที่เปิดให้ใช้บริการมาอย่างยาวนาน ด้วยระบบมือถือที่เป็นระบบ Android และ iOS ซึ่งสามารถจะรองรับ แอพพลิเคชั่น นี้ได้

แอพพลิเคชั่นนี้มีการพัฒนาตลอดเวลาและมีพื้นที่ที่ไม่มากจนเกินไปนัก โทรศัพท์มือถือ Android ที่มีหน่วยความจำหรือพื้นที่เก็บข้อมูลน้อยก็สามารถโหลด แอพพลิเคชั่น นี้มาใช้ได้ โดยที่ไม่เปลืองพื้นที่จัดเก็บแต่อย่างใด

นอกจากนี้ whoscall จะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีลูกเล่นที่มากมายหลากหลายยิ่งขึ้น และทำให้ผู้ที่ใช้งานไม่เบื่อกับการใช้งานในรูปแบบเดิมๆ อีกต่อไป และ

ในอนาคตอาจจะพัฒนาไปจนถึงขั้นที่ว่ามีความปลอดภัยสูงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ด้วยการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนและยุ่งยาก และใช้งานง่ายมีความสะดวกสบาย ไม่ต้องเปิด แอพพลิเคชั่น ทิ้งไว้ในขณะติดตั้ง จึงทำให้ มีผู้คนหันมาใช้บริการ แอพพลิเคชั่น นี้เป็นจำนวนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง เพราะ แอพพลิเคชั่น นี้ไม่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาจึงทำให้ไม่เปลืองแบตเตอรี่และไม่ทำให้มือถือเกิดความร้อน แอพพลิเคชั่น นี้จะทำงานก็ต่อเมื่อมีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามาเท่านั้น

ในตัวของ App มีวิธีการใช้งานที่ค่อนข้างง่ายและมีลูกเล่นที่ค่อนข้างเยอะ แถมตามมาด้วยความสะดวกสบายซึ่งมีมาให้แบบครบครัน จากนักพัฒนาที่มีฝีมือในการพัฒนา แอพพลิเคชั่น อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ แอพพลิเคชั่น whoscall เป็นที่นิยมสำหรับผู้คนทั้งกลุ่มน้อยและกลุ่มใหญ่ ประชาชนทั่วไป รวมไปถึงผู้ประกอบการต่างๆ ที่ต้องใช้โทรศัพท์ในการติดต่อประสานงานนั่นเอง และ แอพพลเคชั่น นี้จะเป็น แอพพลิเคชั่น ที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน

และwhoscallจะอยู่คู่กับคนไทยตลอดไปในอนาคตด้วยฝีมือการพัฒนาของนักพัฒนาที่ดี และทำให้แอพพลิเคชั่นมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเองการใช้แอพพลิเคชั่นนี้เป็นเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้ผู้คนมีความปลอดภัยจากมิจฉาชีพมากยิ่งขึ้น และมีความปลอดภัยจากไวรัสต่าง ๆ ที่มาตามสายโทรศัพท์อีกด้วย ก็ขอให้ทุกท่านหันมาใช้ แอพพลเคชั่น นี้เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับโทรศัพท์มือถือของเรา และยังสร้างความปลอดภัยให้ตัวท่านเองอีกด้วย

อ่านบทความ >> วิธีป้องกันการถูกแฮกข้อมูลจากแฮกเกอร์บนโลกออนไลน์

สนับสนุนโดย >> hilospec ไฮโลไทย ไฮโลออนไลน์ ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ มั่นคง ปลอดภัย 100% มาแรงที่สุดในปี 2022 https://hilospec.com

Categories
News Uncategorized วิธีดูแลรักษา สอนใช้

วิธีป้องกันการถูกแฮกข้อมูลจากแฮกเกอร์บนโลกออนไลน์

 

แฮกข้อมูล

 ต้องยอมรับเลยว่าทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็อาจถูกแฮกข้อมูลจากอาชญากรไซเบอร์ หรือ แฮกเกอร์บนโลกออนไลน์ได้ง่าย ๆ ขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงยังเคยโดนแฮกข้อมูลมาแล้วการ แฮกข้อมูล เป็นเปิดเผยหรือการละเมิดข้อมูลของบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของ ซึ่งการแฮกข้อมูลส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการถูกขโมยหมายเลขประกันสังคม หมายเลขบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิต ข้อมูลด้านสุขภาพส่วนบุคคล และรหัสผ่านต่าง ๆ การละเมิดข้อมูลของบุคคลอื่นสามารถเกิดขึ้นได้โดยเจตนาหรือโดยบังเอิญก็ได้ อย่างไรก็ตาม การป้องกันการโดนแฮกข้อมูลนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องใช้ความระมัดระวังและความสงสัยอยู่บ้าง ดังนั้นวันนี้เราจึงมีวิธีป้องกันการถูกแฮกข้อมูลจากแฮกเกอร์บนโลกออนไลน์มาแนะนำทุกคน 

วิธีป้องกันการถูก แฮกข้อมูล ที่ดีที่สุด

แฮกข้อมูล

อ้างอิงรูปภาพ

การละเมิดข้อมูลหรือการแฮกข้อมูลเกิดขึ้นจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ที่อนุญาตให้อาชญากรไซเบอร์เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายได้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือเข้าใจง่าย ๆ แฮกข้อมูล คือ การขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงินที่เป็นส่วนตัว ละเอียดอ่อน หรือเป็นความลับของบุคคลคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น  การแฮกบัญชีอีเมล หากมีคนได้รับรหัสผ่านอีเมลของคุณและลงชื่อเข้าใช้บัญชีของคุณ แสดงว่าคนนั้นละเมิดข้อมูลของคุณ แฮกเกอร์บนโลกออนไลน์อาจต้องการแฮกบัญชีธนาคารของคุณ เพื่อเข้าถึงข้อมูลบัตรเครดิต หมายเลขประกันสังคม หรือแม้แต่รหัสผ่านธนาคารออนไลน์ของคุณ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างมากต่อการเงินของคุณ ดังนั้นสำหรับบุคคลทั่วไปวิธีป้องกันการโดนแฮกข้อมูลที่ดีที่สุดก็คือการใช้รหัสผ่านที่รัดกุม สำรองข้อมูล และระวังการคลิกลิงก์ที่เข้าถึงเว็บแฮกข้อมูลต่าง ๆ 

การตั้งรหัสผ่านที่รัดกุมป้องกันการ แฮกข้อมูล

แฮกข้อมูล

อ้างอิงรูปภาพ

อย่างที่เราทราบกันดี เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะขอชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านสำหรับเข้าสู่ระบบ และเพื่อป้องกันการถูกแฮกข้อมูล การตั้งรหัสผ่านที่รัดกุมจึงถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้แฮกเกอร์คาดเดารหัสผ่านยากขึ้น โดยรหัสผ่านที่รัดกุมควรมีลักษณะดังนี้

  • รหัสผ่านที่ดีควรมีความยาวอย่างน้อย 12 อักขระ
  • ควรใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์
  • อย่าใช้คำหรือวลีทั่วไป เช่น “รหัสผ่าน” หรือรายละเอียดส่วนบุคคล เช่น วันเกิดของคุณ

หากคุณไม่รู้ว่าจะใช้รหัสผ่านไหนดี หรือกังวลว่าจะจำรหัสไม่ได้ เราขอแนะนำให้ใช้ตัวจัดการรหัสผ่านอย่าง LASTPASS ระบบนี้จะสร้างรหัสผ่านที่รัดกุมสำหรับบัญชีทั้งหมดของคุณ คุณสามารถป้อนรหัสผ่านโดยอัตโนมัติเมื่อคุณต้องการ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คุณรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัยได้โดยไม่จำเป็นต้องจำรหัสผ่านต่าง ๆ มากมาย นอกจากนี้คุณควรเปลี่ยนรหัสผ่านทั้งหมดของคุณในทุก 2-3 เดือน 

การสำรองข้อมูล

แฮกข้อมูล

อ้างอิงรูปภาพ

หากคุณมีข้อมูลที่จัดเก็บบนโลกออนไลน์ การวางแผนความปลอดภัยเชิงรุกอย่างการสำรองข้อมูลไว้ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันการถูกแฮกข้อมูล หรือป้องกันข้อมูลสูญหาย โดยการสำรองข้อมูลนั้นอาจหมายถึงการจับภาพหน้าจอ ดาวน์โหลดเอกสาร และย้ายข้อมูลไปยังฮาร์ดไดรฟ์ ยิ่งคุณมีข้อมูลสำรองมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ข้อมูลปลอดภัยจากการสูญหายมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้การอัปเดตอุปกรณ์ทั้งหมดของคุณ แม้กระทั่งเครื่องพิมพ์ เร้าเตอร์ WI-FI และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ ยิ่งช่วยทำให้คุณปลอดภัยจากภัยคุกคามใหม่ ๆ จากอาชญากรไซเบอร์ได้ 

รู้จักระมัดระวังและตั้งข้อสงสัย

ป้องกันการแฮก

อ้างอิงรูปภาพ

วิธีป้องกันการถูกแฮกข้อมูลที่สำคัญไม่แพ้การตั้งรหัสผ่านที่รัดกุม การสำรองข้อมูล และอัปเดตอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็คือความสงสัยในสามัญสำนึก หากคุณได้รับอีเมลขอให้ดาวน์โหลดไฟล์แนบจากคนที่คุณไม่รู้จัก คุณไม่ควรทำตามคำขอนั้น ซึ่งรวมถึงถ้าคุณได้รับข้อความที่ดูเหมือนมาจากธนาคารที่เตือนเกี่ยวกับการฉ้อโกงในบัญชีของคุณ หรือข้อความส่วนตัวจากเพื่อนที่ขอให้คุณคลิกลิงก์ คุณยิ่งต้องระวังอย่าหลงเชื่อคลิกลิงก์นั้นเด็ดขาดหากคุณยังไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจน เนื่องจากลิงก์นั้นอาจติดตั้งโปรแกรมแฮกข้อมูล เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของคุณ แนะนำให้ติดต่อธนาคารหรือเพื่อนของคุณโดยตรง หรือใครก็ตามที่อ้างว่ารู้จักคุณ และถามให้แน่ใจเสียก่อน

อ่านบทความ >> ปลุกตำนานให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งกับ Game & Watch เครื่องเกมในตำนานจาก Nintendo

สนับสนุนโดย >> ไฮโลไทย ไฮโลออนไลน์ ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ มั่นคง ปลอดภัย 100% มาแรงที่สุดในปี 2022 https://hilospec.com

Categories
News สอนใช้

กล่องฆ่าเชื้อโรค Philips ไอเทมดี ๆ ที่ต้องมีในปี 2022

กล่องฆ่าเชื้อโรค Philips

(https://uvcthailand.com/product/uvc-disinfection-mini-box-white-philips/

แนวคิดเกี่ยวกับกล่อง หรือตู้ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสนั้นมีมาอย่างยาวนาหลายสิบปี แต่ในช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไร ซึ่งอาจจะเกิดจากหลาย ๆ ปัจจัย และล่าสุดแนวคิดเหล่านี้ถูกดึงกลับมาพัฒนาใหม่อีกครั้งและ Philips เองก็ได้เปิดตัวสินค้าของตัวเองที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสออกมาหลายตัวด้วยกัน รวมไปถึง กล่องฆ่าเชือโรค Philips ที่เราจะนำมารีวิวให้กับทุกคนได้รู้จักกันในวันนี้ด้วย

กล่องฆ่าเชื้อโรค Philips

(https://www.bnn.in.th/th/p/philips-lighting-uv-c-disinfection-mini-box-green-8719514344846_zvl3mw

รีวิว กล่องฆ่าเชื้อโรค Philips กล่องจิ๋ว ๆ ที่พกไปไหนก็สะดวก

สำหรับสินค้าที่เราจะมารีวิวในวันนี้คือ กล่องฆ่าเชือโรค Philips ที่มีชื่อรุ่นว่า Philips Lighting UV-C Disinfection Mini Box ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีด้วยกัน ได้แก่ เขียว, ขาว และ ชมพู ซึ่งความพิเศษของรุ่นนี้คือมีขนาดที่เล็ก เหมาะกับคนที่ต้องเดินทางไกลบ่อย ๆ เป็นอย่างยิ่ง โดย UVC Philips รุ่นนี้มีขนาดเล็กเพียง 15.5 x 26.5 x 10.5 เซนติเมตรเท่านั้น อีกทั้งยังทำมาจาก Stainless steel ทั้งชิ้น ซึ่งแน่นอนว่าคุณสมบัติของวัสดุชนิดนี้นอกจากความคงทนแล้วยังมีน้ำหนักเบา ดังนั้นกล่องจึงมีน้ำหนักเบาเพียง 0.36 กิโลกรัมเท่านั้น

กล่องฆ่าเชื้อโรค Philips

(https://www.lighting.philips.it/consumer/p/disinfezione-uv-c-disinfection-box/8719514359222

ต่อมาคือฟังก์ชันการใช้งานและสเปคต่าง ๆ ของตัวเครื่อง โดยรุ่นนี้จะมาพร้อมหลอดไฟ UV – C ที่เป็นหลอด LED ขนาด 1 วัตต์ ที่ช่วยกำจัดเชื้อไวรัสได้สูงสุดถึง 99 % จำนวน 4 หลอด ซึ่งจะถูกติดตั้งอย่างสวยงามอยู่ภายในกล่อง นอกจากนี้เวลาในการทำงาน 1 ครั้งจะอยู่ที่ 8 นาที ซึ่งการสั่งการจะผู้สั่งผ่านปุ่มที่อยู่หน้ากล่องเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น

เพื่อให้คุณมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย หากฝาของกล่องปิดไม่สนิท หรือฝาถูกเปิดระหว่างที่กล่องกำลังทำงาน ไฟภายในกล่องจะดับลงทันที และที่สำคัญไปกว่านั้นคือทางทีม Philips ได้มุ่งมั่นพัฒนาและทดลองเทคโนโลยีชนิดนี้มามากกว่า 35 ปีเลยทีเดียว นอกไปจากนี้กล่องนี้ยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จะทั้งไฟบ้าน บนรถ และจากพาวเวอร์แบงค์ ซึ่งชาร์จได้ง่าย ๆ ด้วยสาย USB Type C ที่ในปัจจุบันก็หาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

กล่องฆ่าเชื้อโรค Philips

(https://blog.bnn.in.th/review-philips-uv-c-disinfection-mini-box/

ราคาของกล่องเพียงหลักพันต้น ๆ ที่สำคัญใช้ฆ่าเชื้อมือถือได้ด้วย

สำหรับ กล่องฆ่าเชื้อโรค Philips หรือ กล่องยับยั้งเชื้อโรค Philips รุ่นที่เรานำมารีวิวในวันนี้นั้น มีราคาอยู่ที่กล่องละ 1,590 บาทเท่านั้น และที่สำคัญแม้ว่าเราจะบอกว่ารุ่นนี้มีขนาดที่เล็กกะทัดรัดแต่ในความจริงแล้วกล่องสามารถใช้ฆ่าเชื้อจากทั้งแว่นตา, กุญแจรถ, เครื่องประดับ รวมไปถึงสมาร์ทโฟนที่มีขนาดใหญ่ ๆ ได้สบาย ๆ เลยทีเดียว ดังนั้น กล่อง UVC รุ่นนี้จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ลำโพง Marshall Willen ลำโพงลุ่นใหม่ล่าสุดจาก Marshall

เว็บ ตรง ไม่ ผ่าน เอเย่นต์

Categories
สอนใช้

VPN คือ? มีไว้เพื่ออะไร? พร้อมแนะนำ 3 ผู้ให้บริการ VPN ปี 2022

รีวิว Zyxel VPN2S ก้าวสู่ความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลไปอีกขั้นด้วยระบบ VPN  และ Load Balancing ในราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง - Pantip(https://pantip.com/topic/39284402

ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้เริ่มมีหลายเว็บไซต์ที่เราไม่สามารถเข้าใช้งานได้ หรือพูดง่าย ๆ ว่าประเทศเราทำการแบนเว็บไซต์หรือแอปเหล่านั้นนั่นเอง และ VPN คือ สิ่งที่จะเข้ามาช่วยให้เราสามารถเข้าใช้งานเว็บไซต์เหล่านั้นนั่นเอง แต่ VPN คืออะไร มีไว้เพื่อสิ่งใด วันนี้เราจะไปหาคำตอบพร้อมกันค่ะ

VPN คือ การจำลองเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของตัวเอง ที่ใครก็สามารถใช้งานได้

VPN คือ แอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์มที่ถูกสร้างมาเพื่อต่อสู้กับการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูล และข่าวสาร ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลจากทั่วโลก ซึ่งหลายประเทศมีการแบนข้อมูล ข่าวสาร จากหลาย ๆ เว็บไซต์ต่างชาติ ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ ซึ่ง VPN หรือ Virtual Private Network จะเข้ามาเป็นตัวกลางที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้

VPN คืออะไร ทำงาน อย่างไร

VPN คือการจำลองเชื่อมต่ออินเทอร์ของประเทศนั้น ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในประเทศดังกล่าว โดยบริการเหล่านี้จะป้องกันไม่ให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ตรวจจับเราได้ผ่านการตั้งรหัสความปลอดภัย และ VPN จะการทำงานโดยการอาศัยท่ออินเทอร์เน็ตของผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (ISP) เพื่อนำเราไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เราต้องการเข้าถึง เช่นในไทยไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ผู้ใหญ่อย่าง PornHub ได้ แต่หากใช้บริการของ VPN ก็จะสามารถเข้าถึงเว็บไซต์นี้ได้นั่นเอง

แนะนำ 3 ผู้ให้บริการ VPN ที่ราคาไม่แรงแถมใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม

หลังจากที่ทราบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า VPN คือ ตัวช่วยในการท่องโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว สำหรับใครที่อยากใช้บริการ VPN ในโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ วันนี้เรามี 3 ผู้ให้บริการ VPN ที่ทั้งดี และราคาไม่แรงมาแนะนำทุกคน

vpn

(https://mashable.com/review/cyberghost-vpn-review

  • Cyber Ghost 
  • คะแนนรีวิว 9.8 คะแนน 
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์สูงสุด 7 เครื่อง
  • ไม่บันทึกข้อมูลการเข้าใช้งาน
  • ราคา 12.72$ / เดือน (ลดเหลือ 2.29$)
vpn

(https://www.pcmag.com/reviews/private-internet-access-vpn

  • Private Internet Access  
  • คะแนนรีวิว 9.5 คะแนน 
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์สูงสุด 10 เครื่อง
  • ไม่บันทึกข้อมูลการเข้าใช้งาน
  • ราคา 12.17$ / เดือน (ลดเหลือ 2.19$)
vpn

(https://productnation.co/th/product/express-vpn?pId=79b79ab7-1349-43e2-ba8d-f6228a9a9091

  • ExpressVPN 
  • คะแนนรีวิว 9.3 คะแนน 
  • บริการช่วยเหลือลูกค้าผ่านแชท 24 ชั่วโมง
  • ไม่ระบุตัวตนขณะออนไลน์
  • ราคา 12.95$ / เดือน (ลดเหลือ 6.67$)

เป็นอย่างไรบ้างสำหรับ 3 ผู้ให้บริการที่เรานำมาแนะนำให้กับทุกคนในวันนี้ สุดท้ายนี้สำหรับใครที่สงสัยว่า VPN อันตรายไหม เราต้องขอบอกว่าทั้ง 3 ผู้ให้บริการที่เรานำมาแนะนำในวันนี้ต่างมีการการันตีในเรื่องของความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังไม่มีการระบุตัวตนดังนั้นจึงมั่นใจเรื่องความปลอดภัยอย่างแน่นอน นอกจากนี้แล้วยังมีอีกหลาย ๆ ผู้ให้บริการที่มีทั้งโปรโมชัน และรูปแบบการให้บริการที่น่าสนใจ ดังนั้นเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากใช้บริการก็สามารถค้นหาและนำข้อมูลต่าง ๆ มาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการเหล่านั้นก่อนก็ได้เช่นกัน

วิธีสตรีมการเล่นเกม XBOX ONE บนแอพ TWITCH ที่เหล่านักสตรีมเมอร์ไม่ควรพลาด

sa gaming

Categories
สอนใช้ แนะนำแอปฯ

วิธีสตรีมการเล่นเกม XBOX ONE บนแอพ TWITCH ที่เหล่านักสตรีมเมอร์ไม่ควรพลาด

TWITCH

ทุกวันนี้ต้องยอมรับเลยทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่าย นี่จึงเป็นสาเหตุทำให้บริการสตรีมมิ่งกำลังได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแอพ TWITCH แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ฟรีที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุด ช่วยทำให้ผู้คนจากทั่วโลกสามารถรับชมการสตรีมมิ่งสดผ่านอินเทอร์เน็ตหรือแอพได้ ปัจจุบันมีนักสตรีมเมอร์หลายคนได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จจากการสตรีมการเล่นวิดีโอเกมยอดนิยมบน TWITCH ไม่เพียงเท่านั้น TWITCH ยังเปิดโอกาสให้คุณสามารถสตรีมการเล่นเกม XBOX ONE ได้อย่างง่ายดาย โดยคุณสามารถดาวน์โหลดแอพ TWITCH ใน XBOX STORE ได้ ซึ่งในบทความนี้เราจะพาคุณมาเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีสตรีมการเล่นเกม XBOX ONE บนแอพ TWITCH ที่ถูกต้อง 

TWITCH คืออะไร?

TWITCH

อ้างอิงรูปภาพ

อย่างที่หลายคนทราบกันดี TWITCH คือ แพลตฟอร์มถ่ายทอดสดการเล่นเกมและการแข่งขัน E-SPORTS ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นทั่วโลกเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้น TWITCH ยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสตรีมวิดีโอสด ตั้งแต่การทำอาหาร การเล่นดนตรี และการพูดคุยถาม&ตอบ แต่อย่างไรก็ตาม การสตรีมการเล่นเกมก็ถือเป็นความสำคัญหลักของ TWITCH สำหรับคนทั่วไปหรือนักสตรีมเมอร์ที่มี XBOX ONE คุณสามารถสตรีมการเล่นเกม XBOX ONE บน TWITCH ได้ง่าย ๆ โดยทำตามวิธีการด้านล่างนี้ 

ดาวน์โหลด TWITCH และเปิดการใช้งาน XBOX

ก่อนที่คุณจะเริ่มสตรีมไปยัง TWITCH คุณจะต้องดาวน์โหลดแอพ TWITCH บน XBOX ONE ของคุณเสียก่อน โดยมีขั้นตอน ดังนี้

  1. ไปที่แดชบอร์ดของ XBOX ONE แล้วใช้คอนโทรลเลอร์เพื่อไปยัง แท็บ MICROSOFT STORE ทางด้านซ้ายของหน้าจอ
TWITCH

อ้างอิงรูปภาพ

  1. ไปที่แถบที่มีข้อความ SEARCH จากนั้นกดปุ่ม A บนคอนโทรลเลอร์ของคุณ
  2. ใช้คอนโทรลเลอร์พิมพ์ “TWITCH” รอสักครู่แอพ TWITCH จะปรากฏขึ้นบนหน้าจอ จากนั้นเลือกแอพTWITCH แล้วกดปุ่ม A บนคอนโทรลเลอร์ของคุณ
  3. เลือก GET แล้วกดปุ่ม A อีกครั้ง แอพ TWITCH จะเริ่มทำการติดตั้งโดยอัตโนมัติ 

ปรับการตั้งค่าสำหรับการสตรีมมิ่ง

TWITCH

อ้างอิงรูปภาพ

หลังจากที่คุณได้ทำการดาวน์โหลดแอพ TWITCH เรียบร้อยแล้ว คุณจะต้องทำการปรับการตั้งค่าการสตรีมของคุณ โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 

  1. เปิดแอพ TWITCH แล้วเลือก SIGN IN ที่เมนูด้านบน ป้อนข้อมูลการเข้าสู่ระบบสำหรับบัญชี TWITCH ที่คุณต้องการสตรีม
  2. คุณจะได้รับรหัส 8 หลักที่คุณต้องป้อนเพื่อเชื่อมโยงคอนโซล XBOX ONE กับบัญชี TWITCH ไปที่ LOGIN และป้อนรหัสเพื่อเปิดใช้งานคอนโซลของคุณ
  3. กดปุ่ม XBOX บนคอนโทรลเลอร์ของคุณ และไปที่แท็บ PROFILE & SYSTEM ทางด้านขวา แล้วเลื่อนลงและเลือก SETTINGS
  4. จากนั้นเลือก ACCOUNT แล้วเลือก PRIVACY & ONLINE SAFETY 
  5. เลือก XBOX PRIVACY
  6. เลือก VIEW DETAILS & CUSTOMIZE
  7. เลือก ONLINE STATUS AND HISTORY
  8. ไปที่ OTHERS CAN SEE IF YOU’RE ONLINE ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือก EVERYBODY แล้วหรือไม่?
  9. กดปุ่ม B เพื่อย้อนกลับ จากนั้นเลือก GAME CONTENT
  10. เลื่อนไปทางขวาจนกว่าคุณจะเห็นแท็บ LIVE STREAM GAMEPLAY และตรวจดูให้แน่ใจว่าได้เลือก ALLOW ไว้แล้ว
  11. เลื่อนไปทางขวาอีกครั้งและตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณได้เลือก ALLOW ใน YOU CAN SHARE CONTENT MADE USING KINECT OR ANOTHER CAMERA แล้วหรือไม่ 

เริ่มถ่ายทอดสดการเล่นเกม XBOX ONE ของคุณ

TWITCH

อ้างอิงรูปภาพ

หลังจากที่คุณได้ทำการตั้งค่าสตรีมของ XBOX ONE ตามลำดับแล้ว ให้เสียบเว็บแคม USB เข้ากับคอนโซลของคุณ เพื่อทำการเริ่มต้นสตรีมเกม XBOX ONE โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 

  1. กลับไปที่แอป TWITCH เลือก BROADCAST ที่เมนูด้านบน
  2. ด้านขวาของการตั้งค่าการออกอากาศของ TWITCH คุณสามารถปรับเปลี่ยนตัวเลือกต่าง ๆ ได้ เช่น ตำแหน่งกล้องไมโครโฟน และ ความละเอียดในการสตรีม
  3. ด้านซ้ายของการตั้งค่าการออกอากาศของ TWITCH ให้ป้อนชื่อ (ป้ายกำกับ) สำหรับการสตรีมของคุณในช่องและเลือก START STREAMING หรือ เริ่มการสตรีม
  4. เปิดเกมที่คุณต้องการสตรีม เมื่อคุณเริ่มเล่นเกม TWITCH ก็จะเริ่มถ่าย ทอดสดการเล่นเกมของคุณไปยังผู้ชมโดยอัตโนมัติ

facebook

เว็บ บา คา ร่า อันดับ 1

Categories
สอนใช้

วิธีเปลี่ยน อัตราการรีเฟรช ของจอภาพ PC เพื่อทำให้การรับชมวิดีโอและการเล่นเกมของคุณลื่นไหล ไม่มีสะดุด

อัตราการรีเฟรช

คุณเคยรู้สึกรำคาญทุกครั้งเวลาภาพหน้าจอการรับชมวิดีโอหรือการเล่นเกมไม่ลื่นไหล และภาพสะดุดบ่อย ๆ หรือไม่? หากคุณกำลังประสบปัญหาเหล่านี้ ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ เพราะวันนี้เรามีวิธีแก้ไขปัญหาภาพหน้าจอ PC ไม่ลื่นไหล และสะดุดบ่อยด้วยการเปลี่ยน อัตราการรีเฟรช ของหน้าจอมาแนะนำทุกคน ซึ่งการที่ภาพหน้าจอไม่มีคุณภาพ หรือภาพกระตุกทุกครั้งเวลารับชมวิดีโอหรือเล่นเกม เป็นปัญหาที่หลาย ๆ คนไม่อยากให้เกิดขึ้น โดยทั่วไปสาเหตุของปัญหาเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย รวมถึงการปรับอัตราการรีเฟรชของหน้าจอที่ไม่สัมพันธ์กับจอแสดงผล ดังนั้นเราจึงมีวิธีการเปลี่ยนอัตราการรีเฟรชของจอภาพ เพื่อทำให้การรับชมวิดีโอและการเล่นเกมของคุณลื่นไหล และไม่มีสะดุดมีต่อไป 

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อัตราการรีเฟรช ของหน้าจอ

อัตราการรีเฟรช

อ้างอิงรูปภาพ

คุณเคยสงสัยไหมว่าอัตราการรีเฟรชคืออะไร? อัตราการรีเฟรช คือ ความถี่ในการอัปเดตของการแสดงผลรูปภาพที่อยู่บนจอภาพ โดยอัตราการรีเฟรชของหน้าจอจะได้รับการวัดค่าในหน่วยเฮิร์ต (HZ) เช่น หากจอแสดงผลของคุณมีอัตราการรีเฟรชอยู่ที่ 144HZ นั่นหมายความว่าจอภาพจะมีการรีเฟรช 144 ครั้งต่อวินาที 

ความจริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอัตราการรีเฟรชมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้แอปพลิเคชันบนคอมพิวเตอร์เพื่อการทำงานทั่วไป เนื่องจากจอคอมพิวเตอร์มีอัตราการรีเฟรชของหน้าจอที่ 60HZ ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นสำหรับจอภาพหลายจอ ซึ่งค่านั้นเพียงพอที่จะไม่ทำให้ภาพเบลอหรือภาพกระตุก แต่หากค่าต่ำกว่า 60HZ คุณอาจจะเห็นว่าภาพบนหน้าจอกระตุก หรือเคลื่อนไหวติดขัดได้ 

สำหรับนักเล่นเกม หรือคนที่ต้องการรับชมวิดีโอความละเอียดสูง เราขอแนะนำให้ปรับค่าอัตราการรีเฟรชที่สูงขึ้นไม่ต่ำกว่า REFRESH RATE 120HZ  เนื่องจากวิดีโอเกมหลายเกมจำเป็นต้องอาศัยภาพเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ดังนั้นจอแสดงผลคอมพิวเตอร์จึงควรได้รับการปรับค่าอัตราการรีเฟรชให้เหมาะสมสำหรับการเล่นเกม ยิ่งอัตราการรีเฟรชสูงยิ่งดี อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราการรีเฟรชนั้นขึ้นอยู่กับจอภาพหรือจอแสดงผลแล็ปท็อปของคุณ จอแสดงผลบางจอไม่ทำงานที่อัตราการรีเฟรชสูงสุดตามค่าเริ่มต้นได้ หากคุณต้องการเพิ่มอัตราการรีเฟรชสูงให้จอภาพใช้งานได้ คุณอาจต้องลดความละเอียดลงเพื่อให้ค่าอัตราการรีเฟรชที่สูงขึ้นพร้อมใช้งาน 

วิธีการเปลี่ยนอัตราการรีเฟรชบนจอภาพ PC  

สำหรับคอมพิวเตอร์ PC คุณสามารถเปิดการตั้งค่าอัตราการรีเฟรชค่าใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับการ์ดจอ หรือจอแสดงผลแล็ปท็อป และความละเอียดที่คุณใช้อยู่ โดยวิธีการเปลี่ยน อัตราการรีเฟรชบน PC มีดังนี้ 

  1. คลิกไปที่ “SETTINGS”
อัตราการรีเฟรช

อ้างอิงรูปภาพ

  1. คลิก “SYSTEM” จากนั้นในเลือกแถบตัวเลือกด้านซ้ายให้คลิก “DISPLAY”
อัตราการรีเฟรช

อ้างอิงรูปภาพ

  1. คลิกลิงก์ “ADVANCED DISPLAY SETTINGS” จากนั้นหน้าจอจะปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับจอภาพของคุณ รวมทั้งอัตราการรีเฟรชที่ตั้งไว้ในปัจจุบัน
  2. คลิกลิงก์ ” DISPLAY ADAPTER PROPERTIES FOR DISPLAY 1″
  3. หน้าจอจะปรากฏป๊อปอัปสำหรับการ์ดจอแสดงผลของคุณ ให้คลิกแท็บ “MONITOR” 
  4. สุดท้าย ในส่วนของการตั้งค่าจอภาพ คุณสามารถคลิกดรอปดาวน์อัตราการรีเฟรชหน้าจอ และเลือกอัตราการรีเฟรชอื่นได้ จากนั้นคลิก “OK” เพื่อบันทึกการตั้งค่านี้

อ่านเรื่อง >> facetime เสียเงินไหม

Categories
News สอนใช้

คุณสมบัติพิเศษสุดล่ำสมัยของ iOS 15 ที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้ iPhone ที่คุณไม่ควรพลาด

สาวก iPhone ทุกคนคงทราบกันดีว่าในทุก ๆ ปี APPLE จะออกระบบปฏิบัติการของ iPhone เวอร์ชั่นใหม่ประมาณปีละครั้ง พร้อมคอลเลกชั่นของคุณสมบัติใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงที่ดีกว่าเดิม ปี 2021 APPLE ได้เปิดตัว iOS 15 ระบบปฏิบัติการ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับการการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ อีกมากมาย รวมถึงคุณสมบัติอันชาญฉลาดที่จะช่วยทำให้ผู้ใช้ iPhone สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น แต่บางคนอาจจะกำลังสงสัยใช่ไหมว่า iOS 15 มีอะไรใหม่บ้าง? ดังนั้นวันนี้เราจึงมีคุณสมบัติพิเศษสุดล่ำสมัยของ IOS15 มาแนะนำเหล่าสาวก iPhone ทุกคน ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น สามารถติดตามได้ในบทความนี้เลยค่ะ

iOS 15 คืออะไร? 

อ้างอิงรูปภาพ

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ iOS 15 กันก่อนดีกว่า IOS 15 เป็นระบบปฏิบัติการ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดของ APPLE ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2021 โดยผู้ใช้ iPhone 6S PLUS จนถึง iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด จะสามารถดาวน์โหลด iOS 15 มาใช้งานได้ ระบบปฏิบัติการ IOS 15 มาพร้อมกับการอัปเดตอันทรงพลังที่ช่วยทำให้ผู้ใช้ iPhone ได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ล่ำสมัยกว่าที่เคยมีมา รวมถึงคุณสมบัติอันชาญฉลาดที่จะช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถทำสิ่งตาม ๆ ได้มากขึ้น แต่คุณสมบัติที่เป็นที่ฮือฮาที่สุดต้องยกให้กับความสามารถในการปลดล็อก iPhone ขณะสวมหน้ากากอนามัย และคุณสมบัติการคัดลอกข้อความจากรูปภาพด้วย LIVE TEXT ไม่เพียงเท่านั้นระบบปฏิบัติการ iOS 15 ยังมีคุณสมบัติพิเศษสุดล่ำสมัยอีกมากมายที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้ iPhone ซึ่งหลายคนคงกำลังสงสัยใช่ไหมว่า iOS 15 มีอะไรใหม่บ้าง ดังนั้นวันนี้เราจึงจะพาคุณมาไขข้อสงสัยนี้ไปพร้อม ๆ กันเลย

คุณสมบัติพิเศษสุดล่ำสมัยของ iOS15 ที่เหล่าสาวก iPhone ไม่ควรพลาด

สำหรับผู้ใช้ iPhone 6S PLUS จนถึง iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด คุณสามารถดาวน์โหลด iOS 15 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งหลังจากที่คุณได้ทำการอัปเดต iOS 15 บน iPhone ของคุณเรียบร้อยแล้ว คุณก็จะสามารถใช้งานคุณสมบัติพิเศษสุดล่ำสมัยของ iOS 15 บน iPhone ของคุณได้แล้ว และนี่คือคุณสมบัติพิเศษที่คุณไม่ควรพลาด

  1. ปลดล็อก iPhone ของคุณด้วยฟีเจอร์ FACE MASK ON: การอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดของ iPhone iOS 15.4 มีคุณสมบัติที่ช่วยให้ FACE ID จดจำใบหน้าของคุณในขณะสวมหน้ากากอนามัยได้ แต่คุณสมบัตินี้สามารถใช้ได้เพียงรุ่น iPhone 12 เป็นต้นไปเท่านั้น
รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

อ้างอิงรูปภาพ

  1. แชร์หน้าจอของคุณใน FACETIME ด้วย SHAREPLAY: ความสามารถที่มากกว่าการประชุมแบบเห็นหน้ากันใน FACETIME โดยคุณสามารถแชร์หน้าจอและสื่อของคุณขณะโทรแบบ FACETIME ได้ เช่น เพลงและวิดีโอ ด้วย SHAREPLAY เพียงแค่แตะปุ่ม SHAREPLAY ที่ด้านบนขวาของหน้าจอ แล้วให้แตะแชร์หน้าจอของฉัน
  2. ใช้ LIVE TEXT เพื่อคัดลอกข้อความจากรูปภาพ: คุณสามารถใช้คุณสมบัติ LIVE TEXT เพื่อคัดลอกข้อความจากรูปภาพได้ เพียงแตะข้อความในรูปภาพลากช่องที่ไฮไลท์เพื่อเลือกข้อความทั้งหมดที่คุณต้องการ แล้วแตะช่องที่ไฮไลท์จากนั้นแตะคัดลอกในเมนูป๊อปอัป

อ้างอิงรูปภาพ

  1. กรองการแจ้งเตือนของคุณด้วยฟีเจอร์ FOCUS: ฟีเจอร์ FOCUS จะช่วยกรองการแจ้งเตือนของคุณ โดยการแจ้งเตือนจะใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อจัดเรียงการแจ้งเตือนตามลำดับความสำคัญ และแสดงการแจ้งเตือนที่ผู้ใช้น่าจะสนใจที่สุดไว้บนสุด อ้างอิงตามการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับแอปต่าง ๆ ส่วนการแจ้งเตือน ข้อความ และสายเรียกเข้าที่สำคัญต่อเวลาจะแสดงในทันที
  2. ลากและวางระหว่างแอพหนึ่งไปยังอีกแอพหนึ่ง: คุณสามารถลากเนื้อหาจากแอพหนึ่งไปยังอีกแอพหนึ่งได้ เช่น คุณสามารถลากรูปภาพจากแอพ PHOTOS แล้ววางลงในช่องข้อความในแอพ MESSAGES ได้

อ้างอิงรูปภาพ

  1. เปลี่ยนขนาดของข้อความในแอพใดก็ได้: เมื่อก่อนหากคุณต้องการข้อความที่ใหญ่ขึ้น คุณสามารถปรับขนาดได้ในครั้งเดียว แต่ iOS 15 จะทำให้คุณสามารถเปลี่ยนขนาดตัวอักษรแบบทีละแอพได้
  2. เส้นทางเดิน AR ในแอพ MAPS: คุณสามารถขอเส้นทางเดิน AR ขณะที่คุณเดินได้ โดยยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อให้เห็นอาคารใกล้เคียง และ MAPS จะซ้อนทับชื่อถนนและคำแนะนำในการเดินของคุณบนหน้าจอวิดีโอสดของเส้นทาง ในการรับเส้นทางเดิน AR ของคุณ ให้แตะไปที่ปุ่ม AR CUBE ที่ด้านขวาของแผนที่

บาคาร่า

Categories
สอนใช้

วิธีปิดการใช้งานบัญชี Facebook ของคุณอย่างถาวร

หลายคนใช้ Facebook เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการติดต่อกับครอบครัว และเพื่อนทั่วโลก หรือแสดงความคิดเห็นกับกลุ่มที่มีความสนใจร่วมกัน รวมไปจนถึงการติดตามข้อมูลข่าวสาร แต่สำหรับบางคนกลับมอง Facebook ในแง่ของการละเมิดความเป็นส่วนตัว ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาททางการเมือง การสร้างข้อมูลเท็จ และเนื้อหาอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อวัยรุ่น ซึ่งตอนนี้ Facebook เป็นที่รู้จักในชื่อใหม่คือ Meta หลายคนคาดว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะรวมไปจนถึงการปรับปรุงการให้บริการด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะต้องการปิดการใช้งาน Facebook ด้วยเหตุผลอะไร และหากแน่ใจแล้วว่าต้องการปิดการใช้งานแบบถาวรจริง ๆ เราแนะนำให้ลองปฏิบัติตามขั้นตอนด้านล่างนี้ 

ขั้นตอนปิดการใช้งานบัญชี Facebook แบบถาวร

Facebook

ที่มาของรูปภาพ

อย่างที่เราทราบกันดี Facebook เป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ทำให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารและร่วมทำกิจกรรมกับผู้ใช้คนอื่น ๆ หรือใช้สำหรับติดตามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแน่นอนว่าการที่ Facebook คือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากจึงส่งผลทำให้มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากคุณต้องการปิดบัญชี Facebook สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การลบบัญชี Facebook ของคุณกับการปิดใช้งานบัญชีนั้นมีความแตกต่างกัน โดยการปิดใช้งานบัญชี Facebook จะเป็นการหยุดใช้งาน Facebook ชั่วคราว แต่บริษัทก็สามารถติดตามกิจกรรมออนไลน์ของคุณได้ และคุณสามารถกลับมาใช้งานบัญชี Facebook อีกครั้งได้ แต่หากต้องการลบบัญชีของคุณอย่างถาวร และตัดการเชื่อมต่อกับ Messenger ซึ่งเป็นแอปแชทของแพลตฟอร์ม Facebook คุณสามารถดำเนินการได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอน ดังนี้ 

ขั้นตอนลบบัญชี Facebook ของคุณอย่างถาวร

การปิดการใช้งานบัญชี Facebook แบบถาวร ก็คือการลบบัญชี Facebook ของคุณออกจากเซิร์ฟเวอร์ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนด้านล่างนี้ 

  1. ลบแอป Facebook ออกจากโทรศัพท์และแท็บเล็ตของคุณ: คุณควรทราบว่าการลบแอป Facebook ไม่ได้เป็นการลบบัญชีของคุณ โดยคุณยังคงเข้าถึงบัญชี Facebook ได้จากเบราว์เซอร์ และแอปอื่น ๆ อาจยังคงใช้ Facebook ในการเข้าสู่ระบบได้ และ Facebook จะยังสามารถติดตามกิจกรรมออนไลน์ของคุณได้ 
  2. การถ่ายโอนข้อมูล Facebook: คุณอาจเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ใน Facebook เช่น รูปภาพ วิดีโอ บันทึกย่อ และโพสต์ต่าง ๆ ของคุณ ซึ่งคุณสามารถถ่ายโอนข้อมูลเหล่านี้ไปยังที่จัดเก็บอื่น ๆ ได้ เช่น Google Photos และ Dropbox 
  3. ตัดการเชื่อมต่อบัญชี Facebook ของคุณจากแอปอื่น ๆ : คุณจะต้องจัดการกับบัญชีภายนอกที่ใช้ข้อมูล Facebook ของคุณ โดยลงชื่อเข้าใช้แต่ละบัญชีและยกเลิกการเชื่อมต่อจากบัญชี Facebook ของคุณ ซึ่งคุณสามารถค้นหารายชื่อแอปที่เชื่อมโยงกับบัญชี Facebook ของคุณ โดยการเข้าสู่ระบบ Facebook แล้วไปที่การตั้งค่า > แอปและเว็บไซต์ 
Facebook

ที่มาของรูปภาพ

  1. ลบบัญชี Facebook ของคุณ: สิ่งแรกที่ต้องทำคือ คลิกที่นี่ และเข้าสู่ระบบ Facebook ของคุณ หลังจากนั้น Facebook จะแสดงตัวเลือกให้พิจารณาก่อนลบบัญชีของคุณ หากต้องการลบบัญชี Facebook แบบถาวรให้เลือก ‘ลบบัญชี’ จากนั้นป้อนรหัสผ่านของคุณ แล้วคลิก ‘ดำเนินการต่อ’ สุดท้ายคลิก ‘ลบบัญชี’ อีกครั้ง
Facebook

ที่มาของรูปภาพ

  1. ระยะเวลาดำเนินการลบบัญชี Facebook ของคุณ: Facebook จะใช้เวลาสูงสุด 90 วันในการลบข้อมูลทั้งหมดของคุณออกจากเซิร์ฟเวอร์ โดย 30 วันแรก คุณสามารถเข้าสู่ระบบ Facebook ของคุณและยกเลิกคำขอลบบัญชีได้ แล้วบัญชีของคุณจะได้รับการกู้คืน

Author

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะContact >> Instagram, Facebook, Line

ไขข้อสงสัยเปิดใช้งาน facetime เสียตังไหม

ไฮโลไทย

Categories
News สอนใช้

แนะนำการตั้งค่า iOS 15 ที่จะช่วยทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, ในอาคาร

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำให้คุณต้องอัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS 15 ของ iPhone ซึ่งไม่ว่าคุณจะใช้ iPhone 13, iPhone 12, iPhone 11 หรือรุ่นเก่ากว่านี้ คุณก็สามารถปรับแต่งการตั้งค่า iOS 15 เพื่อทำให้สมาร์ทโฟนของคุณทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่า iPhone แต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แต่พวกมันก็สามารถใช้งานคุณสมบัติของ iOS 15 ได้เหมือนกันด้วยการอัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS 15 บน iPhone ของคุณ และเพื่อให้คุณสามารถใช้งานฟีเจอร์บางประการของ iOS 15 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงได้รวบรวมการตั้งค่า iOS 15 ที่จะช่วยทำให้ชีวิตของคุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น สามารถติดตามได้ในบทความนี้เลยค่ะ 

ระบบปฏิบัติการ  iOS 15 คืออะไร?

ที่มาของรูปภาพ

ก่อนที่คุณจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับการตั้งค่า iOS 15 เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน คุณรู้หรือไม่ว่าระบบปฏิบัติการ iOS 15 คืออะไร? iOS 15 คือ ระบบปฏิบัติการล่าสุดสำหรับ iPhone ของบริษัท Apple ที่พร้อมให้ใช้งานได้แล้ววันนี้ในรูปแบบของการอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรี และมีคุณสมบัติอันชาญฉลาดใหม่ ๆ อีกมากมายที่จะช่วยทำให้ iPhone ของคุณทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้มากขึ้น iOS 15 มีอะไรบ้าง? ความจริงแล้ว iOS 15 ได้มีการอัปเดต FaceTime มีโหมดโฟกัสที่จะช่วยลดการรบกวน และมีคุณสมบัติใหม่ที่ไม่เคยมีในระบบปฏิบัติการ iOS มาก่อนอย่าง “ข้อความในรูปภาพ” หรือ Live Text ซึ่งใช้ระบบอัจฉริยะบนอุปกรณ์เพื่อดึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมาแสดง และอื่น ๆ อีกมากมาย  

การตั้งค่า iOS 15 ที่จะทำให้ iPhone ของคุณทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ที่มาของรูปภาพ

หาก iPhone ของคุณได้รับการอัปเดต iOS 15 เรียบร้อยแล้ว คุณอาจจะต้องการใช้ฟีเจอร์ยอดนิยมบางอย่างเช่น SharePlay ใน FaceTime หรือการจดจำข้อความในกล้องของคุณ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นจากการฟีเจอร์ iOS 15 ก็คือการตั้งค่าการทำงานของฟีเจอร์ ดังนั้นเราจะนำคุณไปเรียนรู้เกี่ยวกับการกำหนดการตั้งค่า iOS 15 เพื่อทำให้ iPhone ของคุณทำงานได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ดังนี้

  1. การแจ้งเตือนสายเรียกเข้าแบบเต็มหน้าจอ: เปลี่ยนการแจ้งเตือนสายเรียกเข้าแบบเต็มหน้าจอที่ดึงดูดความสนใจ ทำให้คุณไม่เกือบการรับสายให้ไปที่  การตั้งค่า > โทรศัพท์ > สายเรียกเข้า  แล้วแตะที่ ‘เต็มหน้าจอ’
  2. ปิดการครอบคลุม 5G ที่คุณไม่ต้องการ: Apple มีคุณสมบัติ Smart Data เฉพาะสำหรับโทรศัพท์ 5G เท่านั้น (iPhone 12 และ iPhone 13) ซึ่งมันจะสลับระหว่างเครือข่าย 4G LTE และ 5G โดยอัตโนมัติ แต่สวิตช์อัตโนมัตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่หมดเร็ว หากคุณไม่ต้องการให้แบตหมดเร็วให้ปิดการเชื่อมต่อ 5G โดยการไปที่ การตั้งค่า > เซลลูลาร์ > ตัวเลือกข้อมูลเซลลูลาร์ > เสียงและข้อมูล แล้วเลือก ‘LTE’ และคุณสามารถเปิด 5G อีกครั้งได้ทุกเมื่อที่ต้องการ หากคุณอยู่พื้นที่ที่ครอบคลุมสัญญาณ 5G
  3. ปลดล็อกโทรศัพท์ขณะสวมหน้ากากอนามัย: iPhone มีเทคโนโลยี Face ID ของ Apple ที่มีตัวเลือกให้คุณเปิดคุณสมบัติการปลดล็อกด้วยใบหน้า ทำให้การปลดล็อค iPhone ของคุณสะดวกสบายมากขึ้น หากคุณเป็นเจ้าของ Apple Watch ด้วยคุณจะสามารถปลดล็อกโทรศัพท์ขณะสวมหน้ากากอนามัยได้ เมื่ออุปกรณ์ทั้งสองได้รับการอัปเดต iOS 15 แล้ว โดยไปที่ การตั้งค่าบน iPhone > ตัวเลือก Face ID และใส่รหัสผ่าน > ส่วนปลดล็อกด้วย Apple Watch (คุณต้องเชื่อมต่อกับ Apple Watch เพื่อให้การตั้งค่าปรากฏ) 
  4. จัดระเบียบการแจ้งเตือนของคุณ: คุณสามารถจัดการกับการแจ้งเตือนใน iOS 15 ได้ด้วยคุณสมบัติสรุปการแจ้งเตือน โดยคุณสามารถกำหนดเวลาการแจ้งเตือนที่ไม่สำคัญในเวลาที่กำหนดของวันได้ เช่น การโทร ข้อความส่วนตัว และการแจ้งเตือนตามเวลาอื่น ๆ หากคุณต้องการลองใช้ให้ไปที่ การตั้งค่า > การแจ้งเตือน แล้วแตะที่ ‘กำหนดเวลาส่งสรุป’
  5. การตั้งค่าอีเมลหรือเว็บเบราว์เซอร์ที่คุณชื่นชอบให้เป็นค่าเริ่มต้น: เมื่อคุณแตะลิงก์หรือปุ่มสำหรับส่งอีเมล iPhone ของคุณจะเปิดเว็บเบราว์เซอร์หรือผู้ให้บริการอีเมลที่คุณเลือกโดยอัตโนมัติ แทนที่จะเป็น Safari หรือ Mail โดยการไปที่การตั้งค่า > เลือกแอปที่คุณต้องการตั้งเป็นค่าเริ่มต้น (เช่น Google Chrome, Outlook เป็นต้น) > ระบุว่า Default Mail App หรือ Default Browser App แล้วแตะที่ตัวเลือกนั้นและเลือกแอปที่คุณเลือกแทน Safari หรือ Mail 
  6. ตั้งค่าคุณสมบัติที่คุณสามารถใช้ได้เมื่อ iPhone ของคุณถูกล็อค: คุณสามารถเข้าถึงคุณสมบัติบางประการได้ ถึงแม้ iPhone ของคุณจะถูกล็อค โดยการไปที่ การตั้งค่า > Face ID & Passcode > ป้อนรหัสผ่าน > อนุญาตการเข้าถึงเมื่อถูกล็อค แล้วสลับแถบเลื่อนตามความต้องการของคุณ

Author

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์

Categories
สอนใช้

เคล็ดลับการเพิ่มพื้นที่ Google Drive ที่กำลังจะเต็มแบบง่าย ๆ

Google Drive

คุณกำลังประสบปัญหา Google Drive ใกล้เต็มแล้วใช่หรือไม่? โดยทั่วไป Google จะให้พื้นที่ว่าง 15GB ใน Google Drive สำหรับคุณ ซึ่งดูเหมือนว่าค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับพื้นที่ว่าง 2GB ของ Dropbox และ 10GB ของ Box แต่สำหรับบางคนพื้นที่ว่าง 15GB อาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะนอกจากไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ แล้ว Google Drive ยังจัดเก็บทั้งบัญชี Gmail (ข้อความและไฟล์แนบ) และ Google Photos ของคุณ ทำให้พื้นที่ว่าง 15GB ใน Google Drive เต็มเร็วกว่าที่คุณคาดไว้ แต่โชคดีที่คุณสามารถเรียกคืนพื้นที่ Google Drive ที่กำลังจะเต็มได้ง่าย ๆ ด้วยเคล็ดลับการเพิ่มพื้นที่ Google Drive ด้านล่างนี้

Google Drive คืออะไร?

คุณรู้หรือไม่ว่า Google Drive คืออะไร? ซึ่งความจริงแล้ว Google Drive คือ อีกหนึ่งบริการจาก Google สำหรับเก็บข้อมูลของคุณในรูปแบบของ Cloud Storage หรือบริการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ไว้บนเซิร์ฟเวอร์ โดยคุณสามารถเปิดใช้งานไฟล์ข้อมูลเหล่านั้นได้ทุกที่ทุกเวลา โดย Google Drive จะมีพื้นที่ว่างให้ใช้ฟรี 15 GB ซึ่งสามารถรองรับไฟล์ได้หลายประเภท เช่น PDF, CAD/CAM, PhotoShop, Illustrator , Image, MS Office, Sound, HD Video, Multimedia เป็นต้น แถมยังสามารถแชร์ไฟล์งานกับผู้ใช้อื่นได้ทีละหลายคน แต่หากคุณรู้สึกว่าไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ของคุณกินพื้นที่ Google Drive มากเกินไปหรือพื้นที่ว่างใกล้จะเต็ม เราขอแนะนำให้ลองปฏิบัติตามเคล็ดลับการเพิ่มพื้นที่ Google Drive ดังนี้

Google Drive

เคล็ดลับการเพิ่มพื้นที่ Google Drive

อย่างที่เราทราบกันดี Google Drive ทำหน้าที่จัดเก็บไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปจนถึงบัญชี Gmail (ข้อความและไฟล์แนบ) และ Google Photos ของคุณ ภายใต้ขีดจำกัดของพื้นที่ว่าง 15 GB หากคุณกำลังประสบปัญหา Google Drive เต็ม หรือต้องการเพิ่มพื้นที่ Google Drive คุณสามารถปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ได้

  • ขั้นตอนที่ 1 ค้นหาปัญหา: หากคุณต้องการทราบว่าสิ่งใดที่ใช้พื้นที่บน Google Drive มากที่สุด ให้ไปที่หน้าพื้นที่เก็บข้อมูลไดรฟ์ของ Google จากนั้นหน้าจอจะปรากฏจำนวนพื้นที่เก็บข้อมูลทั้งหมดที่คุณมีตั้งแต่ Google Drive, Gmail และ Google Photos 
  • ขั้นตอนที่ 2 ทำความสะอาดไดรฟ์: เปิด Google Drive แล้วไปที่ My Drive หากคุณต้องการเห็นไฟล์ต่าง ๆ เป็นรายการให้คลิกมุมมองรายการที่มุมขวาบนของหน้าจอ จากนั้นไฟล์ Google Drive ของคุณจะจัดเรียงตามชื่อ แต่หากคุณสามารถจัดเรียงไฟล์ตามขนาดไฟล์ไปที่คลิกปุ่มจัดเรียงที่มุมขวาบน แล้วให้สังเกตที่มุมล่างซ้ายของหน้าจอ คุณจะเห็นจำนวนพื้นที่เก็บข้อมูลที่คุณใช้ ซึ่งตอนนี้โฟลเดอร์ไดรฟ์ของคุณจะถูกจัดเรียงตาม “โควต้าที่ใช้” หรือขนาดไฟล์ และคุณสามารถเริ่มลบไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างได้
Google Drive

เมื่อคุณลบไฟล์ออกจากไดรฟ์แล้ว คุณจะต้องล้างโฟลเดอร์ถังขยะด้วย โดยการคลิกไปที่ ‘ถังขยะ’ แล้วเลือกไฟล์ที่ต้องการลบอย่างถาวร และคลิกขวา แล้วเลือก ‘ลบอย่างถาวร’แต่หากคุณมีไฟล์ PDF ที่ไม่ต้องการลบ คุณสามารถบันทึกและเพิ่มพื้นที่ว่างได้โดยการแปลงไฟล์เป็น Google ชีตหรือสไลด์ ขึ้นอยู่กับไฟล์ โดยให้คลิกขวาที่ไฟล์ PDF แล้ววางเมาส์ที่ Open with และเลือก Google Docs จากแถบเมนู จากนั้น Google จะสร้างเอกสารที่มีชื่อเดียวกับไฟล์ PDF และคุณสามารถลบไฟล์ PDF เก่าได้ 

  • ขั้นตอนที่ 3 ลบรูปภาพใน Google Photos ของคุณ: ขั้นแรกไปที่หน้า Google Photos แล้วคลิก ‘Photos’ เพื่อดูรูปภาพทั้งหมดของคุณ หากต้องการลบรูปภาพ ให้วางเมาส์ที่รูปภาพแล้วคลิกที่ช่องทำเครื่องหมาย จากนั้นคลิกที่ไอคอนถังขยะมุมขวาบน เพื่อลบรูปภาพ แต่หากไม่ต้องการลบรูปภาพ คุณสามารถจัดการกับคุณภาพของรูปภาพที่กินพื้นที่ Google Drive ได้ โดยการไปคลิกที่ไอคอนการตั้งค่า > เลือกฟีเจอร์ประหยัดพื้นที่เก็บข้อมูล เพียงเท่านี้ก็จะรูปภาพคุณภาพสูงมีขนาดเล็กกว่าความละเอียดดั้งเดิมที่ถ่ายโดยโทรศัพท์ของคุณ ทำให้ไม่กินพื้นที่ในไดรฟ์ได้

ไฮโลไทย

HILO-88.COM
HILO-88.COM