สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
วิธีดูแลรักษา

ไอโฟนหน้าจอดับ แต่เครื่องติด ทำยังไงให้กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม

ไอโฟนหน้าจอดับ แต่เครื่องติด

คุณกำลังประสบปัญหา ไอโฟนหน้าจอดับ แต่เครื่องติด อยู่หรือไม่ เจอปัญหาแบบนี้เหงื่อแตกตัวเย็นเลยใช่ไหมล่ะคะ แต่คุณทราบไหมคะปัญหานี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับไอโฟนที่ใช้งานอย่างหนักหน่วง จนเครื่องเกิดอาการแฮงค์ ดังนั้นวันนี้เราเลยอยากพาทุกคนไปดูว่าเราจะสามารถทำยังไงได้บ้างเมื่อไอโฟนของคุณเกิดอาการหน้าจอดับ แต่เครื่องติด

สิ่งที่ต้องทำเมื่อ ไอโฟนหน้าจอดับ แต่เครื่องติด

ไอโฟนหน้าจอดับ แต่เครื่องติด

สำหรับใครที่กำลังมีปัญหา ไอโฟนหน้าจอดับแต่เครื่องติด ก่อนอื่นให้ตั้งสติและอย่าพึ่งตกใจนะคะ เพราะอาการ หน้าจอไอโฟนดับ มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นอยู่ ซึ่งอาการแบบนี้อาจเกิดได้กับไอโฟนทุกรุ่น ดังนั้นสำหรับใครที่ยังไม่เคยเจอปัญหาดังกล่าวก็สามารถอ่านไว้เพื่อเป็นความรู้ก็ได้ค่ะ

บังคับให้เครื่องรีสตาร์ท 

ไอโฟนหน้าจอดับ แต่เครื่องติด

สำหรับไอโฟนของใครที่มีอาการ ไอโฟนหน้าจอมืด แต่มีเสียง หรือหน้าจอค้าง ให้ทำการบังคับรีสตาร์ท โดยไอโฟนแต่ละรุ่นจะมีวิธีการบังคับรีสตาร์ทที่ต่างกันออกไป สำหรับไอโฟน 8 และไอโฟนรุ่นใหม่กว่ารวมไปถึงรุ่น SE 2 และ 3 ให้คุณกดไปที่ปุ่มเพิ่มเสียง 1 ครั้ง > ปุ่มลดเสียง 1 ครั้ง > แล้วก็ปุ่มล็อกหน้าจอค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีจนกว่าโลโก้ของ APPLE จะแสดงขึ้นมา 

สำหรับไอโฟน 7 หรือ7 PLUS ให้ทำการกดไปที่ปุ่มลดเสียง พร้อมกับการกดปุ่มล็อกหน้าจอ > กดค้างไว้จนกว่าโลโก้ APPLE จะแสดงขึ้นมา และสุดท้ายคือสำหรับไอโฟนรุ่นที่ต่ำกว่าไอโฟน 7 รวมไปถึงรุ่น SE 1 ให้กดไปที่ปุ่มโฮม พร้อมกับปุ่มล็อกหน้าจอ > กดจนกว่าโลโก้ APPLE จะแสดงขึ้นมาเช่นเดียวกัน

ทำการล้างข้อมูลเครื่อง

ไอโฟนหน้าจอดับ แต่เครื่องติด

ไอโฟน14หน้าจอดับ แต่เครื่องติด หากทำการรีสตาร์ทแล้วหน้าจอก็ยังไม่มีการแสดงผลให้คุณทำการล้างข้อมูลเครื่องโดยการ RECOVERY MODE หรือโหมดกู้คืน ซึ่งจะเป็นโหมดที่จะทำให้ไอโฟนของคุณกลับมาเป็นเหมือนไอโฟนเครื่องใหม่ ซึ่งข้อมูลที่อยู่บนเครื่องทั้งหมดจะถูกล้างทั้งหมด ยกเว้นข้อมูลบนคลาวด์

โดยการทำ RECOVERY MODE สามารถทำได้ 2 วิธีคือการทำผ่าน WI-FI และทำผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งการทำผ่าน WI – FI จะทำได้เฉพาะในกรณีที่หน้าจอไอโฟนยังเปิดติดเท่านั้น แต่หาหน้าจอเปิดไม่ติดให้เลือกการล้างเครื่องด้วยการทำผ่านคอมพิวเตอร์

ให้คุณเตรียมไอโฟน สายชาร์จ และคอมพิวเตอร์ที่ลง ITUNES หรือ MAC ที่เป็น MACOS เวอร์ชั่นล่าสุด > เชื่อมต่อ IPHONE กับคอมพิวเตอร์โดยใช้สาย USB หรือสายชาร์จ > เปิด FINDER หรือเปิดแอป APPLE DEVICES บน PC แต่ถ้า PC ไม่มีแอป APPLE DEVICES หรือ MACOS เป็นเวอร์ชั่น MOJAVE หรือเก่ากว่าให้ใช้ ITUNES แทน 

ไอโฟนหน้าจอดับ แต่เครื่องติด

สำหรับ IPHONE 8, IPHONE SE 2 และ3 และรุ่นที่ใหม่กว่าให้กดปุ่มเพิ่มเสียง 1 ครั้ง > กดปุ่มลดเสียง 1 ครั้ง > กดปุ่มล็อกหน้าจอข้างค้างไว้จนกว่าคุณจะเห็นหน้าจอจะแสดงการเชื่อมต่อไอโฟนกับคอมพิวเตอร์

สำหรับ IPHONE 7, IPHONE 7 PLUS และ IPOD TOUCH รุ่น7 ให้กดปุ่มลดเสียงพร้อมกับปุ่มล็อกหน้าจอ > กดค้างต่อไปจนกว่าคุณจะเห็นหน้าจอจะแสดงการเชื่อมต่อระหว่างไอโฟนกับคอมพิวเตอร์

และสุดท้ายสำหรับ IPHONE 6S, IPHONE SE, IPOD TOUCH รุ่น 6 และเก่ากว่า ให้คุณทำการกดปุ่ม HOME และปุ่มล็อกหน้าจอพร้อมกัน > กดค้างไว้วจนกว่าหน้าจอจะแสดงการเชื่อมต่อระหว่างไอโฟนกับคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกัน

เมื่อทำการเชื่อมต่อ IPHONE กับคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว ITUNES จะขึ้นข้อความว่าคุณอยู่ใน RECOVERY MODE > จากนั้นกดเลือกอัปเดต > รอคอมพิวเตอร์ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์สำหรับไอโฟนของคุณ > เมื่อการอัปเดตเรียบร้อยแล้วคุณก็สามารถทำการตั้งค่าไอโฟนของคุณได้เลย

อย่างไรก็ตามหากทำการล้างเครื่องแล้วแต่เครื่องยังเปิดไม่ติดนั่นอาจจะเป็นไปได้ว่าอาการจอดับอาจจะไม่ได้เกิดจาก SOFTWARE ดังนั้นแนะนำให้นำไอโฟนของคุณเข้าศูนย์ซ้อม เพื่อทำการเช็กอย่างละเอียดอีกครั้งว่า หน้าจอไอโฟนดับเกิดจากอะไร กันแน่

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
วิธีดูแลรักษา

ไอ โฟน เครื่อง ร้อน เกิดจากอะไร ทำไงดี มีวิธีแก้ไหม

ไอ โฟน เครื่อง ร้อน

สำหรับใครที่ใช้ไอโฟนช่วงหน้าร้อนนี้ยังมีใครรอดอยู่ไหมค่ะ เพราะหลายคนคงรู้กันดีว่า ไอโฟนกับอากาศร้อนเป็นของที่ไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่นอกจากอากาศที่ทำให้ไอโฟนร้อนได้แล้วก็มีปัจจัยอื่นที่ทำให้ ไอ โฟน เครื่อง ร้อน ได้เหมือนกัน ดังนั้นวันนี้เราเลยอยากพาทุกคนได้ดูกันว่า อาการไอโฟนเครื่องร้อนเกิดจากอะไรได้บ้าง และมีวิธีแก้ไขยังไง วันนี้เราไปรวบรวมทั้งต้นเหตุ และวิธีแก้ไขมาให้ทุกคนแล้ว

สาเหตุที่ทำให้ ไอ โฟน เครื่อง ร้อน พร้อมวิธีแก้ไข

ไอ โฟน เครื่อง ร้อน

สาเหตุที่ทำให้ ไอโฟน เครื่อง ร้อน นั้นมีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ชาร์จแบบไร้สาย, สตรีมวิดีโอคุณภาพสูง หรือกู้คืนจากข้อมูลสำรอง ซึ่งเราสรุปออกมาได้เป็น 3 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่ อุณหภูมิโดยรอบสูง, การใช้งานที่หนัก และแบตเตอรี่เสื่อมหรือมีปัญหา ซึ่งอาการของ IPHONE เครื่อง ร้อน ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า อาการเครื่องร้อนนั้นมาจากสาเหตุไหนกันแน่ เพื่อที่คุณจะได้แก้ไขได้อย่างตรงจุด

ไอ โฟน เครื่อง ร้อน

เครื่องร้อนจากอุณหภูมิโดยรอบสูง

ข้อนี้น่าจะเป็นปัญหาสุดฮิตที่หลายคนเจอเลยก็ว่าได้ เนื่องจากอุปกรณ์ของ APPLE รวมถึง IPHONE จะไม่ถูกกับอากาศร้อน ซึ่ง APPLE ได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนเลยว่า เพื่อไม่ให้ เครื่องไอโฟนร้อน จะต้องใช้ในที่ที่มีอุณหภูมิระหว่าง 0º C และ 35º C และ เก็บในที่ที่มีอุณหภูมิระหว่าง -20º C ถึง 45º C และห้ามทิ้งมือถือในรถที่จอดอยู่เพราะจะมีอุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนด ดังนั้นในช่วงนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเกิดอาการฮีทจึงไม่ควรใช้ IPHONE ในที่โล่งแจ้ง 

ไอ โฟน เครื่อง ร้อน

เครื่องร้อนจากการใช้งานที่หนักเกินไป

แม้ว่า IPHONE จะพัฒนาชิปให้สามารถทำงานได้อย่างไหลลื่น แต่การใช้งานที่หนักหน่วงเกินไป เช่น การเล่นเกม, ใช้งานแอพพร้อมกันหลายแอพ หรือ การใช้แอพที่กินทรัพยากรเครื่องเกินไปก็จะทำให้ ไอโฟนเครื่องร้อนแล้วกระตุก ซึ่งเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งมากแม้ว่าจะเป็นไอโฟนรุ่นใหม่ ๆ ก็ตาม ในกรณีนี้หากมือถือของคุณไม่ขึ้นคำเตือนคุณก็ยังสามารถใช้งาน IPHONE ต่อได้ และเครื่องจะเย็นลงเมื่อคุณทำกิจกรรมต่าง ๆ เสร็จสิ้น

ไอ โฟน เครื่อง ร้อน

เครื่องร้อนจากแบตเตอรี่มีปัญหา หรือเสื่อม

หาก ไอโฟนเครื่องร้อน แบ ต หมด เร็ว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจจะเกิดปัญหามาจากแบตเตอรี่ เช่น แบตเก่า, แบตมีปัญหา หรือแบตเสื่อม ซึ่งเราแนะนำให้ลองเช็กสุขภาพแบตเพื่อให้มั่นใจว่าแบตมือถือของคุณเสื่อมหรือไม่ หากพบว่าสุขภาพของแบตต่ำกว่า 80% นั่นหมายความว่า แบตไอโฟนของคุณเสื่อม และถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแบตใหม่แล้ว นอกจากนี้ควรการใช้อุปกรณ์ชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือสายชาร์จปลอมก็จะส่งผลให้แบตมีปัญหาได้ ดังนั้นการเลือกใช้อุปกรณ์เสริมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน

ไอ โฟน เครื่องร้อน จนขึ้นเตือนอันตรายไหม

ไอ โฟน เครื่อง ร้อน

อย่างที่เราได้พูดไปในข้างต้นว่า IPAD และ IPHONE จะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องของอุณหภูมิระหว่างใช้งาน และอุณหภูมิระหว่างเก็บไว้อย่างชัดเจน ซึ่งหาก ไอโฟน เครื่องร้อน จนเกินกำหนดจะทำให้อุปกรณ์ขึ้นคำเตือนอุณหภูมิสูง ซึ่ง ไอโฟนเครื่องร้อน เกิดจาก ทั้งในตัวเครื่องและภายนอกเมื่อเตือนแล้วคุณจะไม่สามารถใช้งานไอโฟนได้จนกว่าเครื่องจะเย็นลงในอุณหภูมิที่ปกติ แต่ยังสามารถโทรฉุกเฉินได้อยู่ 

พูดง่าย ๆ เป็นกระบวนการป้องกันตัวเองของ IPHONE ไม่ให้เกิดการระเบิด ดังนั้นมันจึงจะไม่เป็นอันตรายกับคนใช้งาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะชะล่าใจได้ เมื่อใดก็ตามที่ไอโฟนขึ้นเตือนคุณต้องรีบทำไอโฟนของคุณให้เย็นเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการนำไอโฟนเข้าที่ร่ม, ถอดสายชาร์จ, เลี่ยงการเก็บในที่ปิด โดยเฉพาะในรถ 

สุดท้ายนี้เราอยากเตือนเรื่องของการลดอุณหภูมิของเครื่อง ด้วยการนำเข้าตู้เย็น หรือแช่ช่องฟรีซคือ “ห้ามทำเด็ดขาด” เพราะการกระทำดังกล่าวจะทำให้ไอโฟนของคุณเกิดความชื้นสะสม ทำให้แผงวงจรช็อต และพังในที่สุด เพราะงั้นอย่าหาทำเด็ดขาด

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
วิธีดูแลรักษา

ทำไงดี? ไอโฟนชาร์จไม่เข้า แก้ไขได้ หรือต้องเข้าร้านซ่อม

ไอโฟนชาร์จไม่เข้า

สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหา ไอโฟนชาร์จไม่เข้า เราเชื่อว่าคุณต้องหนักใจเอาเรื่องเลยพอสมควร โดยเฉพาะคนที่มีโทรศัพท์เครื่องเดียวก็ยิ่งเหมือนโดนตัดแขนตัดขาเลยก็ว่าได้ แล้วถ้าเจอปัญหาแบบนี้เราทำยังไงได้บ้าง แก้ไขเองได้ไหม หรือจำเป็นต้องเข้าร้านซ่อมอย่างเดียว เราไปรวบรวมข้อมูลมาให้ทุกคนแล้ว

แยกอาการของ ไอโฟนชาร์จไม่เข้า เพื่อหาสาเหตุ

ไอโฟนชาร์จไม่เข้า

ไอโฟน ชาร์จไม่เข้า นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สิ่งที่จะทำให้เราทราบได้ว่า ไอโฟนชาร์จแบตไม่เข้าเป็นเพราะอะไร เราต้องไปแยกอาการของมันให้ชัดเจนก่อน เพื่อที่เราจะสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างถูกจุด เพราะบางอาการเราสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซ่อมเสมอไป 

ไอโฟนชาร์จช้า หรือชาร์จไม่เข้าเลย

ไอโฟนชาร์จไม่เข้า

หาก ไอ โฟน ชาร์จ ไม่ เข้า หรือเข้าช้า อาจเกิดจากสายชาร์จ อะแดปเตอร์ และพอร์ตชาร์จของไอโฟน เช่น สายชาร์จชำรุด มีการฉีกขาด, ขาเสียบอะแดปเตอร์งอ หรือแตกหัก รวมไปถึงพอร์ตชาร์จของ ไอโฟนมีความสกปรก หรือชำรุดเสียหาย เป็นต้น

หากอยากทราบว่าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นจากจุดไหน ให้คุณทำการเช็กสายชาร์จ และ อะแดปเตอร์ < ทำความสะอาดพอร์ตชาร์จ < เสียบชาร์จครึ่งชั่วโมง < หากชาร์จไม่เข้าให้รีสตาร์ทไอโฟน < เสียบชาร์จครึ่งชั่วโมง < หากยังชาร์จไม่เข้าอาจเกิดจากพอร์ตชาร์จชำรุด < แนะนำให้นำสายชาร์จ อะแดปเตอร์ และไอโฟนของคุณไปตรวจเช็กโดยละเอียดที่ APPLE STORE หรือร้านซ้อมไอโฟน

*เคล็ดไม่ลับ วิธีทำความพอร์ตชาร์จของไอโฟนได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้แปรงสีฟันเก่าที่มีความนุ่มระดับหนึ่งปัดฝุ่นเบา ๆ ออกจาพอร์ตชาร์จ

ข้อความเตือนว่า “อุปกรณ์เสริมไม่รองรับ” หรือ “ไม่ได้รับการรับรอง”

ไอโฟนชาร์จไม่เข้า

นอกจากจะมีข้อความดังกล่าวเตือนขึ้นแล้ว บางครั้งยังมักจะมีอาการ ไอโฟนชาร์จแบตไม่เข้า ขึ้นรูปสายฟ้า อาการนี้ส่วนใหญ่มักจะเกิดจาก “สายชาร์จชำรุด” แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น พอร์ตชาร์จสกปรก หรืออะแดปเตอร์ หรือสายชาร์จไม่รองรับอุปกรณ์ของคุณ (อะแดปเตอร์ หรือสายชาร์จไม่ได้มาตรฐานของ APPLE) วิธีแก้ไขอาการนี้ง่ายมาก ๆ และแทบจะไม่จำเป็นต้องทำเข้าศูนย์เลย เพียงให้คุณทำสิ่งนี้

  • เลือกใช้สายชาร์จ และอะแดปเตอร์แท้ หรือจากแบรนด์ที่ได้รับมาตรฐาน MFI
  • ทำความสะอาดพอร์ตชาร์จ
  • อัปเดต IOS ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
  • รีสตาร์ทไอโฟน
  • ติดต่อศูนย์บริการ

ไอโฟนแจ้งเตือนพบของเหลว แล้วชาร์จไม่เข้า

ไอโฟนชาร์จไม่เข้า

ไอโฟนชาร์จไม่เข้า พบของเหลว นั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่า มีความชื้น หรือมีของเหลวที่พอร์ตชาร์จ และหัวสายชาร์จ (ส่วนที่เชื่อมต่อกับมือถือ) ดังนั้นให้คุณทำการเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แห้งสนิทก่อน แต่หากมีการแจ้งเตือนแบบนี้ทุกครั้งที่มีการเสียบสายชาร์จ หรือแจ้งเตือนถีjเกิดไป แนะนำให้นำไอโฟนของคุณไปเช็กที่ศูนย์อย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งฟีเจอร์นี้จะมีเฉพาะในไอโฟนตั้งแต่ IPHONE X และรุ่นที่ใหม่กว่าเท่านั้น สำหรับไอโฟน 8 ลงไปจึงจะไม่มีการแจ้งเตือนแบบนี้ 

แบต 80% แต่ไอโฟนหยุดชาร์จแล้ว

ไอโฟนชาร์จไม่เข้า

สำหรับไอโฟนของใครใช้ IOS 13 ขึ้นไป อันนี้ไม่ต้องตกใจนะคะ นี่ไม่ใช่อาการไอโฟนชาร์จไม่เข้า หรือ ไอโฟนชาร์จแบตเข้า แต่แบตไม่เพิ่ม แต่นี้มันคือโหมดถนอมแบตเตอรี่ของไอโฟนที่ APPLE พัฒนาขึ้นมา ซึ่งสำหรับ IOS 13 หรือใหม่กว่าจะมีโหมดนี้มาให้ ซึ่งมันจะเป็นอัตโนมัติที่จะเรียนรู้พฤติกรรมการชาร์จของเจ้าของไอโฟนเครื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่ แต่แน่นอนว่ามันก็อาจจะยังไม่ดีเท่ากับเราถอดเอง ดังนั้นหากไอโฟนของคุณมีอาการดังกล่าว แปลว่ามือถือของคุณยังทำงานได้อย่างปกติอยู่

ทั้งนี้อาการชาร์จไอโฟนไม่เข้าทาง APPLE มักจะแนะนำคุณลองแก้ไขอาการต่าง ๆ เองก่อน หากแก้ไม่ได้จริง ๆ เขาจะแนะนำให้คุยกับที่ปรึกษาฝ่ายบริการช่วยเหลือของ APPLE เพื่อทำการแก้ไข หากยังแก้ไม่ได้ถึงจะทำการนัดหมายเพื่อซ่อม ดังนั้นเราจึงยังจะไม่แนะนำให้คุณนำไอโฟนของคุณไปซ่อมร้านซ่อมข้างนอกทันที เพราะคุณอาจจะโดนค่าซ่อมแพง ๆ ได้หากเช็กร้านไม่ดีพอ

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
วิธีดูแลรักษา

ราคา เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน ในศูนย์ APPLE ทั้งกระจกหน้าและหลังทุกรุ่น

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน

ชาวสาวกไอโฟนคนไหนที่กำลังประสบปัญหาหน้าจอแตกแต่ยังไม่ได้ เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน เพราะยังไม่รู้ว่าจอไอโฟนแต่ละรุ่นราคาศูนย์เท่าไหร่ ถ้าต้องการเปลี่ยนที่ศูนย์ APPLE ต้องทำยังไง วันนี้เราจึงได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาให้แล้ว ทั้งราคาของหน้าจอ และราคาเปลี่ยนกระจกหลังไอโฟนแต่ละรุ่นอยู่ที่เท่าไหร่บ้าง วันนี้ครบ จบในที่เดียวแน่นอน

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน ต้องใช้งบในการซ่อมเท่าไหร่บ้าง

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน

สำหรับการเปลี่ยน เปลี่ยนหน้าจอ ไอโฟน จะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่ เปลี่ยนจอไอโฟน เฉพาะกระจกหน้า, เปลี่ยนกระจกด้านหลัง และเปลี่ยนทั้งกระจกหน้าและหลัง ซึ่งราคาในการเปลี่ยนก็จะแตกต่างตามกันไปของไอโฟนแต่ละรุ่น และสำหรับกระจุกหลังก็จะมีเฉพาะในรุ่นใหม่ ๆ เท่านั้น โดยราคาในการเปลี่ยนกับ APPLE STORE ก็จะมีราคาดังนี้

เปลี่ยนเฉพาะกระจกด้านหน้า

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน

สำหรับจอไอโฟนนั้น หากมีปัญหาถ้าไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์ หรือเกิดการแตกร้าวทาง APPLE จะไม่มีการ ซ่อมหน้าจอไอโฟน แต่จะต้องการ เปลี่ยนจอ IPHONE ใหม่เท่านั้น โดยคุณสามารถเช็กราคาค่าเปลี่ยนจอโดยประมาณฝ่าย APPLE SUPPORT ได้เลย สำหรับคนที่มี APPLE CARE+ ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนจอเพียง 1,000 บาทเท่านั้น แต่หากไม่มีราคาของแต่ล่ะรุ่นก็จะอยู่ที่ประมาณนี้

รุ่น iPhoneราคาซ่อมไม่มีประกัน
IPHONE SE IPHONE SE2 และ IPHONE SE3ราคา 4,690 บาท
IPHONE 7, IPHONE 8ราคา 5,290 บาท
IPHONE 7 PLUS, IPHONE 8 PLUSราคา 6,090 บาท
IPHONE Xราคา 10,299 บาท
IPHONE XRราคา 7,190
IPHONE XSราคา 10,299 บาท
IPHONE XS MAXราคา 12,499 บาท
IPHONE 11ราคา 7,190 บาท
IPHONE 11 PROราคา 10,299 บาท
IPHONE 11 PRO MAXราคา 12,499 บาท
IPHONE 12 MINI, IPHONE 13 MINIราคา 7,990 บาท
IPHONE 12, IPHONE 13, IPHONE 12 PRO, IPHONE 13 PROราคา 10,299 บาท
IPHONE 12 PRO MAX, IPHONE 13 PRO MAXราคา 12,499 บาท
IPHONE 14, IPHONE 15ราคา 10,299 บาท
IPHONE 14 PLUS, IPHONE 15 PLUS, IPHONE 14 PRO, IPHONE 15 PROราคา 12,499 บาท
IPHONE 14 PRO MAX, IPHONE 15 PRO MAXราคา 14,990 บาท

เปลี่ยนเฉพาะกระจกด้านหลัง

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน

สำหรับกระจกไอโฟนด้านหลังจากมีในเฉพาะไอโฟนรุ่น 12, 13, 14 และ 15 เท่านั้น โดยการ เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน APPLE ดูเหมือนว่ารุ่น IPHONE 15 จะมีราคาที่ถูกกว่ารุ่นอื่น ๆ เป็นเท่าตัวเลยก็ว่าได้ ส่วนคนที่มี APPLE CARE+ ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ 1,000 บาททุกรุ่นเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ไม่มีค่าเปลี่ยนกระจกหลังจะอยู่ที่ประมาณนี้

รุ่น iPhoneราคาซ่อมไม่มีประกัน
IPHONE 12 MINI, IPHONE 13 MINIราคา 10,390 บาท
IPHONE 12, IPHONE 13ราคา 12,090 บาท
IPHONE 12 PRO, IPHONE 13 PROราคา 17,190 บาท
IPHONE 12 PRO MAX, IPHONE 13 PRO MAX, IPHONE 14 PROราคา 19,290 บาท
IPHONE 14, IPHONE 15, IPHONE 15 PROราคา 6,490 บาท
IPHONE 14 PLUS, IPHONE 15 PLUS, IPHONE 15 PRO MAXราคา 7,490 บาท
IPHONE 14 PRO MAXราคา 21,990 บาท

เปลี่ยนกระจกหน้าและกระจกหลัง

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน

ในการ เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน ICARE หรือศูนย์ APPLE สำหรับการบริการเปลี่ยนหน้าจอพร้อมกับกระจกหลัง จะมีการระบุค่าบริการเฉพาะ IPHONE 14 และ 15 เท่านั้น สำหรับรุ่นอื่น ๆ อาจจะต้องติดต่อสอบถามกับทางผู้ให้บริการอีกครั้งหนึ่ง และหากมี APPLE CARE+ จะมีราคาค่าบริการอยู่ที่ 2,000 บาท

รุ่น iPhoneราคาซ่อมไม่มีประกัน
IPHONE 14, IPHONE 15ราคา 14,990 บาท
IPHONE 14 PLUS, IPHONE 15 PLUSราคา 16,990 บาท
IPHONE 14 PROราคา 22,990 บาท
IPHONE 14 PRO MAXราคา 24,390 บาท
IPHONE 15 PROราคา 15,990 บาท
IPHONE 15 PRO MAXราคา 18,490 บาท

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน กับศูนย์ได้ง่าย ๆ เพียงจองคิวผ่านออนไลน์

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟน

สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนหน้าจอไอโฟน กับทางศูนย์ APPLE หรือ ICARE คุณสามารถเข้าไปจองคิวได้ง่าย ๆ ผ่านเว็บไซต์ของ APPLE หรือเข้าใน APP บริการช่วยเหลือ หรือ APPLE SUPPORT ซึ่งคุณจะต้องเลือกหัวข้อการบริการ > เลือกสถานที่ให้บริการ > แล้วทำการนัดหมาย > รออีเมลยืนยัน 

เปลี่ยนหน้าจอไอโฟนใช้เวลานานไหม สำหรับศูนย์ซ่อมจะไม่ใช่ร้านซ่อมด่วน ดังนั้นจึงอาจจะจะต้องรอการเปลี่ยนจอใหม่ประมาณ 1 – 2 วันทำการ ทั้งนี้ทาง APPLE จะต้องทำการตรวจเช็กก่อนว่า เครื่องเคยถูกแกะมาหรือใหม่ เช่น หากเคยเปลี่ยนแบต หรือจอจากร้านนอก ทางศูนย์จะปฏิเสธการเปลี่ยนจอหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ให้คุณทันที

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
วิธีดูแลรักษา

เปลี่ยนแบตไอโฟน ราคายังไง เปลี่ยนศูนย์หรือร้านซ่อมข้างนอกดีกว่ากัน 

เปลี่ยนแบตไอโฟน

ชาวสาวกไอโฟนมีใครเคยเข้าไปเช็กสุขภาพแบตเตอรี่กันบ้างไหมคะ ถ้ายังไม่เคยลองเข้าไปเช็กกันดูนะคะว่าแบตเตอรี่มือถือของคุณเริ่มเสื่อมหรือยังถ้าพบว่าเมื่อมีความจุสูงสุดต่ำกว่า 80% แปลว่าคุณควร เปลี่ยนแบตไอโฟน ของคุณแล้ว ดังนั้นวันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวราคาของแบตไอโฟนแต่ละรุ่น รวมไปถึงข้อแนะนำว่าควรเปลี่ยนจากศูนย์ APPLE หรือร้านซ่อมข้างนอกดี

ราคา เปลี่ยนแบตไอโฟน แต่ละรุ่น ราคาทางการบน APPLE SUPPORT

เปลี่ยนแบตไอโฟน

สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่อยาก เปลี่ยน แบตไอโฟน แต่ยังไม่ทราบว่า ราคาเปลี่ยนแบตไอโฟน ว่าแต่ละรุ่นมีค่าเปลี่ยนเท่าไหร่บ้าง ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับราคาของแบตไอโฟนตั้งแต่รุ่น IPHONE SE ไปจนถึง IPHONE 15 PRO MAX ซึ่งเป็นราคาทางการที่เปิดเผยบนเว็บไซต์ APPLE SUPPORT โดย เปลี่ยนแบตไอโฟนที่ศูนย์ราคา ประมาณนี้

เปลี่ยนแบตไอโฟน
  • IPHONE SE, IPHONE SE (รุ่น2) และ IPHONE SE (รุ่น3) ราคา 2,590 บาท
  • IPHONE 7 และ IPHONE 7 PLUS ราคา 2,590 บาท
  • IPHONE 8 และ IPHONE 8 PLUS ราคา 2,590 บาท
  • IPHONE X ราคา 3,290 บาท
  • IPHONE XR ราคา 3,290 บาท
  • IPHONE XS และ IPHONE XS MAX ราคา 3,290 บาท
  • IPHONE 11, IPHONE 11 PRO และ IPHONE 11 PRO MAX ราคา 3,290 บาท
  • IPHONE 12 MINI, IPHONE 12, IPHONE 12 PRO และ IPHONE 12 PRO MAX ราคา 3,290 บาท
  • IPHONE 13 MINI, IPHONE 13, IPHONE 13 PRO และ IPHONE 13 PRO MAX ราคา 3,290 บาท
  • IPHONE 14, IPHONE 14 PLUS, IPHONE 14 PRO และ IPHONE 14 PRO MAX ราคา 3,690 บาท
  • IPHONE 15, IPHONE 15 PLUS, IPHONE 15 PRO และ IPHONE 15 PRO MAX ราคา 3,690 บาท

วิธีเช็กสุขภาพแบตเตอรี่ของไอโฟน

เปลี่ยนแบตไอโฟน

หลังจากได้ดูข้อมูลกันไปแล้วว่า เปลี่ยนแบตไอโฟนแท้ราคาเท่าไร เราไปดูกันต่อเลยว่า วิธีเช็กสุขภาพของแบตเตอรี่ต้องทำยังไง อันดับแรกให้คุณไปที่ การตั้งค่า < แบตเตอรี่ < สุขภาพแบตเตอรี่ < ดูที่ความจุสูงสุด หากความจุสูงสุดต่ำกว่า 80% นั่นหมายถึงว่า แบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้วแนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ทันที

เปลี่ยนแบตไอโฟนที่ศูนย์ APPLE หรือร้านซ่อมข้างนอกดี

ปัจจุบันมีร้านซ่อมหลายร้านที่รับเปลี่ยนอุปกรณ์ของไอโฟน ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนจอ เปลี่ยนกล้อง หรือแบตเตอรี่ ซึ่งก็ได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคย เปลี่ยนแบต IPHONE ก็อาจจะยังตั้งคำถามว่าเปลี่ยนแบตไอโฟนที่ศูนย์ APPLE หรือร้านซ่อมข้างนอกอันไหนดีกว่ากัน ต้องบอกแบบนี้ว่า การเปลี่ยนแบตไอโฟนในศูนย์และร้านซ่อมมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน โดยความต่างของการใช้บริการทั้ง 2 ประเภทมีข้อดีและข้อเสียต่างกันดังนี้

ข้อดี-ข้อเสียในการเปลี่ยนแบตในศูนย์

เปลี่ยนแบตไอโฟน

ข้อดี -มั่นใจว่าแบตเตอรี่เป็นของแท้จากศูนย์

-มีการประกันหลังการเปลี่ยน

-มีความน่าเชื่อถือ

-หากมีประกันสามารถเปลี่ยนได้ฟรี

ข้อเสีย -หากไม่มีประกันจะต้องจ่ายค่าซ่อมที่ค่อนข้างสูง

-ต้องให้รหัสผ่านเครื่องกับช่าง

-อาจจะใช้เวลาในการเปลี่ยนค่อนข้างนานกว่าร้านนอก

ข้อดี-ข้อเสียในการเปลี่ยนแบตร้านซ่อมนอก

เปลี่ยนแบตไอโฟน

ข้อดี -ราคาในการเปลี่ยนถูกกว่าเปลี่ยนศูนย์

 -สามารถรอรับหน้าร้านได้เลย

-ไม่ต้องให้รหัสผ่านกับช่าง

ข้อเสีย -ส่วนใหญ่ไม่มีการประกันหลังการเปลี่ยน

-บางร้านอาจนำสินค้าไม่ได้คุณภาพมาเปลี่ยนให้

-หากเช็กร้านไม่ดีอาจเกิดปัญหาตามมาได้

-หากได้ช่างที่ไม่มีประสบการณ์อาจจะทำให้เกิดปัญหากับจุดอื่นได้

ใช้งานนานเท่าไหร่ถึงควร เปลี่ยนแบตไอโฟน

เปลี่ยนแบตไอโฟน

หลังจากที่ดูข้อมูลเกี่ยวกับ เปลี่ยนแบต ไอโฟน ก่อนที่จะจากกันไปในวันนี้เราของพาเพื่อน ๆ ไปดูกันว่า แบตไอโฟนมีอายุการใช้งานกี่ปี ถึงจะเริ่มเสื่อมสภาพแล้วต้องทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยสำหรับแบตไอโฟนจะอยู่ที่ประมาณ 500 – 1,000 รอบ หรือราว ๆ 2 – 3 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของแต่ละประเทศ สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ใช้ไอโฟนมาแล้ว 2 – 3 ปีควรเข้าไปเช็กดูสุขภาพของแบตเตอรี่บ้างว่า ยังอยู่ในระดับที่พร้อมใช้งาน หรือเสื่อมสภาพหรือยัง อยากปล่อยให้ไอโฟนของคุณดับคามือเด็ดขาด

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
วิธีดูแลรักษา

ถ้าอยาก ประหยัดพื้นที่ ICLOUD ให้มีพื้นที่มากขึ้นให้ทำแบบนี้

ประหยัดพื้นที่ ICLOUD

สำหรับใครที่ใช้สินค้าของ APPLE ก็คงจะรู้จักกันดีว่า APPLE จะมีบริการ ICLOUD ซึ่งเป็นบริการสำหรับจัดเก็บ หรือแชร์ไฟล์และโฟลเดอร์ต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถจัดการและเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าใครที่อยาก ประหยัดพื้นที่ ICLOUD วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ ที่ให้คุณสามารถจัดการพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลบน ICLOUD ใครที่ไม่อยากจ่ายเงินซื้อ ICLOUD เพิ่มก็สามารถลองทำตามวิธีที่เรานำมาฝากวันนี้ได้เลย

วิธีที่จะช่วยให้คุณ ประหยัดพื้นที่ ICLOUD มากยิ่งขึ้น

ประหยัดพื้นที่ ICLOUD

หากคุณอยาก ประหยัดพื้นที่ICLOUD แต่ยังไม่รู้ว่า มีวิธีไหนบ้างที่จะช่วย เพิ่มพื้นที่ ICLOUD ฟรี ของคุณได้บ้าง เพราะพื้นที่ ICLOUD ที่ APPLE ให้มาจะอยู่ที่ 5GB เท่านั้น ดังนั้นวันนี้เรามีวิธีเคลียร์พื้นที่ในการเก็บข้อมูลบน ICLOUD มาแนะนำทุกคนแล้ว โดยให้คุณไปที่ตั้งค่า > เลือก APPLE ID > กดเลือก ICLOUD > จัดการพื้นที่จัดเก็บข้อมูล > เลือกลบข้อมูลที่ต้องการได้เลย *แต่ในกรณีนี้จะทำให้ไฟล์บน ICLOUD ที่คุณลบหายไปอย่างถาวร และไม่สามารถกู้ข้อมูลคืนได้ ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่ไม่แนะนำเท่าไหร่นัก

แต่เราอยากให้เพื่อน ๆ ลองสำรวจความต้องการของตัวเองก่อนว่า ไฟล์ประเภทไหนที่เราต้องการบันทึกไว้บน ICLOUD เช่นบางคนอาจจะเป็น รูปภาพ, วิดีโอ, โน้ต หรือ ไฟล์ ICLOUD DRIVE เป็นต้น เนื่องจากบางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าไฟล์ต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกสำรองข้อมูลบน ICLOUD ด้วยซึ่งวิธีปิดการสำรองข้อมูลบน ICLOUD มีวิธีต่าง ๆ ดังนี้

ประหยัดพื้นที่ ICLOUD

ลบไฟล์บน ICLOUD DRIVE

การเลือกลบไฟล์บน ICLOUD DRIVE นอกจากจะช่วยให้คุณสามารถลบเฉพาะไฟล์ที่ไม่ต้องการได้แล้ว ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ของ ICLOUD ของคุณได้ด้วย โดยให้คุณไปที่แอปไฟล์ > เลือกหา > ICLOUD DRIVE > กดจุด 3 จุด (มุมขวาบน) > เลือก > จากนั้นเลือกไฟล์ที่ต้องการลบ 

ประหยัดพื้นที่ ICLOUD

ปิดการสำรองรูปและวิดีโอบน ICLOUD

สำหรับใครที่เคยสงสัยว่า เก็บรูปใน ICLOUD ดีไหม เราต้องบอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เพราะนอกจากจะทำให้คุณประหยัดพื้นที่ของอุปกรณ์แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งการสำรองข้อมูลที่ป้องกันไม่ให้ไฟล์ภาพ และวิดีโอที่เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำของคุณหายอีกด้วย แต่สำหรับใครที่อยากประหยัดพื้นที่ของ ICLOUD และไม่ต้องการสำรองรูปบน ICLOUD แล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยให้คุณไปที่ ตั้งค่า > แอปรูปภาพ > ปิดรูปภาพ ICLOUD

แต่สำหรับบางคนรูปภาพและวิดีโอบางส่วนอาจจะถูกบันทึกไว้เฉพาะบน ICLOUD ดังนั้นถ้าหากไม่อยากให้รูปภาพหาย ให้คุณกดเลือก “ดาวน์โหลดรูปภาพและวิดีโอ” ซึ่งจะเหมือนเป็นการดึงข้อมูลกลับมาไว้บนอุปกรณ์ของคุณ แต่ถ้าพื้นที่ของอุปกรณ์เต็มก็จะทำให้ไม่สามารถดาวน์โหลดได้

ประหยัดพื้นที่ ICLOUD

ลบไฟล์บนแอป NOTE 

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ไฟล์การบันทึก NOTE ทั้งหมด จะไปอยู่บน ICLOUD ทั้งหมด ดังนั้นการลบ NOTE ที่ไม่จำเป็นจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้พื้นที่ของ ICLOUD เพิ่มขึ้น โดย วิธีลบข้อมูลใน ICLOUD IPHONE บนแอปโน้ตให้คุณไปที่ แอปโน้ต > ICLOUD ทั้งหมด > กดจุด 3 จุด (มุมขวาบน) > เลือกโน้ต > เลือกโน้ตที่ต้องการลบ > กดลบ > เลือกเสร็จสิ้น เท่านี้โน้ตต่าง ๆ ก็จะถูกลบและไปอยู่ในขยะและจะถูกลบอย่างถาวรภายในเวลาประมาณ 40 วัน 

ถ้า ประหยัดพื้นที่ ICLOUD ไม่ได้ก็ซื้อพื้นที่ของ ICLOUD เพิ่มไปเลย

ประหยัดพื้นที่ ICLOUD

หลังจากที่เราไปพูดคุยกันเรื่องประหยัดพื้นที่ ICLOUD กันไปแล้ว สุดท้ายก่อนจากกันไปในวันนี้เรามาพูดถึงเรื่องของการที่เราไม่ต้องประหยัดกันแล้วดีกว่า โดยบริการดังกล่าวจะมีชื่อว่า ICLOUD+ ซึ่งเป็นบริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ซึ่งจะมี 5 แพ็กเกจให้เลือกได้แก่ 50GB 35บาท/เดือน, 200GB 99บาท/เดือน, 2TB 349บาท/เดือน, 6TB 999บาท/เดือน และ 12TB 1,990บาท/เดือน ซึ่งแต่ละแพ็กเกจก็จะมีบริการเสริมพิเศษต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป

แล้วถ้าอยาก ซื้อพื้นที่ ICOUD จ่ายเงินยังไง ที่จริงการจ่ายค่าบริการต่าง ๆ ของ APPLE สามารถทำได้ง่ายมาก ๆ โดย APPLE ID จะมีบริการชำระเงินอัตโนมัติให้คุณเลือกได้ตามที่ต้องการทั้งบัตรเครดิต, เดบิต, TRUE MONEY WALLET, SHOPEE PAY และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งบริการนี้ไม่เพียงแค่ให้คุณสะดวกต่อการชำระค่าบริการ ICLOUD+ เท่านั้นแต่ยังรวมถึงการเช่าซื้อแอปต่าง ๆ บน APP STORE อีกด้วย

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
วิธีดูแลรักษา

ICLOUD DRIVE ตัวช่วยดี ๆ ของคนใช้ APPLE

ICLOUD DRIVE

สำหรับใครที่ใช้อุปกรณ์ของ APPLE คงเคยได้ยินชื่อของICLOUDกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่เข้าใจว่า ICLOUDคืออะไร ซึ่งจริง ๆ แล้ว ICLO UD คือหนึ่งในบริการของ APPLE โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ICLOUDPHOTO และ ICLOUD DRIVE ซึ่งเป็นบริการที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้ด้วย สำหรับใครที่ยังไม่เคยใช้อ่านบทความนี้จบ แล้วรีบเปิดใช้งานได้เลย

ICLOUD DRIVE พื้นที่การจัดเก็บไฟล์ที่ให้คุณจัดการไฟล์ได้ง่ายขั้น

ICLOUD DRIVE

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับICLOUD DRIVEวันนี้ก่อนที่เราจะไปดูข้อมูลในส่วนอื่น ๆ เราอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกันก่อนว่า ICLOUD DRIVEคืออะไร ทำไมถึงดูมีประโยชน์กับชาว APPLE โดยทาง APPLE จะมีบริการเหล่านี้ไว้เพื่อให้ลูกค้าของพวกเขาเข้าถึงบริการและจัดการข้อมูลได้อย่างเป็นสัดส่วน และเป็นระเบียบมากขึ้น ซึ่งจะแบ่งบริการออกเป็น 4 บริการหลัก ๆ ด้วยกัน คือ APPLE TV, APPLE MUSIC, APPLE ARCADE และICLOUDโดยICLOUD DRIVEจะเป็นบริการย่อยที่เป็นตัวช่วยที่ให้คุณสามารถเข้าถึงและแชร์ไฟล์ที่จัดเก็บอยู่ในICLOUDได้ 

ICLOUD DRIVE

ICLOUDและICLOUD DRIVEต่างกันอย่างไร

มาถึงตรงนี้แล้ว ยังมีใครสงสัยอยู่ไหมว่าICLOUDและICLOUD DRIVE แตกต่างกันอย่างไร เราขออธิบายง่าย ๆ แบบนี้ว่าICLOUD DRIVEคือบริการย่อยของICLOUDทำหน้าที่เหมือนพื้นที่จัดเก็บข้อมูลพิเศษสำหรับผู้ใช้อุปกรณ์ของ APPLE ทั้ง IPHONE, IPOD TOUCH, IPAD และ MAC โดยจะมีบริการฟรีอยู่ที่ 5GB แต่พิเศษสำหรับ PC ที่ใช้ WINDOWS ก็สามารถใช้บริการดังกล่าวได้เช่นกัน โดยจะต้องเป็น PC ที่ใช้ WINDOWS 10 หรือใหม่กว่า ซึ่งคุณจะเข้าถึงICLOUD DRIVEได้ใน FILE EXPLORER นั่นเอง

ICLOUD DRIVE

ICLOUD DRIVEและICLOUD PHOTO ต่างกันอย่างไร

อย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าICLOUDจะมีบริการย่อยเป็น 2 บริการคือICLOUD DRIVEและICLOUD PHOTO ซึ่งเราได้ทำความรู้จักกับICLOUD DRIVEกันไปแล้ว แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าICLOUDทั้ง 2 อย่างนี้ต่างกันยังไง โดยบริการดังกล่าวจะอยู่บนทั้ง IPHONE, IPAD และ MAC เช่นเดียวกับ แต่สำหรับICLOUD PHOTOแล้วจะสามารถจัดเก็บได้เฉพาะรูปภาพและวิดีโอเท่านั้น โดยมีบริการฟรีอยู่ที่ 5GB เช่นเดียวกับ แต่หากใครรู้สึกว่ายังไม่เพียงพอก็สามารถเช่าเพิ่มแบบรายเดือนได้ ซึ่งบริการนี้เรียกได้ว่าเอาใจสายของถ่ายภาพและวิดีโอโดยเฉพาะ

ICLOUD DRIVE

ICLOUD DRIVEใช้อย่างไร

ICLOUD DRIVEวิธีใช้ บนแต่ละอุปกรณ์ก็จะมีความแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย โดยบน MAC ให้คุณไปที่ FINDER >ICLOUD จะอยู่ที่ SIDE BAR แต่ถ้าคุณกดเข้าไปแล้วโฟลเดอร์ICLOUDยังไม่ขึ้นมา ให้คุณไปที่ SETTING > เปิดใช้งานICLOUD เพียงเท่านี้คุณก็สามารถนำไฟล์ต่าง ๆ เข้าไปเก็บใน ICLOUDของ MAC ได้แล้วบน IPHONE, IPAD หรือ IPOD TOUCH สำหรับ IOS 11 ขึ้นไปคุณสามารถเข้าใช้ไฟล์ได้จากแอปไฟล์ หากไม่มีก็สามารถพิมพ์คนหา หรือดาวน์โหลดและติดตั้งเพื่อใช้งงานบนอุปกรณ์ได้เลย และสำหรับบนICLOUD.COM คุณจะต้องเข้าสู่ระบบICLOUD.COMด้วย APPLE ID ของคุณโดยใช้บน SAFARI

ICLOUD DRIVE ตัวช่วยที่ทำให้คุณเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่บนทุกอุปกรณ์

ICLOUD DRIVE

ICLOUD นอกจากจะเป็นพื้นที่ที่ให้คุณสามารถจัดเก็บข้อมูล และจัดการข้อมูลได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญยังเป็นที่จัดเก็บข้อมูลเสริมแบบที่คุณไม่จำเป็นต้องไปซื้อฮาร์ดดิสเพิ่ม แต่ตรงนั้นอาจจะยังไม่ใช่จุดเด่นของICLOUDเพราะจุดเด่นของบริการดังกล่าวคือ การที่ทำให้คุณเข้าถึงข้อมูลใน ICLOUDทั้ง ICLOUD DRIVEและICLOUD PHOTO ได้จะทุกอุปกรณ์เพียงแค่คุณ LOGIN APPLE ID เดียวกัน 

ที่สำคัญสำหรับบริการแบบรายเดือนยังมีหลายแพ็กเกจให้เลือก ซึ่งแต่ละแพ็กเกจก็จะมีบริการพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาให้เพียบ เช่น การแชร์กันในครอบครัวได้สูงสุดถึง 5 คน หรือ วิดีโอ HOMEKIT ซึ่งเป็นบริการจัดเก็บ วิเคราะห์ และดูวิดีโอที่เข้ารหัสจากกล้องวงจรปิดที่บ้านคุณ สำหรับราคา 349 บาท / เดือน จะไม่จำกัดจำนวนกล่องเลยทีเดียว โดยแพ็กเกจเสริมดังกล่าวจะเรียกว่า ICLOUD+ และมีราคาเริ่มต้นที่ 35บาท/เดือน สำหรับ 50GB 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
วิธีดูแลรักษา

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า เกิดจากอะไร และแก้ไขยังไงได้บ้าง

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า คือหนึ่งในปัญหาใหญ่ของคนใช้โน๊ตบุ๊คเลยก็ว่าได้ เนื่องจากโน๊ตบุ๊คจะมาพร้อมแบตเตอรี่ในตัว จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถพกพาโน๊ตบุ๊คไปทำงานนอกสถานที่แบบที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการใช้ไฟเมื่อต้องใช้งาน แต่ถ้าหากระบบการชาร์จของโน๊ตบุ๊คมีปัญหาก็จะทำให้การใช้งานของโน๊ตบุ๊คถูกจำกัดลง หรือทำให้เปิดใช้งานไม่ได้เลยทีเดียว

5 สาเหตุ และ วิธีแก้ไข โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า 

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

หากคุณรู้สึกว่าช่วงนี้ โน๊ตบุ๊ค ชาร์จไฟไม่เข้า หรือเริ่มมีอาการชาร์จไฟไม่ค่อยเข้า และสงสัยว่าสาเหตุที่ โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้าเกิดจากอะไร และเมื่อทราบสาเหตุแล้วต้องแก้ไขยังไง วันนี้เรามีวิธีตรวจสอบว่าสาเหตุมาจากจุดไหน และวิธีแก้ไขอาการโน๊ตบุ๊คชาร์จไม่เข้าต้องทำยังไง วันนี้เรามีคำตอบมาให้ทุกคนแล้ว

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

แบตเตอรี่เสื่อม

แบตเตอรี่เสื่อมนับว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ NOTEBOOK ชาร์จไฟไม่เข้า และจะเรียกว่าเป็นปัญหายอดนิยมของคนใช้โน๊ตบุ๊คเลยก็ว่าได้ เนื่องจากแบตเตอรี่เสื่อมเกิดจากได้ทั้งอายุการใช้งาน และพฤติกรรมของใช้งาน ซึ่งหากคุณพบว่าโน๊ตบุ๊คของคุณมีระยะเวลาในการใช้งานที่ลดลง หรือใช้ไปสักพักแล้วเครื่องดับเราแนะนำให้เปลี่ยนแบตซึ่งโน๊ตบุ๊คบางรุ่นจะสามารถถอดแบตได้ คุณจึงสามารถหาซื้อแบตมาเปลี่ยนได้เองแบบที่ไม่จำเป็นต้องหิ้วไปร้านเลย

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

ปัญหาจากการเชื่อมต่อปลั๊ก

บางคนอาจจะมีการเชื่องต่อปลั๊กเพื่อชาร์จโน๊ตบุ๊คหลายจุด เช่นต่อปลั๊กพ่วงจากผนังแล้วนำสายชาร์จไปต่อไฟจากปลั๊คพ่วงอีกทีนึง อันนี้เราอาจจะต้องเช็กให้ดีก่อนว่า ชาร์จแบตไม่เข้าเกิดจากอะไร เพราะเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากปลั๊กผนัง ปลั๊กพ่วง หรือสายชาร์จโน๊ตบุ๊ค อาจจะหลวมจนทำให้ชาร์จไฟไม่เข้าได้

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

สายชาร์จชำรุด

สายชาร์จชำรุดเป็นสาเหตุที่ทำให้ สายชาร์จโน๊ตบุ๊ค ไฟไม่เข้า แต่ผู้ใช้งานสามารถสังเกตุเห็นได้ค่อนข้างง่าย ยกเว้นในกรณีที่เกิดจากการขาดหรือชำรุดภายในสาย ซึ่งหากคุณสังเกตเห็นว่าสายชาร์จมีการรอยแตก ขาด หรือหัวปลั๊กมีสนิมขึ้น ก็มั่นใจได้เลยว่าสาเหตุที่ทำให้ไฟชาร์จไม่เข้า โดยหากเป็นปัญหาที่สายโดยตรง แนะนำให้ซื้อสายมาเปลี่ยน แต่ถ้าเป็นในส่วนของปลั๊กเราแนะนำให้ลองทำความสะอาดดูก่อน แต่หากทำความสะอาดแล้วแต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ก็แนะนำให้ซื้อสายใหม่เช่นกัน

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

อะแดปเตอร์พัง

ถ้าหากคุณเช็คแล้วว่าสายชาร์จของคุณไม่มีปัญหา ไม่ขาด ไม่แตก เราอยากให้คุณลองเช็กอะแดปเตอร์ว่า อะแดปเตอร์เสียหรือไม่ เพราะถ้ามันมีปัญหาอาจจะทำให้ โน๊ ต บุ๊ค ชาร์จไฟไม่เข้า เปิดไม่ติด ซึ่งวิธีเช็คอาจะยากสักหน่อย โดยคุณอาจจะต้องหาตัวเทียบ ซึ่งควรใช้อะแดปเตอร์รุ่นเดียวกันมาลองใช้งานดูว่าสามารถใช้งานได้ไหม และถ้าหากพบว่า เมื่อเราเปลี่ยนอะแดปเตอร์โน๊ตบุ๊คสามารถชาร์จแบตได้ ก็หมายความว่าอะแดปเตอร์พัง ซึ่งจะต้องซื้ออะแดปเตอร์ใหม่มาเปลี่ยน

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

ผู้ใช้งานถอดแบตบ่อย

หากคุณมีพฤติกรรมชอบถอดแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คบ่อยแบบเกินความจำเป็น และวพบว่า โน๊ตบุ๊ค ชาร์จเข้า แต่แบตไม่ขึ้น หรือพบว่าไอคอนเปอร์เซ็นต์แบตขึ้นว่าแบตถูกถอดออก โดยที่เรายังไม่ได้ถอดแบตมีความเป็นไปได้ว่าคั่วแบตหลวม หรืออุปกรณ์ภายในเสียหายจนทำให้โน๊ตบุ๊คไม่สามารถนำพลังงานจากแบตไปใช้งานได้ หรือไม่สามารถชาร์จไฟได้เหมือนปกติ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจำเป็นจะต้องนำเครื่องไปซ่อมกับช่างเท่านั้น

ชาร์จไปเล่นได้สามารถทำให้ โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า 

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

หลายคนอาจจะสงสัยว่า โน๊ตบุ๊คชาร์จแบตไปเล่นไปได้ไหม จริง ๆ คือสามารถทำได้ แต่เราอยากแนะนำให้คุณเข้าไปเซ็ตแบตเตอรี่ก่อน โดยเซ็ตให้แบตสามารถชาร์ตเต็มที่ 60 – 80% เพื่อให้แบตยังมีพื้นที่เหลือสำหรับรองรับไฟที่จะเข้าในระบบ ซึ่งการชาร์จโน๊ตบุ๊คไปเล่นไปนั้นไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า แต่การชาร์ไปเล่นไปจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อม และเมื่อแบตเสื่อมก็จะทำให้โน๊ตบุ๊คชาร์จแบตไม่เข้าตามมานั่นเอง

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: sa-game.bet

Categories
วิธีดูแลรักษา

สาเหตุและวิธีแก้ไข โน๊ตบุ๊คร้อน ทำได้ง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน

โน๊ตบุ๊คร้อน

โน๊ตบุ๊คร้อน นับว่าเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจให้กับผู้ใช้ไม่น้อยเลยทีเดียว และที่สำคัญเมื่อโน๊ตบุ๊คเกิดความร้อยก็จะทำให้โน๊ตบุ๊คมีอาการอืด ช้า ทำให้เรารู้สึกทำงานได้ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร ซึ่งวันนี้ใครที่กำลังเจอปัญหานี้อยู่วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าสาเหตุที่ทำให้โน๊ตบุ๊คร้อนนั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง และเราจะแก้ไขอาการนี้ยังไง วันนี้มีคำตอบค่ะ

5 สาเหตุที่ทำให้ โน๊ตบุ๊คร้อน รู้ก่อน แก้ไขก่อน

โน๊ตบุ๊คร้อน

สาเหตุที่ทำให้ โน๊ตบุ๊ค ร้อน เกิดได้จากหลายปัจจัยเป็นอย่างยิ่ง และหลายคนอาจสงสัยว่า โน๊ตบุ๊คร้อนผิดปกติไหม จริง ๆ แล้วเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดจะเกิดความร้อน และมีการระบายความร้อนออกมาจากตัวเครื่องเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าโน๊ตบุ๊คมีความร้อนสูงเกิน 90 องศาเซลเซียส จะถือว่าความร้อนเกิดมาตรฐาน อาจเป็นสัญญาณเตือนที่โน๊ตบุ๊คมีความผิดปกติจนทำให้เกิดความร้อนสูงตามมา

โน๊ตบุ๊คร้อน

ใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน

การที่เราใช้งานโน๊ตบุ๊คต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็จะทำให้ โน๊ ต บุ๊ค ร้อน แล้ว กระตุก ได้เช่นเดียวกัน เหมือนเวลาที่คนเราทำงานหนัก ๆ แล้วไม่เคยได้พักเลย ซึ่งหากความร้อนเกิดจากสาเหตุนี้สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ เพียงแค่เราหาเวลาให้โน๊ตบุ๊คได้พักบ้างก็จะทำให้ความร้อนลดลง และอาการกระตุกหายไปอีกด้วย

โน๊ตบุ๊คร้อน

ฝุ่นเข้าไปอุดตันทำให้ระบายคอมร้อนไม่ได้

ปกติแล้วโน๊ตบุ๊คของเราจะมีความร้อนเกิดขึ้นฝั่งเดียว ซึ่งจะเป็นฝั่งที่มี CPU และการ์ดจอติดตั้งอยู่ แต่หาก โน๊ตบุ๊คร้อนข้างเดียว และพัดลมระบายความร้อนของเครื่องทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร อาจเป็นไปได้ว่า โน๊ตบุ๊คของคุณอาจมีฝุ่นเข้าไปสะสมในระบบเป็นจำนวนมาก จนทำให้โน๊ตบุ๊คไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร วิธีแก้ไขคือเราจำเป็นต้องแกะตัวเครื่องเพื่อทำความสะอาดภายใน แต่สำหรับใครที่ไม่เชี่ยวชาญเราแนะนำให้ถือไปให้ช่างดูและให้จะดีกว่า

โน๊ตบุ๊คร้อน

ใช้โปรแกรมที่กินทรัพยากรเครื่องเยอะ

สำหรับใครที่พบว่า โน๊ตบุ๊คร้อนเวลาเล่นเกม หรือร้อนมาก ๆ เมื่อเปิดใช้งานโปรแกรมบางโปรแกรม แล้วโน๊ตบุ๊คร้อน พัดลมระบายความร้อนทำงานแรงขึ้น นั่นเป็นสัญญาณว่าโปรแกรมนั้น ๆ กิน RAM จนทำให้โน๊ตบุ๊คทำงานหนักมากเกินกำลัง วิธีแก้ไขคือเราอาจจะต้องเลี่ยงการเล่นเกมนั้น หรือโปรแกรมนั้น แต่ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ เราแนะนำให้หาอุปกรณ์ระบายความเสริม เช่น พัดลมระบายความร้อน เพื่อเป็นการลดความร้อนเบื้องต้น

โน๊ตบุ๊คร้อน

ใช้งานโน๊ตบุ๊คในที่ที่อากาศร้อน

ถ้าคุณใช้โน๊ตบุ๊คในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เช่น ในบ้านที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ นอกตัวอาคาร หรือในพื้นที่กลางแจ้ง แล้วอยากรู้วิธีที่ ทำยังไงให้โน๊ตบุ๊คไม่ร้อน วิธีแก้ไขในเบื้องต้นเราแนะนำให้พัดลมระบายความร้อนช่วย โดยเฉพาะคนที่ใช้โน๊ตบุ๊คในที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท อุปกรณ์นี้ถือว่ามีประโยชน์มาก ๆ ปิดเครื่องเพื่อให้อุปกรณ์ของคุณได้พักเป็นระยะ ๆ ไม่ควรใช้งานแบบลากยาว รวมไปถึงจัดโต๊ะคอมของคุณให้มีพื้นที่สำหรับการระบายความร้อนของโน๊ตบุ๊คก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้

โน๊ตบุ๊คร้อน

ซิลิโคนเสื่อมสภาพ

ถ้าหาก 4 สาเหตุที่เรากล่าวมาในข้างต้นยังไม่ใช่สาเหตุที่ให้โน๊ตบุ๊คของคุณร้อน และถ้าหากโน๊ตบุ๊คของคุณมีอายุการใช้งานค่อนข้างจะหลายปีแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า ซิลิโคนเสื่อมสภาพ โดยซิลิโคนตัวนี้จะเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ในระบบระบายความร้อนของทั้งโน๊ตบุ๊คและคอมพิวเตอร์ แล้วถ้า โน๊ตบุ๊คร้อนแก้ยังไง คำตอบคือ จะต้องเพื่อเปลี่ยนซิลิโคน ซึ่งใครที่ไม่เชี่ยวชาญแนะนำไปให้ช่างซ่อมจะดีกว่า

โน๊ตบุ๊คร้อน ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ใช้งานอย่างถนอมดีที่สุด 

โน๊ตบุ๊คร้อน

5 สาเหตุที่ทำให้โน๊ตบุ๊คร้อนที่เรานำมายกตัวอยากให้เพื่อน ๆ ได้เห็นในข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเราอยากบอกเช่นนี้ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คร้อน หรือ แบตโน๊ตบุ๊คร้อน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อเราใช้โน๊ตบุ๊คไปจนถึงช่วงหนึ่งของอายุการใช้งาน เราก็จะเจอปัญหานี้อย่างแน่นอน ดังนั้นการใช้งานโน๊ตบุ๊คอย่างถนอม หรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้โน๊ตบุ๊คยากต่อการระบายอากาศก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่ทำให้โน๊ตบุ๊คเกิดความร้อนสูงลงได้

อ่านบทความอื่นๆ: 

สนับสนุนโดย: hilo-88.net

Categories
วิธีดูแลรักษา

เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell อุปกรณ์ที่วัยรุ่นหน้าคอมต้องมี

เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell

beWell นับว่าเป็นแบรนด์ที่ผลิตและคิดค้นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของเราให้มีประสิทธิภาพ และลดอาการบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยจากกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้น เช่น การนอน, การเดินทาง, ฟิคเนส หรือแม้แต่กระทั่งการทำงาน ซึ่งล่าสุดทางแบรนด์ได้เปิดตัว เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell ที่ช่วยบรรเทาอาการเมื่อย และปวดบริเวณข้อมือได้ รวมไปถึงจะส่งผลดีต่อผู้ที่มีอาการปวด คอ บ่า ไหล่ และ หลัง จากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ อีกด้วย

เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell ดีอย่างไร และ เหมาะกับใครบ้าง?

เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell

สำหรับ เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ ที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้มีชื่อรุ่นว่า Vertical Ergonomic Mouse ที่จะมาพร้อมดีไซน์ที่แปลกตา เพราะเราเชื่อว่า หลาย ๆ คนคงต้องไม่เคบเห็นเมาส์ดีไซน์แบบนี้มาก่อนอย่างแน่นอน โดยดีไซน์ของเมาส์จะมาในรูปทรงแนวตั้ง ที่จะทำให้ผู้ที่ใช้เมาส์ไม่จำเป็นต้องบิดข้อมือเหมือนที่เราใช้เมาส์แบบทั่ว ๆ ไป เพิ่มร่องเว้าบนเมาส์เพื่อให้การวางนิ้ว ทั้งในส่วนของนิ้วโป้ง นิ้วนาง และนิ้วก้อย ให้สามารถจับเมาส์ได้ถนัดมี และรู้สึกสบายมากยิ่งขึ้น 

เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell

เมาส์เพื่อสุขภาพ ยังมีน้ำหนักที่เบา และสัมผัสที่นุ่มสบายมือ จึงทำให้เราสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นแบบที่ยังไม่รู้สึกปวดเมื่อยข้อมือและแขน อีกทั้งยังมีปุ่มกดเปลี่ยน DPI มาให้ในตัวที่สามารถเปลี่ยนระดับได้ 3 ระดับ ได้แก่ 800, 1,200 และ 1,600 DPI และ ปุ่มกด Forward และ Backward ที่จะถูกติดตั้งอยู่ข้างบนของร่องวางนิ้วโป้ง สำหรับเว็บและโปรแกรมที่มีการกดเลื่อนหน้าหรือถอยหลัง และในส่วนของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่ที่ยาวนาน รุ่นนี้สามารถใช้งานได้นานถึง 15 วัน ต่อการชาร์จแบตเต็ม 1 ครั้ง และที่สำคัญเมาส์เป็น เมาส์ไร้เสียง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของเสียงรบกวนระหว่างการทำงานเลย

เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell

นอกจากนี้ สำหรับใครที่อยากทราบว่า เมาส์สุขภาพ bewell รุ่นนี้เหมาะกับใครบ้าง ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เมาส์ที่มีจำหน่ายในปัจจุบันนั้นมีค่อนข้างหลายประเภท ทั้งเมาส์เกมมิ่ง, เมาส์ปากกา, เมาส์มาโคร หรือ เมาส์เพื่อสุขภาพที่เราพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้ ซึ่งประเป็นเมาส์ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป เช่นงานสายธุรกิจ, งานเอกสาร หรืองานสายกราฟิก หรือ ตัดต่อ ในระดับที่ยังไม่แอดวานซ์ ดังนั้นเมาส์จาก beWell รุ่นนี้จึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไป แต่เราค่อนข้างอยากเชียร์ให้กับสายออฟฟิศเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของเมาส์รุ่นนี้จะค่อนข้างที่จะไม่เหมาะกับผู้ที่มือเล็ก หรือ นิ้วสั้น เนื่องจากจะทำให้ไม่สามารถคลิ้กเมาส์ได้ ดังนั้นเราจึงอยากแนะนำให้ทุกคนไปลองสัมผัสกับของจริงตามบูธของ bewell ตามร้านตัวแทนจำหน่ายต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

เมาส์เพื่อสุขภาพ bewell ราคาเปิดตัวเพียง 1,690 บาท แลกกับสุขภาพที่ดีระยะยาวคือคุ้ม 

เมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell

สำหรับเมาส์ไร้สายเพื่อสุขภาพ beWell รุ่นที่เราพาทุกคนไปทำความรู้จักกันในวันนี้ สำหรับราคาเปิดตัวนั้นมีราคาอยู่ที่ 1,690 บาท แต่ปัจจุบัน ตัวแทนจำหน่าย รวมไปถึง เว็บไซต์ bewell เองก็มีการจัดโปรโมชั่นลดราคาสูงสุดถึง 24% จาก 1,690 บาท เหลือเพียง 1,290 บาทเท่านั้น ซึ่งในราคานี้แลกกับสุขภาพที่ดีในระยะยาวของเราก็นับว่าเป็นราคาที่ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว ดังนั้นใครที่กำลังเป็นวัยรุ่น มือ แขน คอ บ่า ไหล่ รวมไปถึงหลัง อุปกรณ์จาก bewell ก็นับว่าเป็นตัวช่วยที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

อ่านบทความอื่นๆ:

HILO-88.COM
HILO-88.COM