สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
วิธีดูแลรักษา สอนใช้

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 แบตเตอรี่หมดเร็วและช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 

Xiaomi Mi 11

คุณภาพของแบตเตอรี่โทรศัพท์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของคุณ ซึ่งแน่นอนว่าในปัจจุบันสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ จะใส่ความจุแบตเตอรี่มาให้อย่างจัดเต็ม โทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ก็เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ Xiaomi ที่ให้ความจุแบตเตอรี่มากถึง 4600 mAh แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คุณอาจสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่ในโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ของคุณหมดเร็วเกินไป ซึ่งปัญหานี้อาจเกิดจากหน้าจอ AMOLED 120hz อันทรงพลัง, วิดีโอ 8K, ชิป 5G และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วอาจแก้ไขได้ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ในบทความนี้ เราจะแนะนำเคล็ดลับการประหยัดแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพที่อาจช่วยปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ใน Xiaomi Mi 11 ของคุณ 

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 แบตเตอรี่หมดเร็ว

คุณพบว่าโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ของคุณมีปัญหา แบตเตอรี่หมดเร็ว หรือไม่? โทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ถือเป็นอีกหนึ่งโทรศัพท์ที่มีคุณสมบัติที่มากมาย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานของคุณ อาจส่งผลทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ลดลง แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ดังนี้

Xiaomi Mi 11

1. ตรวจสอบแอปพลิเคชันที่ใช้แบตเตอรี่มากที่สุด 

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดสำหรับปัญหาแบตเตอรี่ในโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 หมดเร็ว คือการใช้งานแอป เนื่องจากแอปบางตัวใช้แบตเตอรี่มากจนทำให้แบตหมดเร็วกว่าที่ควร เราแนะนำให้ลบแอปนั้นออกเพื่อลดการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้ 

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “แบตเตอรี่และประสิทธิภาพ”
  • แตะที่ “สถิติการใช้แบตเตอรี่” จากนั้นหน้าจอจะแสดงรายการแอปโดยละเอียดและการใช้งานแบตเตอรี่ หากคุณสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในการใช้งานแบตเตอรี่ คุณสามารถเลือกที่จะเพิ่มประสิทธิภาพแอป จำกัดกิจกรรมในพื้นหลังเพื่อจำกัดการใช้แบตเตอรี่ได้

2. ลบแอปที่คุณไม่ค่อยได้ใช้งาน

หากคุณมีแอปบนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ที่ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน เราขอแนะนำให้ ลบแอป นั้นทิ้ง เนื่องจากแอปเหล่านั้นบางตัวมักทำงานในพื้นหลัง โดยเฉพาะแอปที่ใช้ข้อมูลมือถือและจะทำให้แบตเตอรี่หมด คุณสามารถลบแอปเหล่านั้นได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “แอป”
  • แตะที่ “จัดการแอป”
  • แตะที่ “ไอคอนถอนการติดตั้ง” ที่ด้านบนซ้าย
  • เลือกแอปที่คุณต้องการลบแล้วแตะที่ปุ่ม “ถอนการติดตั้ง” ที่ด้านล่างของหน้าจอ
  • แตะที่ “ตกลง” เพื่อยืนยันการถอนการติดตั้ง

3. เปิดโหมดประหยัดแบตเตอรี่

โหมดประหยัดแบตเตอรี่บนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 จะช่วยให้คุณยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของโทรศัพท์ได้โดยการปิดหรือจำกัดกิจกรรมพื้นหลังบางอย่าง, เอฟเฟกต์ภาพ และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่อาจใช้พลังงานมากขึ้น หากคุณต้องการเปิดโหมดประหยัดพลังงาน ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “แบตเตอรี่และประสิทธิภาพ”
  • แตะที่ “ประหยัดแบตเตอรี่” และสลับเป็น “เปิด”
  • แตะที่ “ประหยัดแบตเตอรี่อัลตร้า” และสลับ “เปิด” สำหรับการประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น

4. จำกัดกิจกรรมแอปพื้นหลัง

คุณรู้หรือไม่ว่าแอปพลิเคชันบางตัวบนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 จะยังคงทำงานในพื้นหลัง แม้ว่าคุณไม่ได้ใช้งานอยู่ ซึ่งอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เราแนะนำให้ลองจำกัดกิจกรรมพื้นหลังสำหรับแอปเพื่อ ประหยัดแบตเตอรี่ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “แบตเตอรี่และประสิทธิภาพ”
  • แตะที่ “แอปประหยัดแบตเตอรี่”
  • แตะที่แอปที่คุณต้องการจำกัดกิจกรรมพื้นหลัง
  • จากนั้นแตะที่ “จำกัดกิจกรรมพื้นหลัง” แล้วแตะที่ “ตกลง” เพื่อยืนยันการจำกัดกิจกรรมพื้นหลัง

5. ปิด Location, WiFi & Bluetooth Scanning เมื่อไม่ได้ใช้งาน

บริการเหล่านี้บนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 เมื่อเปิดใช้งานจะมีการตรวจสอบการเชื่อมต่อที่สิ้นเปลืองพลังงานและอาจทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ลดลง หากต้องการปิด ให้ปัดหน้าจอลงเพื่อแสดงแผงการตั้งค่าด่วนแล้วแตะไอคอนที่เกี่ยวข้องเพื่อปิดใช้งาน หรือทำตามขั้นตอนดังนี้ 

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “ตำแหน่ง”
  • แตะที่ “การเข้าถึงตำแหน่ง” และสลับ “ปิด”
  • แตะที่ Wi-Fi และบลูทูธ และสลับ “ปิด”บริการทั้งสอง 

6. ลดอัตราการรีเฟรชหน้าจอ

Xiaomi Mi 11 รองรับอัตราการ รีเฟรชหน้าจอ สูงถึง 120Hz พร้อมกับให้ประสบการณ์การรับชมที่ราบรื่นยิ่งขึ้น แต่สิ่งนี้ต้องแลกมาด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ลดลง เราแนะนำให้ลองลดขนาดลงเพื่อลดอัตราการรีเฟรชเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “จอแสดงผล”
  • แตะที่ “อัตราการรีเฟรช”
  • เลือกอัตราการรีเฟรชที่มีอยู่ตามความต้องการของคุณ 

7. เปิดใช้งานโหมดมืด 

คุณสามารถเปิดใช้งานโหมดมืดบนโทรศัพท์มือถือ Xiaomi Mi 11 ของคุณได้เพื่อลดการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ เนื่องจากการที่จอแสดงผลมีความมืดกว่าปกติจะการใช้งานแบตเตอรี่น้อยลง ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ หากคุณต้องการ เปิดใช้งานโหมดมืด ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “จอแสดงผล”
  • แตะที่ “โหมดมืด” แล้วสลับเป็น “เปิด”

8. จำกัดการแจ้งเตือนแอป

หากคุณได้รับการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 จำนวนมาก การแจ้งเตือนเหล่านั้นอาจส่งผลต่อปัญหาแบตเตอรี่ของคุณ เราแนะนำให้ ปิดการแจ้งเตือนแอป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแอปที่ส่งการแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่องซึ่งไม่สำคัญ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • แตะค้างที่ไอคอนแอปที่คุณต้องการปิดการแจ้งเตือน
  • คลิกถัดไปที่ “ข้อมูลแอป”
  • จากนั้นแตะที่ “การแจ้งเตือน”
  • จากนั้นแตะที่ “แสดงการแจ้งเตือน” และสลับเป็น “ปิด”
Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

Sponsor: HILO-88.COM เว็บพนันออนไลน์ อันดับ1 บริการ เกม ไฮโลไทยได้เงินจริง เล่นได้เท่าไหร่ ถอนได้ไม่อั้น

Categories
วิธีดูแลรักษา สอนใช้

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ Vivo ทำงานช้าเกินไป ให้กลับมาเร็วแรงเหมือนใหม่

Vivo

หากถามว่าสมาร์ทโฟนแบรนด์ไหนที่ครองตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย? ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลายคนคงจะนึกถึงอยู่เพียง 2 แบรนด์ นั่นคือ Apple และ Samsung แต่ในปัจจุบันได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ มากมาย รวมถึง Vivo แบรนด์สมาร์ทโฟนอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ด้วยดีไซน์การออกแบบที่มีความเรียบง่าย และดูหรูหราเมื่ออยู่ในมือของคุณ พร้อมทั้งมีสีสันที่สวยงาม ใส่สเปกมาให้แบบจัดเต็มมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่ครบถ้วนเช่นเดียวกับอุปกรณ์ Android อื่น ๆ ในตลาด แต่อย่างไรก็ตามสมาร์ทโฟน Vivo ก็ยังมีปัญหาบางอย่างที่ผู้ใช้งานหลายคนร้องเรียนและต้องการวิธีแก้ไข ซึ่งปัญหาหนึ่งในนั้นก็คือ โทรศัพท์ทำงานช้าเกินไป ดังนั้นในบทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีการแก้ปัญหาโทรศัพท์ Vivo ทำงานช้าเกินไป ให้กลับมาใช้งานได้เหมือนของใหม่แกะกล่อง

Vivo

วิธีการแก้ปัญหาโทรศัพท์ Vivo ทำงานช้าขณะใช้งาน 

คุณเคยหรือไม่? เล่นเกมในสมาร์ทโฟน Vivo อยู่ดี ๆ แล้วเครื่อง ทำงานช้า ซึ่งเป็นปัญหาด้านประสิทธิภาพที่อาจเกิดขึ้นกับใครหลาย ๆ คน โดยปัญหานี้อาจเกิดจากแอปพื้นหลังบางแอปที่ทำให้โปรเซสเซอร์ของคุณทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้พื้นที่แรมของโทรศัพท์ถูกใช้ไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว สำหรับการแก้แก้ปัญหาโทรศัพท์ วีโว่ ทำงานช้าให้กลับมาราบรื่นเหมือนใหม่ สิ่งแรกที่คุณสามารถทำได้คือการบังคับให้โทรศัพท์รีสตาร์ท แต่หากไม่ได้ผลให้ลอง Recovery นอกจากนี้คุณควรทราบว่าโทรศัพท์ที่ใช้ระบบ Android 8 และเวอร์ชันที่สูงกว่าขึ้นไปจะไม่สามารถดาวน์เกรดเพื่อใช้เวอร์ชันที่ต่ำกว่าได้ ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบเวอร์ชันปัจจุบันของคุณได้โดยการไปที่ การตั้งค่า > การอัปเดตระบบ เพียงเท่านี้คุณก็จะรู้แล้วว่าโทรศัพท์ของคุณใช้ Android เวอร์ชันไหน 

วิธีการบังคับให้โทรศัพท์รีสตาร์ท

  1. การบังคับให้โทรศัพท์รีสตาร์ทให้ไปที่กดปุ่มพาวเวอร์พร้อมกับกดปุ่มลดเสียงค้างไว้ 30 วินาที เพื่อบังคับให้โทรศัพท์รีสตาร์ท
  2. สำหรับโทรศัพท์ที่ไม่ใช่รูปแบบเต็มหน้าจอ ให้กดปุ่มพาวเวอร์ค้างไว้ 30 วินาที ก็จะสามารถบังคับโทรศัพท์ให้รีสตาร์ทได้แล้ว

วิธีการ Recovery สำหรับโทรศัพท์ Vivo Fullview Display

  1. ก่อนอื่นให้ทำการปิดโทรศัพท์ของคุณ จากนั้นกดปุ่มเปิด/ปิดและปุ่มเพิ่มระดับเสียงค้างไว้พร้อมกัน จนกว่าหน้าจอจะปรากฏโลโก้ vivo เพื่อเข้าสู่โหมด Fastboot จากนั้นเลือกโหมดการกู้คืน (Recovery mode) โดยใช้ปุ่มลดระดับเสียงและกดเข้าโดยปุ่มเปิด/ปิด
  2. แตะล้างข้อมูล (Wipe data) > ล้างข้อมูล (Wipe data) > ป้อนรหัสผ่านของหน้าจอล็อกจากนั้นเลือก Reboot system เพื่อรีบูตโทรศัพท์ของคุณ

วิธีการ Recovery สำหรับโทรศัพท์ Vivo ที่มีหน้าจอแสดงผลอัตราส่วน 16:9

  1. ปิดเครื่องโทรศัพท์ของคุณ จากนั้นกดปุ่มเปิด/ปิดและปุ่มเพิ่มระดับเสียงค้างไว้พร้อมกัน จนกระทั่งหน้าจอจะปรากฏโลโก้ vivo เพื่อเข้าสู่โหมดการกู้คืน (Recovery mode)
  2. จากนั้นแตะล้างข้อมูล (Wipe data) > ล้างข้อมูล (Wipe data) > ล้างข้อมูล (Wipe data) จากนั้นเลือก Reboot system เพื่อรีบูตเครื่องโทรศัพท์ของคุณ (สำหรับ Funtouch OS 2.0 และรุ่นที่เวอร์ชันต่ำกว่า) เลือกโหมดการกู้คืน (Recovery mode) โดยใช้ปุ่มลดระดับเสียงและกดเข้าโดยปุ่มเปิด/ปิด หลังจากนั้นเลือกล้างข้อมูล (Wipe data) รีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้น (Factory reset) > ล้างข้อมูล (Wipe data) > ล้างข้อมูล (Wipe data) แล้วเลือกรีบูตระบบเดี๋ยวนี้เพื่อรีบูตเครื่องใหม่

คุณควรทราบว่าขั้นตอนการ Recovery นี้จะเป็นการล้างข้อมูลภายในโทรศัพท์ของคุณ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ เป็นต้น ดังนั้นคุณควรทำการสำรองข้อมูลที่สำคัญของคุณไว้ก่อนและตรวจสอบให้แน่ใจว่าโทรศัพท์ของคุณมีปริมาณแบตเตอรี่ที่เพียงพอประมาณ 30% ขึ้นไป

Vivo

วิธีการแก้ปัญหาโทรศัพท์ทำงานช้าในขณะเล่นเกม

สำหรับผู้ใช้งานที่ชื่นชอบเล่นเกมบนโทรศัพท์ Vivo แล้วเคยประสบปัญหา เล่นเกม อยู่ดี ๆ แล้วเครื่องโทรศัพท์มือถือเกิดอาการช้า หรือค้างบ่อยให้คุณลองทำตามวิธีดังต่อไปนี้

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเกมที่คุณเล่นถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ และดาวน์โหลดมาจาก Play Store หรือ V-Appstor
  • หากคุณกำลังเล่นเกมออนไลน์ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าความเร็วของเครือข่ายมีความแรงและเสถียรดีหรือไม่
  • ปิดแอปที่กำลังทำงานเบื้องหลังอยู่ทั้งหมดก่อนเริ่มเล่นเกม
  • ลองเข้าไปที่ i Manager > การจัดการพื้นที่ หรือแอปล้างข้อมูลภายนอก เช่น Clean Master เพื่อล้างขยะจำพวกแคช
  • ตรวจสอบการอัปเดตโทรศัพท์และเกมของคุณให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
  • ลองปิดการใช้งานสวิตช์การเริ่มต้นอัตโนมัติของแอปที่ไม่ได้ใช้งานบ่อย ให้ไปที่การตั้งค่า > การตั้งค่าเพิ่มเติม > การจัดการการอนุญาต (แอปพลิเคชัน) > เริ่มต้นอัตโนมัติ สำหรับการปิดแอปที่เริ่มต้นทำงานโดยอัตโนมัติ Funtouch OS 2.6 และเวอร์ชันที่ต่ำกว่า ให้ไปที่ i Manager > การจัดการแอป > ตัวจัดการเริ่มต้นอัตโนมัติ ปิดแอปที่ทำงานเริ่มต้นโดยอัตโนมัติเหล่านั้น
  • โหมดพลังงานต่ำจะช่วยประหยัดกำลังไฟโดยการลดประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์ให้น้อยลง จึงไม่ควรเปิดโหมดพลังงานต่ำ และตรวจสอบแน่ใจว่าปริมาณของแบตเตอรี่มีเพียงพอในขณะเล่นเกม
  • เนื่องจากข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ โทรศัพท์บางรุ่นอาจไม่สามารถเล่นเกมที่มีคุณภาพสูงได้อย่างราบรื่น ดังนั้นคุณควรเลือกเล่นเกมที่โทรศัพท์ของคุณรับไหวจะได้เล่นเกมได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด
Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

Sponsor: hilo-88.com

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

ห้ามทำ!!! อันตรายจากการเจาะแบตบวม เพื่อปล่อยก๊าซและปิดผนึกกลับเพื่อใช้งานต่อไป

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาสมัยใหม่ทั้งแล็ปท็อป สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เครื่องอ่าน ebook และอุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกายล้วนใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั้งนั้น ซึ่งแบตเตอรี่ขนาดกะทัดรัดจะใช้งานได้ดีมาก มีความหนาแน่นของพลังงานสูงการปลดปล่อยต่ำและเอฟเฟกต์หน่วยความจำที่เล็กมาก 

เมื่อแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนได้รับความร้อนสูงเกินไปจะทำให้การทำงานล้มเหลวเนื่องจากอายุมากเซลล์ด้านในของแบตเตอรี่อาจมีส่วนผสมของอิเล็กโทรไลต์ที่ติดไฟได้ แบตเตอรี่ได้รับการออกแบบมาให้มีมาตรการที่ปลอดภัยสำหรับการล้มเหลวซึ่งจะปล่อยก๊าซออกมาเพื่อไม่ให้เกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง 

หลายคนมีความเชื่อว่า การนำก้อนแบตเตอรี่ไปห่อหนังสือพิมพ์แล้วแช่ช่องฟรีซในตู้เย็น จะช่วยยืดอายุการใช้งาน หรือเจาะแบตบวม จะช่วยทำให้แบตเตอรี่หายบวม ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีการคืนสภาพแบตเตอรี่โทรศัพท์โดยการเจาะรูแบตเตอรี่มาฝากทุกคน จะเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

วิธีทดลองการคืนสภาพแบตเตอรี่โทรศัพท์ด้วยการเจาะแบตบวม

คุณสามารถสังเกตอาการบวมของแบตเตอรี่ได้จากบางอย่างที่ดูเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อยกับอุปกรณ์ของคุณ โดยด้านหลังของสมาร์ทโฟนของคุณอาจดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย มีช่องว่างที่ผิดปกติหรืออาจดูเหมือนแทร็คแพดบนแล็ปท็อป สำหรับอันตรายจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่มีอาการบวม เริ่มจากความเสียหายในส่วนอื่น ๆ ของเครื่อง เช่น แบตบวมดันจอ ฝาหลังโก่งและงอ ปุ่มกดใช้งานไม่ได้ เพราะแบตเตอรี่บวมจนดันส่วนประกอบภายใน ถ้าปล่อยไว้และยังใช้งานต่อไปเรื่อย ๆ มีโอกาสสูงที่ตัวเครื่องจะไหม้หรือระเบิด 

มีหลายคนทดลองแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่บวม แต่เราขอเตือนก่อนว่าวิธีการเหล่านั้นมีอันตราย ซึ่งมักนำไปสู่การระเบิดขนาดเล็กได้ แบตเตอรี่โทรศัพท์ส่วนใหญ่เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อสร้างพลังงาน หากแบตเตอรี่มีอายุมาก อาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่สมบูรณ์แบบซึ่งอาจส่งผลให้เกิดก๊าซที่ทำให้แบตเตอรี่บวม นอกจากนี้ถ้าชั้นภายในของแบตเตอรี่เกิดความเสียหายหรือบกพร่องจะไม่สามารถรักษาการแยกที่เหมาะสมได้ อาจเกิดการรั่วไหลจนบวมและเกิดการไหม้ได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำการทดลองเจาะแบตบวม ต้องเตรียมแบตเตอรี่ที่มีอาการบวม โดยส่วนใหญ่จะใช้แบตลิโพบวม ในการทดลองซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

  1. ขั้นแรกต้องปกป้องดวงตาของคุณด้วยการสวมแว่นตานิรภัยและสวมใส่ถุงมือเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ ในกรณีที่มีการพัฒนาเชิงลบ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของคุณ
  2. การถอดแบตเตอรี่เริ่มต้นด้วยการทดลองในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อระบายก๊าซที่สะสมภายในแบตเตอรี่ที่ปล่อยออกมา ต้องเจาะรูด้วยเข็มอย่างระมัดระวัง หลังจากปล่อยก๊าซที่สะสมอยู่ในแบตเตอรี่จนหมดแล้ว ความจำเป็นที่จะต้องปิดผนึกหลุมด้วยกาว หรือหลังจากที่คุณจัดการปล่อยก๊าซหมดแล้ว ให้เติมหลุมที่เจาะด้วยน้ำยาซีล(ความจริงแล้วเราไม่แนะนำให้เจาะแบตเตอรี่ด้วยเข็ม เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้) คุณจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงวัตถุและเฟอร์นิเจอร์ที่ติดไฟได้เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอะไร

แน่นอนว่าเราไม่แนะนำวิธีนี้ เพราะมันมีความเสี่ยงมากเกินไป และมีโอกาสเกิดการระเบิดสูง ทางออกที่ดีหากคุณรู้สึกว่าโทรศัพท์ของคุณมีอาการแบตเตอรี่บวม เราแนะนำให้คุณพิจารณาเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยให้เลือกใช้แบตเตอรี่จากศูนย์บริการของโทรศัพท์แบรนด์นั้น ๆ หรือเลือกแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก มอก. เพราะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่าย สะดวก แถมยังปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงขณะใช้งานมือถืออีกด้วย

วิธีแก้ไขแบตบวมอย่างปลอดภัย

เมื่อคุณทราบแล้วว่าโทรศัพท์มือถือของคุณแบตเตอรี่บวมแน่นอน ทางแก้ไขปัญหานี้ คือ ปิดเครื่อง ห้ามชาร์จไฟ และนำเครื่องไปเปลี่ยนแบตมือถือใหม่ โดยให้เลือกเปลี่ยนแบตจากศูนย์บริการของแบรนด์นั้น ๆ หรือเลือกแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก มอก. ไม่ควรนำก้อนแบตเตอรี่ ไปแช่ตู้เย็น เพื่อยืดอายุการใช้งานหรือเจาะแบตบวม เพื่อให้มันหายบวมเด็ดขาด เพราะมันเป็นวิธีการที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง ทางแก้ไขที่ดีที่สุดควรเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่โทรศัพท์ก้อนใหม่ที่ปลอดภัย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายขณะใช้งานมือถือ

ต้องเร่งเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีอาการบวมหรือเสื่อมทันที พร้อมทำการปิดเครื่องก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่อันใหม่ และห้ามชาร์จไฟเด็ดขาด!! เพราะถ้าคุณยังคงใช้งานมันต่อไปเรื่อย ๆ หรือชาร์จไฟ กระแสไฟที่ชาร์จจะถ่ายโอนไปที่ก้อนแบตที่มีสภาพการใช้งานไม่เต็มร้อย อาจส่งผลให้ตัวเครื่องมีความเสี่ยงสูงจนเกิดอาการไหม้ หรือระเบิดเลยก็ได้ และที่สำคัญหากเปลี่ยนเป็นของแท้จากศูนย์บริการ หรือร้านตัวแทนจำหน่ายที่น่าเชื่อถือได้มาตรฐานตามข้างต้นที่เราแนะนำ รับรองเลยว่าคุณจะได้แบตเตอรี่ที่ปลอดภัย ไม่ทำให้เสี่ยงอันตราย

สมัครบาคาร่า888

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

วิธีแก้ไขแบตบวมดันจอยังไงในปลอดภัย

แบตบวมดันจอ

 ปัญหาแบตโทรศัพท์เสื่อม หมดเร็ว หรือแบตบวมดันจอ เป็นหนึ่งปัญหาที่ผู้ใช้โทรศัพท์หลายคนกังวล และมักสงสัยว่ามันเกิดจากอะไร ยิ่งถ้าโทรศัพท์ของคุณมีอาการแบตเตอรี่บวม ก็อาจจะยิ่งส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้อย่างเช่น โทรศัพท์ระเบิด แบตเตอรี่เป็นชิ้นส่วนสำคัญของโทรศัพท์ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะมันมีอายุการใช้งานจำกัด เมื่อมันเริ่มเสื่อมสภาพ อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายขึ้นได้ เช่น แบตเตอรี่ดันหน้าจอ เครื่องเสีย ปุ่มกดเสียหาย ไปจนถึงเกิดเหตุร้ายแรงที่สุดอย่างเครื่องไหม้หรือระเบิด และวันนี้เราก็มีวิธีแก้ไขแบตบวมดันจอมาฝากทุกคน จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

วิธีการสังเกตและวิธีแก้ไขแบตบวมดันจอ

การสังเกตแบตบวมดันจอสามารถดูได้ด้วยความรู้สึกภายนอกโดยปกติแล้วเมื่อแบตเตอรี่บวมมันจะดันหน้าจอด้านหน้าและทำให้หน้าจอเป็นสีขาว นอกจากนี้มันจะมีการแยกที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างตัวกล้องและหน้าจอยังเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่ของคุณบวม และอีกหนึ่งวิธีที่สังเกตอาการนี้ได้ง่ายๆ คือ ตัวแบตเตอรี่จะขยายใหญ่ขึ้นจนเริ่มดันตัวเครื่องและหน้าจอของโทรศัพท์มือถือจนผิดรูปไป ซึ่งเป็นปัญหารุนแรงที่ส่งผลต่อชิ้นส่วนอื่น ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น

  1. ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องลดลง

ปัญหาข้อนี้ถือว่ายังไม่ร้ายแรงมากนัก อย่างการเกิดอาการแบตเสื่อม แต่สำหรับใครที่จำเป็นต้องใช้งานมือถือแบบจริงจังตลอดวัน ก็อย่าลืมเช็คสาเหตุอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น แอปพลิเคชันอาจมีปัญหา เมมโมรี่เครื่องเต็ม เป็นต้น

  1. เครื่องโทรศัพท์ร้อนง่าย

หากแบตเตอรี่เสื่อมหรือบวม ตัวเครื่องจะมีความร้อนมากกว่าปกติ เพราะความร้อนจากแบตเตอรี่ถ่ายทอดมายังตัวเครื่องได้ง่ายมากขึ้น

วิธีแก้ไขแบตบวมอย่างปลอดภัย

เมื่อคุณทราบแล้วว่าโทรศัพท์มือถือของคุณแบตเตอรี่บวมแน่นอน ทางแก้ไขปัญหานี้ คือ ปิดเครื่อง ห้ามชาร์จไฟ และนำเครื่องไปเปลี่ยนแบตมือถือใหม่ โดยให้เลือกเปลี่ยนแบตจากศูนย์บริการของแบรนด์นั้น ๆ หรือเลือกแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก มอก. ไม่ควรนำก้อนแบตเตอรี่ ไปแช่ตู้เย็น เพื่อยืดอายุการใช้งานหรือเจาะแบต เพื่อให้หายบวมเด็ดขาด เพราะมันเป็นวิธีการที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง ทางแก้ไขที่ดีที่สุดควรเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่โทรศัพท์ก้อนใหม่ที่ปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงขณะใช้งานมือถืออีกด้วย

ต้องเร่งเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีอาการบวมหรือเสื่อมทันที พร้อมทำการปิดเครื่องก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่อันใหม่ และห้ามชาร์จไฟเด็ดขาด!! เพราะถ้าคุณยังคงใช้งานมันต่อไปเรื่อย ๆ หรือชาร์จไฟ กระแสไฟที่ชาร์จจะถ่ายโอนไปที่ก้อนแบตที่มีสภาพการใช้งานไม่เต็มร้อย อาจส่งผลให้ตัวเครื่องมีความเสี่ยงสูงจนเกิดอาการไหม้ หรือระเบิดเลยก็ได้ และที่สำคัญหากเปลี่ยนเป็นของแท้จากศูนย์บริการ หรือร้านตัวแทนจำหน่ายที่น่าเชื่อถือได้มาตรฐานตามข้างต้นที่เราแนะนำ รับรองเลยว่าคุณจะได้แบตเตอรี่ที่ปลอดภัย ไม่ทำให้เสี่ยงอันตราย

สาเหตุแบตบวม

หลังจากที่คุณได้ทำความเข้าใจกับวิธีการสังเกตและวิธีแก้ไขแบตบวมดันจอแล้ว ต่อมาเรามาดูสาเหตุที่ส่งผลให้แบตเตอรี่บวม ซึ่งแบตเตอรี่ส่วนใหญ่ที่เห็นว่าบวมได้บ่อยที่สุด คือแบตเตอรี่กลุ่มลิเธียม ว่าจะเป็นลิเธียมไอออน (Lithium ion) หรือลิเธียมโพลิเมอร์ (Lithium Polymer) โดยอุปกรณ์ที่เห็นเจอปัญหาแบตบวมบ่อยที่สุดก็คือ แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ นั่นเอง ซึ่งแบตเตอรี่กลุ่มนี้มีโอกาสที่จะเกิดอาการแบตบวมได้ทั้งสิ้น อาการบวมนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ได้แก่

  1. แบตเตอรี่เสื่อมตามอายุการใช้งาน : หากแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพการเก็บประจุไฟลดลง คุณสามารถสังเกตได้จากเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่จะหมดไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งาน และการดูแลรักษาของผู้ใช้งาน
  2. พฤติกรรมการใช้งาน : สุขภาพแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน เพราะผู้ใช้งานบางคนชอบเล่นมือถือขณะชาร์จไปด้วย ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม เกิดอาการบวมได้ง่าย เนื่องจากมีการทำงานที่หนักเกินไป
  3. การใช้เคสมือถือแบบที่เป็นยาง : การที่คุณเลือกใช้เคสมือถือแบบยาง อาจทำให้การระบายความร้อนระหว่างชาร์จแบตเตอรี่ทำงานได้ไม่เต็มที่ และมีการสะสมความร้อนสูง
  4. แบตเตอรี่ที่ใช้เป็นของปลอม : การที่คุณเลือกใช้แบตเตอรี่ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่จะส่งผลต่อตัวเครื่องและแบตเตอรี่ได้หากใช้งานไปสักระยะ ซึ่งการใช้แบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐานเป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันแบตบวมที่ดีที่สุด
  5. Adapter ไม่ได้มาตรฐาน : บางครั้งปัญหาแบตเตอรี่บวมหรือเสื่อมไว อาจเกิดจากการใช้งาน Adapter ที่ไร้มาตรฐาน รวมไปถึงปลั๊กไฟที่ใช้เสียบอีกด้วย เพราะมันอาจทำให้เกิดไฟกระชากบ่อย จนส่งผลร้ายต่อแบตเตอรี่ก็เป็นได้
  6. ใช้งานจนแบตเตอรี่หมด 0% : เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ที่ควรเริ่มชาร์จได้ควรมีให้เหลือสัก 30% แล้วชาร์จเลย ดีกว่าใช้งานจนเครื่องดับไปเอง

Sponsor: https://hilo-88.com/

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

ไม่อยากให้แบตเตอรี่บวม อย่างพลาดวิธีป้องกันแบตบวมง่ายๆ

วิธีป้องกันแบตบวม

แบตเตอรี่โทรศัพท์ส่วนใหญ่เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อสร้างพลังงาน หากแบตเตอรี่มีอายุมาก อาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่สมบูรณ์แบบซึ่งอาจส่งผลให้เกิดก๊าซที่ทำให้แบตเตอรี่บวม นอกจากนี้ถ้าชั้นภายในของแบตเตอรี่เกิดความเสียหายหรือบกพร่องจะไม่สามารถรักษาการแยกที่เหมาะสมได้ อาจเกิดการรั่วไหลจนบวมและเกิดการไหม้ได้ โดยอากาศบวมเป็นผลมากจากการที่อนุภาคก๊าซเข้าไปจับชั้นอยู่ภายในของแบตเตอรี่ จนในที่สุดก็เจาะพังผืดที่แยกชั้นออกมา จับความชื้นในอากาศ จะทำให้เกิดปฏิกิริยากับเซลล์ทำให้แบตบวม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้คุณความต้องทราบถึงวิธีป้องกันแบตบวม เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณและทรัพย์สินได้

สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมหมดไว ใช้งานแปป ๆ ก็เกิดอาการเครื่องร้อน แบตเตอรี่บวมจนดันเครื่อง เป็นต้น โดยปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลให้โทรศัพท์ของคุณเครื่องพังได้ หรืออาจร้ายแรงจนเกิดไฟไหม้เครื่อง และเครื่องระเบิดได้ ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีป้องกันแบตบวมมาฝากทุกคน จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

วิธีป้องกันแบตบวมง่ายๆ ที่คุณไม่ควรพลาด

ใครที่กำลังเจอกับปัญหาแบตเตอรี่มือถือบวมหรือแบตบวมดันจอ หลังจากที่คุณได้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่บวมแล้ว ต่อไปมาดูวิธีป้องกันแบตบวม โดยหากคุณปฏิบัติตามวิธีการต่อไปนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดโอกาศการบวมของแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณ

  1. ทำให้แบตเตอรี่ของคุณเย็นอยู่เสมอ

ปกติแล้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเกลียดความร้อนที่สุด ดังนั้นคุณควรหลีกเลี่ยงการทิ้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิที่ร้อนเกินไป มิฉะนั้นอาจส่งผลให้เกิดอันตรายหรือทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายได้ ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แบตเตอรี่เย็น และเมื่อคุณไม่ได้ใช้โทรศัพท์หรือแบตเตอรี่สำรองให้เก็บไว้ในบริเวณที่เย็นและแห้ง

  1. ใช้สายชาร์จโทรศัพท์ที่ได้มาตรฐาน

การชาร์จไฟมากเกินไปอาจเป็นภัยร้ายแรงต่อสุขภาพแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณ และหากคุณใช้สายชาร์จแบตเตอรี่ที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่โทรศัพท์และอาจทำให้ ความเสียหายของทรัพย์สินตลอดจนชีวิตและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เช่น เกิดการช็อตและไฟรั่ว หรือทำให้แบตเตอรี่ที่เสียหาย จนทำก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ ทางที่ดีคุณควรเลือกใช้สายชาร์จที่มาพร้อมกับเครื่องหรือซื้อสายชาร์จที่ได้มาตรฐานมาใช้งาน เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

  1. เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่

หากคุณสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณไม่มีประจุเหลืออยู่อีกต่อไป คุณควรพิจารณาเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว หากคุณเคยใช้แบตเตอรี่โทรศัพท์ 5 ชั่วโมงและตอนนี้คุณเหลือเวลา 30 นาทีนั่น เป็นสัญญาณที่ว่าส่วนประกอบของแบตเตอรี่กำลังเสื่อมสภาพ ซึ่งการเปลี่ยนแบตเตอรี่จะทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานหลายชั่วโมงกลับคืนมา แต่ยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าแบตเตอรี่ปลอดภัย แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่อีกด้วย และคุณควรทราบถึงวิธีกําจัดแบตบวมด้วย เพื่อคุณจะได้นำแบตเก่าไปทิ้งได้อย่างถูกที่ถูกทาง

  1. อย่าเสียบปลั๊กชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้

คุณไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่ตลอดเวลาก็ได้ เพราะมันไม่เป็นผลดีสำหรับแบตเตอรี่แน่นอน มีแต่จะทำให้เกิดความร้อนเพิ่มขึ้นและแบตเตอรี่จะเกิดความเสียหายและทำงานไม่เต็มที่ นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเสียบปลั๊กชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้ไม่ได้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กทิ้งไว้ตลอดทั้งวันในทุก ๆวันก็ได้

วิธีตรวจสอบแบตเตอรี่บวม

หลังจากที่คุณรู้วิธีป้องกันแบตบวม แต่คุณจะรู้ได้ยังไงว่าแบตเตอรี่ของคุณเริ่มมีอาการแบตบวมหรือยัง ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า นอกเสียจากว่ามันบวมมากจนดันจอแล้ว มีวิธีง่ายๆที่สามารถช่วยให้คุณตรวจสอบแบตเตอรี่บวม ดังนี้

  1. ตรวจสอบอุปกรณ์

เมื่อแบตเตอรี่บวมมันจะขยายตัวและดันส่วนประกอบอื่น ๆ ของโทรศัพท์ออกไป บ่อยครั้งที่จอแสดงผลปุ่มหรือแทร็คแพดจะถูกดันออกจากแนวปกติ หรือหากเคสโทรศัพท์ของคุณไม่พอดีหรือมีช่องว่างใหม่ระหว่างส่วนประกอบ นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแบตเตอรี่ของคุณบวม

  1. ตรวจสอบด้วยกลิ่น

การตรวจสอบด้วยการดมกลิ่น หากคุณสังเกตเห็นหรือได้กลิ่นสารเคมีโลหะที่บริเวณโทรศัพท์ของคุณ ซึ่งมันอาจเป็นก๊าซจากแบตเตอรี่ที่ทำให้แบตเตอรี่บวมก็ได้

  1. ตรวจสอบแบตเตอรี่

หากอุปกรณ์ของคุณเปิดได้ง่ายโดยไม่รบกวนแบตเตอรี่ เช่น MacBook หรือ iPhone คุณสามารถเปิดอุปกรณ์และตรวจสอบแบตเตอรี่ด้วยสายตาเพื่อตรวจสอบหาอาการบวม หากแบตเตอรี่มีการพันหลวมหรือมีรอยยับมีลักษณะกลมมากกว่าสี่เหลี่ยมหรือดูเหมือนยกออกจากช่องใส่จนดันด้านหลังตัวเครื่องให้โก่งงอ หรือหน้าจอจนผิดสังเกต และอาจความร้อนมากกว่าปกติ แสดงว่าแบตเตอรี่บวมและประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องลดลง ควรได้รับการแก้ไขหรือรับการเปลี่ยนแบตใหม่

sa gaming

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

เมื่อแบต iphone บวม คุณควรปฏิบัติอย่างไร

แบต iphone บวม

แบต iphone บวม เป็นอีกหนึ่งในปัญหาน่ากลัวและอันตรายที่สุดที่อาจนำไปสู่การระเบิดได้ ดังนั้นทุกคนไม่ควรใช้งานมัน ยิ่งหากแบตเตอรี่โทรศัพท์ร้อนเกินจริง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแบตเตอรี่ iPhone ร้อนเกินจริงเกิดขึ้นเนื่องจากแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานมากเกินไปหรือใช้งานหนักมานาน ทำให้เกิดความเสียหายและมีสภาพที่เก่า 

อีกหนึ่งสัญญาณที่ส่งผลให้แบต iphone บวมคือสิ่งที่เรียกว่าแก๊สหมด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแบตเตอรี่ชาร์จไฟมากเกินไปก่อให้เกิดความเสียหายหรือเก่า สถานการณ์นี้เป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้แบตเตอรี่ของคุณหมดลงและปล่อยก๊าซออกมา ทำให้แบตเตอรี่พองขึ้น หากโทรศัพท์ iphone ของคุณเกิดความเสียหายหรือบวมขึ้นมาให้คุณลองปฏิบัติตามวิธีที่เรานำมาแนะนำในวันนี้ จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย

การตรวจสอบและวิธีจัดการเมื่อแบต iphone บวม

ในทางวิทยาศาสตร์แบตไอโฟนบวมเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีที่ปล่อยก๊าซออกมา ทำให้แบตเตอรี่พองขึ้น ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบได้ว่าแบต iphone บวมจริงหรือไม่? ด้วยความรู้สึกภายนอก โดยปกติแล้วหากโทรศัพท์ iphone ของคุณมีอาการแบตเตอรี่บวมจะดันจอด้านหน้าและทำให้หน้าจอเป็นสีขาว นอกจากนี้การแยกที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างตัวกล้องและหน้าจอยังเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่ของคุณบวมและหากถามว่าแบตเตอรี่บวม อันตรายไหม? แน่นอนว่าอันตรายเพราะมันอาจทำให้เกิดการระเบิดและเผาไหม้ได้

เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องยิ่งขึ้นให้คุณใช้เครื่องมือพิเศษและดำเนินการถอดด้านหลังของ iPhone จากนั้นตรวจสอบว่าแบตเตอรี่บวมหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามหากคุณไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้คุณก็ไม่ควรทำเพราะมันอันตรายมากอาจเสี่ยงต่อการระเบิดได้ ในกรณีที่คุณได้กลิ่นที่ผิดปกติหรือสัมผัสเครื่องแล้วมีความร้อนอย่างกะทันหันอย่าพยายามเปลี่ยนแบตเตอรี่เองโดยเด็ดขาดหากคุณยังไม่มีความชำนาญ

วิธีจัดการเมื่อแบตเตอรี่ iPhone เครื่องร้อนและแบตบวม

  1. ก่อนเริ่มซ่อมและเปลี่ยนแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ควรปฏิบัติ ดังนี้
  • ปล่อยให้แบตเตอรี่ iPhone เหลือน้อยจนเหลือ 0% เพราะแบตเตอรี่จะไม่มีพลังงาน ลดปัญหาการเผาไหม้
  • จัดให้ห้องมีอากาศถ่ายเท หากแบตเตอรี่มีควันพิษ เพื่อให้อากาศถ่ายเทหายใจได้สะดวก 
  • ควรสวมแว่นตาป้องกันเพื่อป้องกันดวงตาของคุณ และในขณะที่กำลังเปลี่ยนแบตเตอรี่ควรสวมถุงมือเพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีในแบตเตอรี่กระเด็นใส่มือของคุณ
  1. เตรียมถังทรายเพื่อป้องกันไฟไหม้ : วางแบตเตอรี่ iPhone บนพื้นผิวที่ทนไฟ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดคุณต้องมีถังทรายเสมอ เพื่อดับไฟหากเกิดไฟไหม้จากการจุดชนวนแบตเตอรี่ และคุณสามารถทำสิ่งนี้กลางแจ้งได้ แต่ไม่ควรทำ

ในสภาพอากาศเย็นและแห้ง เพราะหากลิเธียมในแบตเตอรี่สัมผัสกับความชื้นจะทำให้เกิดปฏิกิริยากับไอน้ำและก่อให้เกิดการระเบิดได้

  1. จัดการแบตเตอรี่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินจริงอย่างถูกต้อง : ในการถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่องและทำความสะอาด โดยใช้ตัวทำละลาย เช่น ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์หรืออะซิโตนที่มีความเข้มข้นสูง (ควรใช้ในปริมาณเล็กน้อยเนื่องจากตัวทำละลายเป็นสารไวไฟและยังมีอะซิโตนอยู่ อาจทำให้ชิ้นส่วนพลาสติกเสียหายได้) นอกจากนี้เครื่องมือในการถอดแบตเตอรี่ต้องเป็นพลาสติกและระวังอย่าให้แบตเตอรี่ทะลุเพราะอาจปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
  2. หลังจากถอดก้อนแบตเตอรี่ : เมื่อถอดแบตเตอรี่ออกจากอุปกรณ์แล้วคุณไม่ควรทิ้งลงในน้ำหรือไฟ เพื่อทำลายแบตเตอรี่เด็ดขาด ควรห่อด้วยกระดาษหรือถุงพลาสติกในถังขยะแล้วนำไปที่โรงงานรีไซเคิลหรือจุดทิ้งขยะอันตราย

การเคลมเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone

หากแบต iphone บวม แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้หรือหากคุณสงสัยว่าโทรศัพท์ iphone มีอาการแบตบวม คุณสามารถเปลี่ยนแบต iphoneได้ที่ Apple Store หรือผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจาก Apple เพราะสถานที่ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจะใช้ชิ้นส่วนแท้ของ Apple โดยตรง และถ้าโทรศัพท์ iphone ของคุณอยู่ในระยะการได้รับประกันของ Apple ค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแบตจะเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของ AppleCare โดยแบตเตอรี่ต้องเก็บประจุได้น้อยกว่า 80% ของความจุเดิม บริการซ่อมแซมโทรศัพท์ iphone ของคุณจะไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากไม่อยู่ในประกันค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่จะขึ้นอยู่กับรุ่น iPhone ของคุณ ซึ่งมีราคาการเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับ iPhone ดังนี้

  • iPhone X, iPhone XS, iPhone XS Max,iPhone XR, iPhone 11 Pro Max,iPhone 11 Pro, iPhone 11 จะมีราคาอยู่ที่ 2,300 บาท
  • iPhone SE (รุ่นที่ 2), iPhone SE,iPhone 6, iPhone 6 Plus,iPhone 6s, iPhone 6s Plus,iPhone 7, iPhone 7 Plus,iPhone 8, iPhone 8 Plus,และรุ่นอื่นๆ ทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์จะมีราคาอยู่ที่ 1,600 บาท

sa gaming

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำการสังเกตและวิธีแก้ไขปัญหาความร้อนที่ทำให้แบต Huawei บวม

แบต Huawei บวม

บนอินเทอร์เน็ตมีโพสต์และการสนทนามากมาย ซึ่งผู้คนได้แบ่งปันปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญเกี่ยวกับโทรศัพท์ Huawei โดยปัญหาใหญ่ที่สุดที่เราพบคือแบตเตอรี่หมดและความร้อนสูงเกินไป สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้แบต Huawei บวมได้ ดังนั้นเราจึงมีมีวิธีการสังเกตและวิธีแก้ไขปัญหาความร้อนของโทรศัพท์มาแบ่งปัน เพื่อเป็นแนวทางช่วยคุณแก้ปัญหาแบตบวมได้

วิธีการสังเกตความร้อนของโทรศัพท์ที่อาจทำให้แบต Huawei บวม

ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปัญหาแบต Huawei บวม เรามาดูวิธีการสังเกตว่าแบตเตอรี่ของโทรศัพท์คุณบวมจริงหรือไม่ ซึ่งแบตบวมเกิดจากหลายปัจจัย โดยคุณสามารถสังเกตด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  1. แก้ปัญหาความร้อนของโทรศัพท์ Huawei ให้แคบลง

ผู้คนจำนวนมากซื้อโทรศัพท์ Huawei และบางคนก็บ่นเกี่ยวกับปัญหาแบตเตอรี่และการชาร์จของ Huawei เป็นจำนวนมาก ความร้อนเป็นเรื่องปกติไม่ใช่ปัญหา เพราะสมาร์ทโฟนทุกเครื่องเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่เมื่อคุณเผชิญกับปัญหานี้ตลอดเวลาและคุณรู้สึกว่าโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นมากและอาจทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นอันตรายต่อคุณ ซึ่งอาการแบบนี้อาจส่งผลให้แบตบวมได้ง่าย

  1. ด้านหลังโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นหรือไม่?

หากคุณรู้สึกว่าด้านหลังของโทรศัพท์มือถือของคุณกำลังประสบปัญหาร้อนขึ้นหรือร้อนกว่าปกติ คุณต้องเข้าใจว่าปัญหานี่ไม่ได้เกิดจากโทรศัพท์ Huawei แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับแบตเตอรี่ของ Huawei โดยตรง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณอาจเกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้คุณอาจจะประสบปัญหาด้านหลังโทรศัพท์ร้อนเมื่อคุณชาร์จโทรศัพท์จากที่ชาร์จอื่น ๆ เราแนะนำให้ลองชาร์จโทรศัพท์ของคุณจากเครื่องชาร์จของแท้และที่ Huawei ให้มาเผื่อปัญหานี้จะหมดไป

  1. ฐานโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นหรือไม่?

สังเกตที่ด้านล่างที่เป็นที่เสียบสายชาร์จว่าร้อนขึ้นหรือไม่? หากร้อนขึ้นจริงคุณต้องเข้าใจว่านี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับที่ชาร์จ โดยที่ชาร์จ Huawei อาจมีความผิดปกติหรือคุณอาจให้ที่ชาร์จแบตที่ไม่ได้มาตรฐาน ในการแก้ไขปัญหาการชาร์จของ Huawei ด้วยการเปลี่ยนที่ชาร์จที่เหมาะสำหรับโทรศัพท์ของคุณ

  1. โทรศัพท์ Huawei ร้อนขึ้นบริเวณด้านหลังส่วนบนหรือไม่?

หากโทรศัพท์ Huawei ของคุณร้อนขึ้นบริเวณด้านหลังส่วนบนค ต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ปัญหาแบตเตอรี่เลย อาจมีปัญหากับลำโพงหรือหน้าจอ ดังนั้นแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยวิธีที่ระบุด้านล่างนี้

  • หากโทรศัพท์ร้อนขึ้นจากลำโพง

หากคุณรับรู้ว่าส่วนที่ให้ความร้อนคือลำโพง และนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาหลักเท่านั้น แต่อาจทำให้หูของคุณเกิดอันตรายได้ ซึ่งปัญหานี้จะยังคงมีอยู่เมื่อลำโพงของโทรศัพท์ของคุณทำงานผิดปกติ ดังนั้นคุณต้องรีบไปที่ศูนย์บริการ Huawei ที่ได้รับอนุญาตและทำการซ่อมแซมทันที

  • หากหน้าจอของโทรศัพท์ร้อนขึ้น

หากหน้าจอหรือจอแสดงผลของโทรศัพท์ Huawei ของคุณร้อนขึ้นและบางครั้งดูเหมือนว่าจะมีอุณหภูมิสูงมากคุณสามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเป็นปัญหากับโทรศัพท์ Huawei ของคุณเท่านั้น ดังนั้นคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้ไว้ด้านล่าง

การแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ร้อน

ตอนนี้คุณได้รู้วิธีการสังเกตความร้อนของโทรศัพท์ที่อาจทำให้แบต Huawei บวม ซึ่งปัญหานี้พบมากใน huawei nova 3iและคุณอาจพบว่าปัญหานี้เกิดจากตัวโทรศัพท์ที่ส่งผลให้แบตเตอรี่ร้อนขึ้น เพราะฉะนั้นมาดูวิธีแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ร้อนได้ตามที่ระบุด้านล่างนี้

  • ใช้แอปของบุคคลที่สามเพื่อถนอมแบตเตอรี่

เป็นทางเลือกที่ดีในการใช้แอปของบุคคลที่สาม เพื่อลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟนของคุณ ซึ่งเรามีแอปที่อยากจะแนะนำให้คุณรู้จักอย่าง greenify Greenify เป็นUtility อันดับ 1 ของ Lifehacker ในปี 2013 เป็นแอปพลิเคชัน Android ที่ผู้ใช้โทรศัพท์ Android หลายคนต่างชื่นชอบ แอปนี้ช่วยให้คุณระบุแอปที่คุณไม่ได้ใช้งานและทำให้แอปเหล่านั้นเข้าสู่โหมด Hibernate และป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ของคุณล้าหลังและถนอมแบตเตอรี่ เมื่อไม่มีแอปทำงานในพื้นหลังคุณจะเห็นอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Huawei เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

  • ทำให้โทรศัพท์ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น

สิ่งสำคัญที่ทำให้โทรศัพท์ Huawei ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น ต้องลบแอปและข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อใช้งาน ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้โทรศัพท์และโปรเซสเซอร์ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น เพราะมันจะช่วยให้โทรศัพท์ของคุณทำงานน้อยลงซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่ Huawei และปัญหาความร้อนสูงเกินไป 

  • เปลี่ยนการตั้งค่าบนโทรศัพท์ของคุณเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่

คุณสามารถปิดบริการระบุตำแหน่งเพื่อลดการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้ นอกจากนี้การปรับการตั้งค่า GPS ยังช่วยให้คุณใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้น โดยการไปที่การตั้งค่า> ตำแหน่ง> โหมดและคุณจะเห็น 3 ตัวเลือก ความแม่นยำสูงซึ่งใช้ GPS, Wi-Fi และเครือข่ายมือถือในการกำหนดตำแหน่งของคุณซึ่งจะใช้พลังงานค่อนข้างมากในการทำงาน หากคุณปิดการตั้งค่านี้จะช่วยลดการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ และคุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเป็นตัวเลือกการประหยัดแบตเตอรี่ได้ โดยไปที่การตั้งค่า> แอปพลิเคชัน> ทั้งหมด> บริการ Google Play ที่นี่แตะที่ปุ่มล้างแคช การดำเนินการนี้จะรีเฟรชบริการ Google Play และหยุดแคชที่กินแบตเตอรี่ของคุณ

จีคลับ

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีเพิ่มความเร็วหลัง อัพเดท Android แล้วเครื่องช้า

อัพเดท Android

สำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต Android อาจพบกับปัญหาเครื่องทำงานช้าลง เนื่องจากสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตของคุณนั้นมันประมวลผลอยู่ตลอดเวลา โดยการประมวลผลเหล่านี้อาจเกิดจากแอปพลิเคชันที่ยังทำงานอยู่ หรือไฟล์แคชที่มีอยู่ภายในเครื่อง ภาพวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ บนหน้าจอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ย่อมส่งผลทำให้เครื่องทำงานได้ช้าลง หรือในบางกรณีโทรศัพท์ Android มักจะช้าลงตามเวลาการใช้งาน ส่วนใหญ่เป็นเพราะฮาร์ดแวร์เสื่อมสภาพ อย่างไรก็ตามมีหลายกรณีที่ผู้ใช้ อัพเดท Android แล้วพบว่าประสิทธิภาพของทำงานช้าลงหลังจากอัพเดตระบบปฏิบัติการ (OTA) เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันว่าจะมีวิธีใดบ้างที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลของสมาร์ทโฟนให้ทำงานได้ดีขึ้น

วิธีการเพิ่มความเร็วโทรศัพท์หลังอัพเดท Android

ปัญหาโทรศัพท์ช้าหลัง อัพเดท Android นี้เกิดขึ้นกับโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งมีหลากหลายแบรนด์ เช่น Samsung Xiaomi Vivo Realme Oppo Vivo Huawei และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นวันนี้เราจะพูดถึงวิธีการเพิ่มความเร็วโทรศัพท์และสาเหตุที่เกิดขึ้นบนโทรศัพท์ Android จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย

  1. การอัพเดตระบบปฏิบัติการและแอปที่หนักพื้นที่ภายในโทรศัพท์

การอัพเดตระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่นล่าสุดอาจไม่ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับโทรศัพท์ของคุณมากนัก และอาจทำให้การอัพเดตช้าลง หรือผู้ให้บริการและผู้ผลิตอาจเพิ่มแอป bloatware เพิ่มเติมในการอัพเดต ซึ่งทำให้การทำงานในพื้นหลังต่าง ๆช้าลง 

วิธีแก้ไข : หากระบบปฏิบัติการของคุณดูเหมือนช้าคุณ ให้ลองติดตั้ง ROM แบบกำหนดเองที่ไม่มี bloatware และสกินของผู้ผลิต แต่โปรดจำไว้ว่านี่เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ใช้ขั้นสูงและมักจะมีปัญหามากกว่าที่มันคุ้มค่า หากแอปของคุณช้าให้ลองปิดการใช้งานแอปนั้น แล้วเลือกใช้แอป

  1. กระบวนการทำงานแอปพลิเคชันเบื้องหลังทำให้โทรศัพท์ทำงานช้าลงได้

หากคุณติดตั้งแอปเพิ่มเติม ในขณะที่คุณยังคงใช้งานโทรศัพท์อยู่ บางแอปที่เปิดขึ้นจะเริ่มต้นทำงานในพื้นหลังด้วย ซึ่งถ้าคุณติดตั้งแอปจำนวนมาก แอปเหล่านี้อาจใช้ทรัพยากร CPU และ RAM ทำให้มือถือของคุณทำงานช้าลง ในทำนองเดียวกันหากคุณใช้ภาพวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ จำนวนมากบนหน้าจอหลัก สิ่งเหล่านี้จะใช้ทรัพยากร CPU กราฟิกและหน่วยความจำจำนวนมาก และอาจส่งผลเสียต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่อีกด้วย

วิธีแก้ไข : ปิดการใช้งานวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ ให้ออกจากหน้าจอหลักและถอนการติดตั้งหรือปิดใช้งานแอปที่ไม่จำเป็น หากต้องการตรวจสอบว่าแอปใดกำลังทำงานพื้นหลังให้ไปที่เมนู Running Services ในการตั้งค่า หากคุณไม่ได้ใช้แอปที่กำลังทำงานอยู่เบื้องหลังให้ถอนการติดตั้ง ถ้าคุณไม่สามารถถอนการติดตั้งให้คุณเลือกปิดการใช้งานแอปนั้น

  1. พื้นที่เก็บข้อมูลทำให้ระบบปฏิบัติการของคุณทำงานได้

โซลิดสเตทไดรฟ์จะทำงานช้าลง เมื่อคุณจัดเก็บข้อมูลในหน่วยความจำจนเต็ม สิ่งนี้ทำให้ระบบปฏิบัติกา Android และแอปพลิเคชันทำงานช้าลงมาก ซึ่งหน้าจอการจัดเก็บในเมนูการตั้งค่าจะแสดงให้คุณเห็นว่าพื้นที่เก็บข้อมูลของอุปกรณ์ของคุณเต็มเพียงใดและแอปไหนใช้พื้นที่เท่าไร ไฟล์แคชอาจใช้พื้นที่เก็บข้อมูลค่อนข้างน้อย แต่หากปล่อยให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆโดยไม่ได้ตรวจสอบก็อาจทำให้พื้นที่หน่วยความจำเต็มได้ง่าย ดังนั้นการล้างไฟล์แคชจะสามารถใช้เพิ่มพื้นที่ว่างในดิสก์และทำให้โซลิดสเตทไดรฟ์ของคุณทำงานได้ดีขึ้นอย่างน้อยก็จนกว่าแคชเหล่านั้นจะเต็มอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วิธีแก้ไข : รูปภาพและวิดีโอที่คุณถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์ของคุณถือเป็นตัวการใหญ่ที่สุดที่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลค่อนข้างเยอะ ดังนั้นควรทำการสำรองข้อมูลและลบออกจากโทรศัพท์ของคุณบ่อย ๆ และคุณยังสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยใช้ google drive เก็บรูปภาพเหล่านั้น มิฉะนั้นก็ถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันและลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้คุณยังสามารถรีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงานและติดตั้งเฉพาะแอปที่คุณต้องการเพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่เหมือนใหม่ได้

ทำไมโทรศัพท์ Android ถึงช้าและไม่ตอบสนอง?

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมโทรศัพท์ Android เครื่องช้าและค้างไม่ตอบสนอง? และอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหาอัพเดท Android แล้วเครื่องทำงานช้า คือการรีเซ็ตโทรศัพท์ เป็นการตั้งค่าจากโรงงาน อย่างไรก็ตามการดำเนินการนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดออกจากอุปกรณ์ของคุณ ถ้าคุณไม่อยากให้ข้อมูลหายให้ทำการสำรองข้อมูลต่อรีเซ็ต

ดังนั้นหลังจากการอัพเดท Android ของคุณแล้วเครื่องช้า ต้องเช็คโทรศัพท์ Android ของคุณหรือทำการ Wipe Cache Partition เพื่อล้างข้อมูล Cache ที่เก็บไว้ในเครื่อง ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้โทรศัพท์ Android ของคุณย้ายแอปและไฟล์ระบบที่อัปเดตใหม่ไปยังพาร์ติชันแคช รับรองเลยว่าการทำเช่นนี้จะช่วยเร่งความเร็วของโทรศัพท์ Android ของคุณอย่างมาก

จีคลับ

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า หรือ เครื่องอืด

oppo

มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์มือถือของคุณอย่างเช่นโทรศัพท์ทำงานช้า และไม่สำคัญว่าจะเป็นเครื่องใหม่หรือไม่ เพราะเนื่องจากในเวลาไม่ช้าโทรศัพท์ของคุณอาจจะเต็มไปด้วยไฟล์และแอปพลิเคชัน ที่สามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์ได้ และวันนี้เราก็มีวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า มาฝากทุกคน ตามมาดูกันเลยค่ะ

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า

การที่โทรศัพท์ oppo ช้า อาจเกิดจากประสิทธิภาพโดยรวมของระบบไม่ดี ซึ่งในกรณีนี้ระบบทั้งหมดจะให้ความรู้สึกว่าทำงานช้าขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างเช่น เข้าแอปแล้วโทรศัพท์กระตุก ต้องใช้เวลานานในการเข้าสู่แกลเลอรีรูปภาพและโดยทั่วไปคุณจะสังเกตเห็นว่าโทรศัพท์ของคุณสูญเสียความลื่นไหล หากคุณปฏิบัติต้องวิธีที่เราแนะนำมันอาจจะช่วยทำให้โทรศัพท์เร็วขึ้น ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

  1. เพิ่มพื้นที่ว่างในดิสก์

เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานโทรศัพท์แย่ลง เนื่องจากพื้นที่ว่างเหลือน้อยลง

อาจมีปัญหาทำให้เกิดข้อบกพร่องด้านประสิทธิภาพ การเพิ่มพื้นที่ว่างเป็นวิธีแรก เพื่อดูว่าความลื่นไหลของระบบดีขึ้นหรือไม่ โดยการทำเช่นนี้เราสามารถไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่เก็บข้อมูลและใช้ตัวล้างอัตโนมัติ จากนั้นก็รีสตาร์ทมือถือและตรวจสอบว่าประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่

  1. ลดการใช้วิดเจ็ต

การใช้งานที่มากเกินไปของวิดเจ็ตหรือวอลล์เปเปอร์แบบไดนามิกจำเป็นต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรของเครื่องโทรศัพท์ ดังนั้นมันจึงลดประสิทธิภาพการทำงาน หากเรามีวิดเจ็ตหรือวอลล์เปเปอร์หลายรายการ จึงถือเป็นเรื่องปกติที่มือถือของคุณจะช้า ไม่ราบรื่น ดังนั้นคุณต้องลดการใช้วิดเจ็ตบางส่วนและให้ทดสอบว่าปัญหาหายไปหรือไม่

  1. รีบูตบ่อยๆ

เป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนแทบไม่ได้ทำ แต่มันสะดวกมาก การรีสตาร์ทมือถือเป็นระยะ ๆจะช่วยให้คุณสามารถกำจัดข้อเสียของแคชและเพิ่มประสิทธิภาพทำให้โทรศัพท์ทำงานได้เร็วขึ้น สำหรับโทรศัพท์ OPPO เราแนะนำให้รีสตาร์ทอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าประสิทธิภาพการทำงานยังคงที่ไม่ได้ลดลง

  1. เครื่องร้อนไหม?

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบนโทรศัพท์มือถือ อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงชั่วคราว ซึ่งอาจส่งผลให้โปรเซสเซอร์หรือองค์ประกอบฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เสียหายได้ โดยเครื่องโทรศัพท์ร้อนมักเกิดขึ้นบ่อย เช่นเมื่อคุณเล่นเกมที่มีความต้องการกราฟิกเป็นเวลานานหรือเมื่อเล่นและโหลดในเวลาเดียวกัน หรือโทรศัพท์ OPPO ของคุณใช้การนำทางด้วย GPS เป็นเวลานาน จะทำให้มือถือร้อนเกินไปหรือร้อนกว่าปกติ เมื่อเวลาผ่านไปโทรศัพท์ของคุณอาจทำงานช้าลงหรืออาจทำให้แบตเตอรี่บวมได้อีกด้วย วิธีแก้ไขที่ดีสุดคือปล่อยให้มือถือของคุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งหมายถึงการปิดเครื่องและรออย่างน้อย 10 นาที เพื่อให้ระบบกลับสู่อุณหภูมิปกติ จากนั้นคุณก็สามารถเปิดอุปกรณ์ได้และดูว่าประสิทธิภาพฟื้นตัวหรือไม่

  1. อัปเดตซอฟต์แวร์

การอัปเดตซอฟต์แวร์ถือเป็นการดำเนินการปรับปรุงซอฟต์แวร์ภายในเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบว่าคุณอัปเดตซอฟต์แวร์หรือยัง โดยไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่ระบบ จากนั้นไปที่การอัปเดตระบบ

  1. ถอดการ์ด microSD

การ์ด microSD เป็นองค์ประกอบที่สำคัญบนโทรศัพท์ แต่นั่นก็อาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประสิทธิการทำงานแย่ลง หากคุณมีรูปถ่ายหรือแอปพลิเคชันใน microSD และมันทำงานไม่ถูกต้องจะแสดงประสิทธิภาพของระบบทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย ขั้นตอนต่อไปคือการถอด microSD และทดสอบว่าปัญหานั้นได้รับการแก้ไขหรือไม่

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแอปพลิเคชัน

ในกรณีที่โทรศัพท์ oppo ช้า ซึ่งมันอาจเกิดจากความผิดปกติบางโปรแกรม ซึ่งคุณยังมีตัวเลือกมากมาย เพื่อให้ความล้มเหลวของโปรแกรมหายไปและทำให้โทรศัพท์ OPPO ของคุณกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

  1. ลบและติดตั้งแอพใหม่ เป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำคือลบและติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ เมื่อมันเกิดความล่าช้าหรือทำงานไม่ผิดปกติ หากเกิดขึ้นกับแอปพลิเคชันมากกว่าหนึ่งรายการ คุณก็ต้องทำเช่นเดียวกัน เมื่อติดตั้งใหม่เสร็จแล้วให้ตรวจสอบว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
  2. ปิดแอปเบื้องหลัง

เพื่อป้องกันไม่ให้แอปพลิเคชันหลายตัวทำงานในพื้นหลัง ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรและประสิทธิภาพการทำงานลดลงคุณจะต้องแตะที่เมนูแอปพลิเคชันล่าสุดและปิดทั้งหมดในครั้งเดียว นอกจากนี้คุณยังสามารถปิดทีละรายการ เพื่อดูว่าประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่

  1. ดาวน์โหลดและใช้แอปอย่างเป็นทางการ

ในหลาย ๆ ครั้งแอปที่ดาวน์โหลดนอก Google Play อาจมีการแก้ไขโค้ดแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นแอปที่ถูกต้อง 100% ก็ตาม สิ่งนี้อาจสามารถทำให้โทรศัพท์ใช้ทรัพยากรมากขึ้นและมือถือของคุณเริ่มช้าลง วิธีแก้ไขคือลบแอปและลบไฟล์ขยะเหล่านี้ที่ดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการและลองดาวน์โหลดแอปโดยตรงจาก Google Play

  • ล้างแคช

หน่วยความจำแคชเป็นข้อมูลชั่วคราวที่เก็บไว้ในหน่วยความจำโทรศัพท์เมื่อมีการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือของคุณ แต่ละแอปพลิเคชันมีไฟล์แคชของตัวเองและใช้พื้นที่เก็บข้อมูลบางส่วน การล้างแคชนั้นเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับระบบในการสร้างไฟล์แคชใหม่ในครั้งต่อไป หากต้องการล้างแคชของแอปพลิเคชันให้ไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่เก็บข้อมูล ต่อด้วยล้างที่เก็บข้อมูล จากมันไปที่ลบทั้งหมด

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า เครื่องอืด

ซัมซุง

หลายคนที่ใช้โทรศัพท์ซัมซุง อาจจะเคยประสบปัญหาเครื่องทำงานประมวลผลช้าลง หรือเครื่องอืดมาก ซึ่งโทรศัพท์ซัมซุงใช้ระบบปฏิบัติการ Android เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน อาจจะมีปัญหาเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเว็บไซต์ หรือ แอปพลิเคชันต่างๆ ก็ทำงานช้า ไม่ลื่นปรื๊ดเหมือนต้องซื้อมาใหม่ๆ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า ที่จะทำให้โทรศัพท์ของคุณทำงานได้ลื่นขึ้นเหมือนตอนซื้อมาใหม่ๆ

แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser)ของ Google Chrome ที่ติดตั้งอยู่ให้ระบบมือถือ Android จะถูกติดตั้งมาจากโรงงานแทบทั้งสิ้น ซึ่งระบบการทำงานของเว็บเบราว์เซอร์ ต่างๆ จะทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ที่คุณเคยเข้าใช้งานหรือการเยี่ยมชมเว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการ บุ๊กมาร์ก (เพื่อเป็นทางลัดในการเก็บเว็บไซต์ที่คุณเข้าชมบ่อยๆ โดยครั้งหน้าจะเข้าเว็บไซต์นี้ ก็ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์หาอีก) หรือจะเป็นแท็บล่าสุด ประวัติการเข้าชม ดาวน์โหลด การตั้งค่าต่างๆ เป็นต้น 

โดยระบบการทำงานที่กล่าวมานี้ จะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมาก จึงกินพื้นที่เก็บข้อมูลหน่วยความจำของโทรศัพท์ ทำให้คุณมีพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลในการใช้งานที่เหลือน้อยลง ยิ่งถ้าหากโทรศัพท์มือถือของคุณถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งมีการเก็บข้อมูลจำนวนมากขึ้น ดังนั้นคุณต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้ให้หมดไป เพื่อที่จะได้เพิ่มพื้นที่ของหน่วยความจำของโทรศัพท์ให้กลับมาเหมือนเดิม อีกทั้งยังช่วยทำให้โทรศัพท์ทำงานหนักน้อยลง เอาล่ะค่ะ เมื่อคุณรู้ปัญหาหลักๆแล้ว และวิธีการแก้ไขพื้นฐานแล้ว มาดูวิธีที่เรานำมาแนะนำกันเลยค่ะ

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า ให้เร็วแรง มีประสิทธิภาพที่ดีอยู่ตลอด

เมื่อคุณใช้โทรศัพท์มือถือไปเป็นเวลานาน อาจต้องเจอกับปัญหาโทรศัพท์ช้า อืด กระตุกไม่ลื่นไหล และต่อให้คุณใช้โทรศัพท์ซัมซุงรุ่นใหม่ ที่มีระบบประมวลผลที่รวดเร็ว จัดเต็มมาทุกฟังก์ชัน ถ้าหากขาดการดูแลที่เหมาะสมอาจทำให้ในอีกหลายปีข้างหน้าประสิทธิการทำงานลดลงอย่างเช่น เมมเต็ม เครื่องอืด และค้างได้ ซึ่งวันนี้เราก็มี 4 วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้าง่ายๆมาแนะนำทุกคน รับรองว่าโทรศัพท์ซัมซุงของคุณจะกลับมาลื่นปรื๊ดแน่นอนค่ะ จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย

  1. ล้างไวรัสด้วยแอปพลิเคชั่น

วิธีแรกนี้ถือเป็นวิธีขั้นพื้นฐานที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนต้องรู้ไว้ และนี้เป็นวิธีที่สามารถทำได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันนี้มีหลากหลายแอปให้โหลดผ่าน Playstore แต่หากคุณใช้ Samsung Galaxy S9 หรือ S9+ คุณไม่จำเป็นต้องโหลด เพราะโทรศัพท์ซัมซุงรุ่นนี้มีฟีเจอร์สำหรับสแกนไวรัสมัลแวร์ ด้วยวิธีเพียงไม่กี่ขั้นตอน โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปใหม่ เพียงเท่านี้โทรศัพท์ของคุณก็จะห่างไกลไวรัส และมัลแวร์

  1. ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น

หลายคนคงเคยประสบปัญหาเมมเต็ม เครื่องอืด ยิ่งบ่อยครั้งที่คุณใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ แล้ว ต้องเคยเจอกับปัญหาเหล่านี้ เนื่องจากคุณอาจไม่เคยลบ หรือเคลียพื้นที่แอปในเครื่อง ทำให้พื้นที่ความจำของโทรศัพท์โดนจำกัด ดังนั้นคุณควรเคลียไฟล์ หรือ แอปที่ไม่ได้ใช้งาน หรือเกมที่เลิกเล่นแล้วออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลของโทรศัพท์ให้เร็วแรง ทำงานได้เต็มที่อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ตลอด

  1. ลบประวัติการค้นหา google

วิธีนี้เป็นวิธีที่ใครหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทุกครั้งที่คุณทำการค้นหาข้อมูลบนแพลตฟอร์ม google ในโทรศัพท์ซัมซุง ระบบจะทำการเก็บข้อมูลไว้ใน History หรือการ log in เข้าเว็บต่างๆ จนก่อให้เกิดเป็นไฟล์ขยะในเครื่อง และอาจมีข้อมูลค้างอยู่ ทำให้กินพื้นที่ของเครื่องโดยไม่จำเป็น ซึ่งวิธีง่ายๆในการลบไฟล์ขยะและลบประวัติการค้นหานี้ สามารถทำเองได้ง่ายๆ ผ่านระบบในเครื่อง

  1. ล้างข้อมูลและเรียกคืนการตั้งค่าจากโรงงาน 

เมื่อคุณทำการล้างไวรัสและลบไฟล์ต่างๆแล้ว แต่โทรศัพท์มือถือยังคงค้างและประมวลผลช้าอยู่ ให้คุณลองใช้วิธีล้างข้อมูลและเรียกคืนการตั้งค่าจากโรงงาน เพื่อล้างแคช ลบขยะไฟล์ต่างๆ ที่ติดไวรัสอยู่ และไม่สามารถเอาออกได้ ด้วยวิธีดังนี้

  • สำรองข้อมูลโทรศัพท์ของคุณก่อนจากนั้นไปที่การตั้งค่า
  • แตะ “การจัดการทั่วไป” และเลือก “รีเซ็ต” 
  • กด “รีเซ็ตการตั้งค่า”

ซึ่งหลังจากล้างเครื่อง(รีเซ็ต)เสร็จ สมาร์ทโฟนของคุณก็จะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ หมดปัญหาเรื่องเครื่องช้าไปได้เลย 

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงค้าง ปิดเครื่องไม่ได้

หากคุณลองใช้วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้าแล้ว ทำให้โทรศัพท์เร็วขึ้น แต่หากโทรศัพท์ค้าง แล้วไม่สามารถทำอะไรได้ไม่ว่าจะเป็น กดที่หน้าจอไม่ได้ กดปุ่มปิดเครื่องค้างไว้ก็ไม่ทำงาน ทางเลือกสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำคือการเปิดฝากหลัง แล้วถอดก้อนแบตเตอรี่ออกมาจากตัวเครื่อง แล้วใส่ก้อนแบตเตอรี่เข้าไปใหม่ จากนั้นก็เปิดเครื่องใหม่ โดยมีวิธีการแก้ปัญหาดังนี้

  1. ในขณะที่หน้าจอยังติดอยู่ ให้คุณทำการ กดปุ่ม “Download Mode” ด้วยวิธี Volume Down+Home+Power พร้อมกันค้างไว้จนเครื่องสั่น ซึ่งโดยปกติแล้ววิธีนี้จะเอาไว้แฟลชรอมหรือรูทเครื่อง
  2. หลังจากเครื่องสั่นแล้ว บนหน้าจอจะขึ้นแจ้งว่าต้องการเข้า “Download Mode” หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ให้เรากดปุ่ม Volume Down หรือปุ่มลดเสียง เพื่อยกเลิกแล้วมือถือของคุณก็จะทำการรีสตาร์ทเครื่องอัตโนมัติ

ทางเข้า bet168

HILO-88.COM
HILO-88.COM