สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
สอนใช้ แนะนำแอปฯ

FaceTime เพิ่มฟีเจอร์ SharePlay ใหม่ให้ผู้ใช้ iPhone ใน iOS 15

FaceTime

เมื่อเดือนมิถุนายน 2021 Apple ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแอป FaceTime วิดีโอแชทบนอุปกรณ์ของ Apple ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นการอัปเกรดคุณสมบัติที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์รุ่นเบต้าสาธารณะ iOS 15 ที่คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในเกิดกันยายนของปีนี้ พร้อมกับการเปิดตัว iPhone 13 เช่นกัน 

การอัปเกรดคุณสมบัติใหม่ที่ยอดเยี่ยมครั้งนี้คือ FaceTime ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ SharePlay ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ iPhone สามารถสตรีมวิดีโอเสมือนจริงผ่านหน้าจออุปกรณ์อื่น ๆ ได้ หรือสามารถแชร์หน้าจอให้กับเพื่อน ๆ บนอุปกรณ์ iPhone ร่วมกันได้ ซึ่งเหมาะสำหรับสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมาก เช่น หากคุณต้องการจัดปาร์ตี้แต่รู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน เนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 ยังคงน่าเป็นห่วง ฟีเจอร์ SharePlay ของ FaceTime จึงถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะช่วยให้คุณจัดปาร์ตี้กับเพื่อนได้ แม้จะอยู่ห่างไกลกัน

ในขณะนี้ฟีเจอร์ SharePlay ยังมีฟังก์ชันการทำงานที่จำกัด เนื่องจากระบบปฏิบัติการ iOS 15 ยังไม่ถูกเปิดตัวให้ใช้งานได้อย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่นานเกินรอ SharePlay ก็จะพร้อมใช้งานร่วมกันได้ทั้งหมดบน iPhone นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ SharePlay เพื่อแชร์เพลง หรือแชร์ทั้งหน้าจอ iPhone ของคุณให้กับเพื่อน ๆ ได้ ซึ่งบทความนี้จะพูดถึงวิธีการใช้งาน FaceTime SharePlay สำหรับการสตรีมภาพยนตร์และเพลง 

วิธีใช้ FaceTime SharePlay สำหรับการสตรีมภาพยนตร์และเพลง

สำหรับการเข้าร่วมการสตรีมภาพยนตร์หรือรายการทีวีบน FaceTime นั้นใช้งานได้ง่ายมาก ๆ ด้วยฟีเจอร์ SharePlay โดยเนื้อหาจะซิงค์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ และอนุญาตให้อุปกรณ์ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าถึงการควบคุมได้ และคุณยังจะได้เห็นและได้ยินเสียงซึ่งกันและกันแบบภาพซ้อนภาพขณะรับชม ในปัจจุบันมีบริการสตรีมมิ่งที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ Apple สำหรับการใช้งาน SharePlay แล้ว ได้แก่ Hulu, HBO Max, TikTok และ ESPN Plus อย่างไรก็ตามคุณควรทราบก่อนว่าการใช้งาน SharePlay ทั้ง 2 ฝ่ายต้องใช้ FaceTime บนอุปกรณ์ของ Apple iOS 15 , iPadOS 15หรือ MacOS เท่านั้น และคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอีกประการของ SharePlay คือคุณสามารถแชร์วิดีโอส่งไปยัง Apple TV ของคุณในขณะที่ยังคงโทรแบบ FaceTime บน iPhone ของคุณได้ 

นอกจากฟีเจอร์ SharePlay จะสามารถใช้สตรีมภาพยนตร์หรือรายการทีวีแล้ว คุณยังสามารถใช้ SharePlay เพื่อฟังเพลงใหม่ ๆ ได้ทั้งอัลบั้มระหว่าง FaceTime เมื่อแชร์เพลงทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถเข้าถึงการควบคุมเพื่อหยุดชั่วคราว เล่นเพลง หรือข้ามเพลงใน SharePlayได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถให้ข้อมูลกับเพลย์ลิสต์ที่แชร์ได้ด้วยการเพิ่มเพลงลงในคิวภายในแอป Apple Music

วิธีใช้ FaceTime SharePlay สำหรับการสตรีมภาพยนตร์

  1. เริ่มต้นการโทรแบบ FaceTime บน iPhone ของคุณ
  2. เปิดแอปสตรีมมิ่งและเลือกรายการหรือภาพยนตร์ที่ต้องการรับชม
  3. กด Play จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายก็สามารถรับชมสตรีมเดียวกันได้ในคราวเดียว
FaceTime

วิธีใช้ FaceTime SharePlay สำหรับการสตรีมเพลง

  1. เริ่มต้นการโทรแบบ FaceTime บน iPhone ของคุณ
  2. เปิดแอป Apple Music แล้วเลือกเพลงที่ต้องการฟัง
  3. กด Play แล้วเพลงจะเริ่มเล่นจากทั้ง 2 เครื่องพร้อมกัน
FaceTime

ข้อเสียของ SharePlay ที่คุณควรรู้

ตอนนี้ข้อเสียของ FaceTime สำหรับการใช้ฟีเจอร์ SharePlay คือ ปัญหาการสมัครสมาชิกบริการสตรีมมิ่ง เนื่องจากหนึ่งบริการสตรีมมิ่งยอดนิยมอย่าง Netflix ไม่ได้อยู่ในรายการที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ Apple ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญเช่นเดียวกับ YouTube และ Spotify ที่ยังรอเวลาให้ iOS 15 เปิดตัวอย่างเป็นทางการก่อน ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเดือนกันยายน แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้นักพัฒนาสามารถเข้าถึง iOS 15 เวอร์ชันเบต้าได้ก่อนใคร พื่อให้พวกเขาสามารถเพิ่ม SharePlay API ลงในแอปที่เกี่ยวข้องได้ในระหว่างนี้ นอกจากนี้หากคู่สนทนาของคุณต้องการแชร์เล่นวิดีโอ TikTok และคุณไม่ได้ติดตั้งแอป TikTok คุณก็จะไม่สามารถดูวิดีโอผ่าน FaceTime ได้

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

โจ๊ก เกอร์ 123 ฝากถอน ไม่มี ขั้น ต่ํา

Categories
สอนใช้ แนะนำแอปฯ

Facebook เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาในกลุ่ม

Facebook

เมื่อไม่นานมานี้ Facebook เครือข่ายโซเชียลมีเดียที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก ได้มีการประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ได้รับการคออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญ “โดดเด่น” ในการอภิปรายความรู้เกี่ยวกับสาขาความเชี่ยวชาญของตนภายในกลุ่ม Facebook โดยผู้ดูแลกลุ่มมีสิทธิ์ที่จะมอบชื่อด้านความเชี่ยวชาญให้กับสมาชิกเกือบทุกคนที่ต้องการได้ นอกจากนี้กลุ่มที่ส่งเสริมทฤษฎีสมคบคิดหรือมุมมองที่ไม่เหมาะสมอาจสามารถกำหนด “ผู้เชี่ยวชาญ” ได้เช่นกัน

ยกตัวอย่าง กลุ่ม Facebook ที่ได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่นี้โดยการมีเคลื่อนไหวตลอดเวลา เช่น QAnon , กลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีนและกลุ่มการเมืองที่ถกเถียงกันทำให้เกิดการแพร่กระจายข้อมูลที่ผิด ซึ่งเมื่อต้นปีนี้ Facebook ได้มีนโยบายลบกลุ่มที่แพร่กระจายข้อมูลที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจไม่เข้ารับการฉีดวัคซีน และหยุดแนะนำกลุ่มการเมืองให้กับสมาชิกใหม่ อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Facebook ได้กล่าวว่า ฟีเจอร์ใหม่นี้เป็นเพียงการทดลองแบบจำกัด เนื่องจากจะมีการเริ่มต้นใช้ได้เฉพาะบางกลุ่มในชุมชน Facebook เท่านั้น โดยกลุ่มต่าง ๆ ต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานของชุมชน หากกรณีสมาชิกในกลุ่มได้รับการรายงาน มากกว่า 3 ครั้งในช่วง 90 วันที่ผ่านมา เนื่องจากการละเมิดมาตรฐานของชุมชน สมาชิกนั้นจะไม่ได้รับสิทธิ์ถูกระบุว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ได้

ฟีเจอร์ผู้เชี่ยวชาญของ Facebook จะช่วยเพิ่มบทบาทให้แก่สมาชิกภายในกลุ่ม

สำหรับฟีเจอร์ใหม่นี้ Facebook ได้กล่าวว่ามันเป็นวิธีการส่งเสริมเสียงสมาชิกที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาภายในกลุ่มอย่างแท้ โดย Maria Smith ผู้บริหารของเฟซบุ๊ก ได้เขียนไว้ในบล็อกโพสต์ว่า “ตอนนี้ผู้ดูแลระบบสามารถเลือกสมาชิกเฉพาะในกลุ่มชุมชนของพวกเขาที่มีความโดดเด่นออกมาแสดงความสามารถ ทำให้พวกเขามีบทบาทที่มีความหมายมากขึ้น” นอกจากนี้เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า “ผู้ดูแลระบบสามารถทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของกลุ่มได้ เพื่อโฮสต์ถาม&ตอบ แบ่งปันมุมมองในแต่ละหัวข้อและร่วมกันตอบคำถาม”

Facebook

ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญสามารถเลือกยอมรับหรือปฏิเสธคำเชิญจากผู้ดูแลระบบได้ หากพวกเขายอมรับ พวกเขาก็จะได้รับเหรียญตราข้างชื่อของพวกเขา ในปัจจุบันบรรดากลุ่มที่ใช้งานบน Facebook มีผู้ดูแลระบบประมาณ 70 ล้านคน ซึ่ง Facebook ยังคงกำลังทดลองวิธีที่จะทำให้ผู้ดูแลกลุ่มสามารถค้นหาผู้เชี่ยวชาญได้อย่างแท้จริงในแต่ละหัวข้อเพื่อเชิญเข้าร่วมกลุ่มของตน โดยเฉพาะในกลุ่มฟิตเนสและเกมที่พวกเขาสามารถระบุสิ่งที่เชี่ยวชาญได้ เช่น ชื่อเกมที่เชี่ยวชาญ ซึ่งทำให้ผู้ดูแลระบบกลุ่มสามารถค้นหาผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น

บทวิเคราะห์เกี่ยวกับฟีเจอร์ผู้เชี่ยวชาญ

อลิสแตร์ โคลแมน นักวิจัยจากสำนักวิจัย BBC Monitoring ได้กล่าวว่า Facebook เป็นอีกหนึ่งบริการเครือข่ายสังคมที่ช่วยขับเคลื่อนการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ การเลี้ยงดู การเมือง และปัญหาในท้องถิ่น ถึงแม้ว่าแผนการของ Facebook ที่อนุญาตให้ผู้ดูแลระบบกลุ่มสามารถแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญได้ในครั้งนี้จะดูดึงดูดความสนใจในด้านวิธีการนำเสนอเนื้อหาที่มีความน่าเชื่อถือมาสู่ผู้ใช้ แต่ก็ยังมีคำถามที่ต้องการคำตอบจากหลายคนว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถืออย่างแท้จริงหรือไม่ 

ซึ่งการประกาศของ Facebook ในครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงกระบวนการตรวจสอบสำหรับการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญอย่างชัดเจนมากนัก โดยสมาชิกแต่ละกลุ่มสามารถตั้งค่าสถานะความเชี่ยวชาญของตนได้ และคาดหวังว่าจะได้รับคำเชิญจากผู้ดูแลกลุ่ม ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าผู้ดูแลกลุ่มนั้นถือเป็นผู้ชี้ขาดคนสุดท้ายว่าใครจะสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ หากผู้ดูแลกลุ่มแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจจริง ๆ อาจทำให้เกิดการนำเสนอเนื้อหาแบบผิด ๆ ได้ ดังนั้นก่อนการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญผู้ดูแลกลุ่มต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้แน่ใจก่อนว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตออนไลน์ ฝาก-ถอนไม่มีขั้นต่ำ

Categories
สอนใช้

สิ่งที่ผู้ใช้ iPhone ควรรู้ก่อนทำการติดตั้ง iOS 15 Beta 3

iPhone

แน่นอนว่าการได้ใช้ซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุดและดีที่สุดจาก Apple นั้นเป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ iPhone เป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Apple ได้ปล่อยการอัปเดต iOS / iPadOS 14.7 RC ไปแล้ว แต่ล่าสุดทางฝั่งของ iOS 15 และ iPadOS 15 ก็ได้มีการปล่อย Beta 3 ให้นักพัฒนาได้อัปเดตกันแล้วเช่นกัน ในหมายเลข Build ที่ 19A5297e ซึ่งการอัปเดตเวอร์ชันนี้เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพ และเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้งานสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์ได้แม้มีพื้นที่น้อยกว่า 500MB แต่ในส่วนของด้านฟีเจอร์ยังไม่มีอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา เนื่องจาก iOS 15, iPadOS 15 ตอนนี้ยังเป็น Developer Beta เวอร์ชันทดสอบสำหรับนักพัฒนาเท่านั้น โดยเวอร์ชันเต็มอย่างเป็นทางการจะถูกเปิดตัวให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถอัปเดตได้ภายในปลายปีนี้

Beta 3 คือซอฟต์แวร์ที่จะทำงานบน iPhone และ iPad หลายล้านเครื่องของ Apple ซึ่งในขั้นตอนการติดตั้งนั้นจะใช้เวลาไม่นานบนหน้าจอ iPhone ของคุณ แต่ก่อนที่คุณจะทำการติดตั้ง iOS 15 Beta 3 ยังมีสิ่งสำคัญบางอย่างที่คุณควรทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมี iPhone หรือ iPad “เพียงเครื่องเดียว” โดยบทความนี้จะพูดถึงสิ่งที่ผู้ใช้ iPhone ควรรู้ก่อนทำการติดตั้ง iOS 15 Beta 3 ซึ่งจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น มาติดตามกันเลยค่ะ

คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ iPhone ที่กำลังจะทำการติดตั้ง iOS 15 Beta 3

iPhone

จากรายงานข่าว Apple Report ของ CNET ที่มักนำเสนอข่าวสาร บทวิจารณ์ และคำแนะนำเกี่ยวกับ iPhone, iPads, Mac และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ทำให้เราเห็นได้ว่า iOS 15 Beta 3 ยังมีสิ่งสำคัญบางอย่างที่ผู้ใช้งานควรทราบก่อนทำการติดตั้งไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังการติดตั้ง iOS 15 Beta 3 เช่น เวอร์ชัน beta 3 อาจจะยังมีบั๊กในการใช้งาน หากติดตั้งเป็น iOS 15 beta ยังสามารถอัปเกรดมาเป็น iOS 14 เวอร์ชันล่าสุดในขณะนั้นได้ แต่ไม่สามารถนำข้อมูลสำรองจาก iOS 15 beta มาใช้กับ iOS 14 ได้เนื่องจาก iOS 15 เป็นเวอร์ชันที่สูงกว่า และก่อนจะติดตั้ง beta ทุกครั้งผู้ใช้งานควรทำการสำรองข้อมูลไว้เสียก่อน เพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังการติดตั้ง iOS 15 Beta 3

จากข้อมูลข้างต้นทำให้เราทราบว่า iOS 15 Beta 3 เป็นเวอร์ชันทดสอบสำหรับนักพัฒนา ซึ่งหากคุณต้องการที่จะติดตั้ง iOS 15 บน iPhone, iPads และ Mac ของคุณ คุณควรทราบก่อนว่าอาจมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นหลังการติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการบั๊กที่เคยเกิดขึ้นกับ iOS 14.7 ที่ทำให้ iPhone บางเครื่องไม่รู้จักซิมการ์ดในโทรศัพท์ ซึ่งข้อบกพร่องและปัญหาลักษณะเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นใน iOS 15 และ iPadOS 15 ด้วยเช่นกัน อีกทั้งแอปบางตัวอาจจะยังไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากเวอร์ชันนี้ยังเป็นเวอร์ชันทดสอบ ดังนั้นคุณควรรอจนกว่าจะถึงวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการก่อนแล้วจึงทำการติดตั้งจะดีที่สุด นอกจากนี้ในด้านประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ หลายคนคงทราบกันดีว่า Apple มักจะพัฒนาคุณสมบัติ และบริการของซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมกับประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ โดยปกติแล้วนักพัฒนาซอฟต์แวร์จะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เพื่อหาข้อบกพร่อง และแก้ไขปัญหานั้น ๆ นั่นจึงทำให้คุณสังเกตเห็นว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่จะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังการใช้งานมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
สอนใช้

วิธีการปิดตำแหน่งและประวัติข้อมูลของคุณบนแอป Google ที่คุณควรทำเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของคุณ

Google

คุณรู้หรือไม่เมื่อใดที่คุณใช้แอป Google ตำแหน่งและประวัติข้อมูลของคุณอาจจะถูกจัดเก็บไว้ในแอป ซึ่งจากการสำรวจของปี 2018 โดยสำนักข่าว Associated Press กล่าวไว้ว่า เพียงแค่เปิดแอป Google Maps หรือใช้ Google บนแพลตฟอร์มใด ๆ สำหรับการค้นหา ระบบจะทำการบันทึกตำแหน่งของคุณและระบุเวลาด้วย อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ Google ได้ทำให้การควบคุมตำแหน่งและข้อมูลอื่น ๆ ของคุณ เพื่อประโยชน์ในการใช้งานให้ง่ายขึ้น เช่น ข้อมูลของคุณใน Maps และ Search จะช่วยให้คุณเข้าถึงตำแหน่งของคุณได้อย่างรวดเร็ว คุณเพียงแค่ต้องรู้ว่าต้องการไปที่ไหน แต่สำหรับบางคนก็อาจจะไม่ต้องการใช้คุณสมบัตินี้ เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัว ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณไปดูวิธีการปิดตำแหน่งและประวัติข้อมูลของคุณบนแอป Google เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของคุณเอง

วิธีปิดการติดตามตำแหน่งของ Google เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของคุณ

สำหรับวิธีปิดการติดตามตำแหน่งของ Google จะลบเฉพาะสถานที่ที่คุณเคยไปจากไทม์ไลน์ของแผนที่ Google ซึ่งมันจะบันทึกตำแหน่งของคุณด้วยข้อมูลบางอย่างในเวลาที่กำหนด จากการที่เราได้ไปตรวจสอบที่หน้าสนับสนุนของ Google ระบุว่า ถึงแม้ว่าในขณะที่ปิดข้อมูลตำแหน่งแล้วก็จะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจถูกบันทึกไว้ในการตั้งค่าอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบนเว็บและกิจกรรมบนแอป Google ของคุณ แต่อย่างไรก็ตาม Google บอกว่าการใช้ข้อมูลนี้เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ในการใช้งานมากขึ้น และข้อมูลนี้จะไม่ถูกเปิดเผยกับบุคคลที่สามหรือผู้โฆษณา แต่หากต้องการปิดความสามารถในการบันทึกตำแหน่งของคุณจาก Google ให้ดำเนินการดังนี้

  1. เปิด Google.com บนเดสก์ท็อปหรือเบราว์เซอร์บนมือถือของคุณ
  2. แตะที่มุมด้านบนขวา ให้ลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google หากคุณยังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้
  3. เลือกจัดการบัญชี Google ของคุณ
  4. แตะที่ตัวเลือก “ข้อมูลและการปรับเปลี่ยนในแบบของคุณ”
  5. เลื่อนลงไปที่ “ส่วนควบคุมกิจกรรม” แล้วแตะ “จัดการควบคุมกิจกรรม”
  6. คุณจะเห็นช่องที่เรียกว่า “กิจกรรมบนเว็บและแอป” จากนั้นให้คุณเลื่อนเปลี่ยนสลับไปปิด
  7. หน้าจอจะมีปรากฎป๊อบอัพแสดงข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจสิ่งที่กำลังปิดการใช้งาน เมื่อคุณเข้าใจแล้วให้ให้เลือก “หยุดชั่วคราว”
Google

การปิดการตั้งค่านี้จะป้องกันไม่ให้ Google จัดเก็บเครื่องหมายระบุตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเฉพาะและหยุดการจัดเก็บข้อมูลที่รวบรวมจากการค้นหาหรือกิจกรรมอื่น ๆ ของคุณ การปิดจะทำให้ตำแหน่งของคุณและสถานที่อื่น ๆ ที่คุณไป เช่น ที่อยู่บ้านของคุณ เป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณควรทราบว่าในการใช้คุณลักษณะบางอย่างของแอป Google เช่น แอป Maps Google ยังคงจำเป็นต้องเข้าถึงตำแหน่งของคุณ ซึ่งการทำตามขั้นตอนด้านบนนี้จะทำให้ไม่สามารถจัดเก็บข้อมูลกิจกรรมใด ๆ ในอนาคตของคุณได้ เราจะเห็นได้ว่าการปิดการติดตามตำแหน่งและประวัติข้อมูลของคุณบน Google มีทั้งข้อดีและข้อเสียบางประการที่คุณควรทราบก่อนตัดสินใจตั้งค่าปิดการติดตามตำแหน่งและประวัติข้อมูลของ Google

ข้อดีและข้อเสียของการปิดการติดตามของ Google 

Google

การตั้งค่าปิดการติดตามตำแหน่งและประวัติข้อมูลของ Google มีทั้งข้อดีและข้อเสียบางประการแม้ว่าการตั้งค่าของ Google อาจจะดูล่วงเกินความเป็นส่วนตัวสำหรับบางคน แต่มันก็ช่วยสร้างประสบการณ์ออนไลน์ที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลเป็นพิเศษ เช่น การช่วยให้ผู้คนพบธุรกิจในบริเวณใกล้เคียง หรือการดูโฆษณาที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งหมายความว่าการปิดการติดตามจะทำให้คุณจะเห็นโฆษณาที่เกี่ยวข้องน้อยลง คำแนะนำการค้นหาที่เป็นประโยชน์น้อยลง และการได้รับประสบการณ์โดยรวมที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลน้อยลง แต่การปิดการติดตามจะป้องกันไม่ให้ Google คาดเดาสิ่งที่คุณอาจสนใจได้ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากกว่าทุกสิ่ง

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
สอนใช้

ฟีเจอร์ใหม่ที่ซ่อนอยู่ใน iOS 15 บน iPhone ที่คุณไม่ควรพลาด

iOS 15

มีรายงานออกมาว่าภายในปลายปีนี้ iPhone และ iPad จะได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ในรูปแบบของ iOS 15 และ iPadOS 15 ตามลำดับ ซึ่งครั้งนี้เป็นการปรับปรุงกระบวนการทำงานและการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติใหม่ ๆ อีกมากมาย เช่น เครื่องมือความเป็นส่วนตัวที่ดีขึ้น และในตอนนี้ผู้ใช้งาน iPhone และ iPad หรือใช้งานทั้ง 2 อุปกรณ์ร่วมกันสามารถลงทะเบียนสำหรับรุ่นเบต้าสาธารณะได้ หากคุณต้องการที่จะใช้งานคุณสมบัติใหม่ ๆ ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่เพียงแค่ต้องทราบก่อนว่าเหตุผลที่เรียกว่ารุ่นเบต้านี้ เพราะยังอยู่ในช่วงการทดสอบสำหรับนักพัฒนาระบบที่กำลังหาข้อบกพร่องและปัญหาที่เกิดขึ้น โดย Apple จะใช้เวลาในการปรับปรุงแก้ไขประมาณ 2-3 เดือน 

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปเราขอแนะนำให้รอใช้งานหลังจาก iOS 15 ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการก่อนดีกว่า (น่าจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน) เนื่องจากมีผู้ใช้งานทดลองใช้ระบบปฏิบัติการใหม่นี้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พบว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ในเรื่องของฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใน iOS 15 และ iPadOS 15 ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้มีอยู่อีกหลายรายการที่น่าสนใจ ซึ่งคุณสามารถติดตามวันเปิดตัว iOS 15 อย่างเป็นทางการ พร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่มีความน่าสนใจได้จากบทความนี้ได้เลยค่ะ

วันเปิดตัว iOS 15 อย่างเป็นทางการสำหรับผู้ใช้งาน iPhone และ iPad

iOS 15

Apple ได้เปิดเผยในการประชุม Worldwide Developers Conference ประจำปีในวันที่ 7 มิถุนายน 2021 โดยระบุไว้ว่า ระบบปฏิบัติการ iOS 15 สำหรับนักพัฒนาทดสอบรุ่นเบต้า สามารถดาวน์โหลดใช้งานเป็นครั้งแรกได้ในวันที่ 30 มิถุนายน ส่วน iOS 15 เวอร์ชันเต็ม Tim Cook CEO ของ Apple ได้กล่าวว่าวันเปิดตัว iOS 15 เวอร์ชันเต็มจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนควบคู่ไปกับการเปิดตัวของ iPhone 13 และอุปกรณ์ที่สามารถรองรับระบบปฏิบัติการ iOS 15 นี้ได้คืออุปกรณ์ที่ในขณะนี้ยังสามารถใช้ iOS 14 ได้อยู่ นั่นคือผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 14 สามารถติดตั้งการอัปเดตไปเป็น iOS 15 ได้หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้

ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 15 ที่กำลังได้รับความน่าสนใจ

iOS 15

ก่อนที่จะเริ่มต้นติดตั้ง iOS 15 เรามาเรียนรู้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ซ่อนอยู่ใน iOS 15 กันก่อนดีกว่าค่ะ แต่ขอบอกก่อนเลยว่าคุณสมบัติใหม่ ๆ ที่เรารวบรวมมาไว้ในบทความนี้เป็นแค่ฟีเจอร์ใหม่บางส่วนที่น่าสนใจเท่านั้น ดังนี้

  • สามารถใช้กล้อง iPhone สแกนป้าย หรือข้อความบนกระดาษได้ : เพียงแค่กดนิ้วค้างไว้เหมือนตอนจะคัดลอกข้อความ จากนั้นคุณจะเห็นไอคอนเครื่องสแกนให้แตะปุ่มสแกน แล้วเล็งกล้องไปที่สิ่งที่คุณต้องการสแกน จากนั้นทำตามคำแนะนำบนหน้าจอ ตัวอย่างเช่น หากคุณขยับกล้องเร็วเกินไป คุณจะเห็นข้อความ “ช้าลง” เมื่อได้ผลลัพธ์ที่คุณพอใจแล้วให้แตะปุ่มแทรก เพียงเท่านี้หน้าจอ iPhone ของคุณก็จะปรากฏข้อความที่อยู่บนกระดาษได้อย่างรวดเร็ว
  • ได้รับการแจ้งเตือนสภาพอากาศแบบเรียลไทม์จากแอปพยากรณ์อากาศของ iPhone : คุณสามารถเปิดการแจ้งเตือนสภาพอากาศ โดยการเปิดแอปสภาพอากาศ จากนั้นแตะไอคอนที่เป็นขีดสามบรรทัดที่มุมล่างขวาของหน้าจอ ถัดไปแตะที่ไอคอนวงกลมที่มีจุดสามจุดที่มุมบนขวาของหน้าจอ แล้วเลื่อนสวิตช์เปิดการติดตามตำแหน่งของฉัน จากนั้นแตะไปที่ปุ่มเสร็จสิ้น เพียงเท่านี้คุณก็จะได้รับการแจ้งเตือนสภาพอากาศแบบเรียลไทม์แล้วค่ะ
  • iPhone สามารถลากและวางเอกสาร ข้อความ หรือรูปภาพระหว่างแอปได้เหมือนกับ iPad 
  • สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปภาพทั้งหมดบน iPhone ได้ : เมื่อคุณเปิดกำลังดูรูปภาพในแอปรูปภาพ คุณสามารถปัดขึ้นเพื่อเปิดมุมมองข้อมูลซึ่งจะปรากฎรายละเอียดว่าคุณบันทึกรูปภาพจากที่ใด รวมถึงข้อมูล EXIF ทั้งหมด เช่น ความเร็วชัตเตอร์ ตำแหน่ง กล้องที่ใช้และอื่น ๆ
  • มีการปรับเปลี่ยนขนาดของข้อความสำหรับบางแอป : ใน iOS 15 มีเครื่องมือใหม่ที่ให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนขนาดของแบบตัวอักษรได้ทีละแอป นั่นหมายความว่าคุณสามารถเลือกแบบตัวอักษรขนาดแตกต่างกันได้ โดยการไปที่แอปการตั้งค่าจากนั้นไปที่ศูนย์ควบคุมแล้วเลื่อนลงมาจนกว่าคุณจะพบตัวเลือกที่ระบุว่าขนาดข้อความโดยแตะที่เครื่องหมาย + สีเขียว จากนั้นเมื่อคุณอยู่ในแอปที่ต้องการปรับขนาดของข้อความ ให้เปิดศูนย์ควบคุมแล้วแตะที่ปุ่มText Size เลื่อนปุ่มที่ด้านล่างของหน้าจอไปทางด้านซ้ายของตัวสลับเพื่อระบุว่าคุณต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงกับแอปที่กำลังใช้อยู่เท่านั้น จากนั้นปรับขนาดแบบอักษรขึ้นหรือลง

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Suwanna Preebunpul
Categories
สอนใช้

เพิ่มความเร็ว iPhone ของคุณให้ทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น และเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลด้วยการล้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วน “อื่น ๆ”

เพิ่มความเร็ว iPhone

หลายคนคงจะเคยรู้สึกรำคาญเมื่อ iPhone ของคุณทำงานช้าใช่ไหมค่ะ? ซึ่งปัญหาพื้นที่จัดเก็บบน iPhone ไม่เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ iPhone ของคุณประมวลผลช้า หลายคนคิดว่าทางแก้ไขปัญหานี้คือการไปซื้อเครื่องใหม่ แต่ความจริงแล้วมีเทคนิคที่เรียนรู้ง่าย ๆ มากมายที่อาจช่วยเพิ่มความเร็ว iPhone ของคุณให้ทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้นบทความนี้จึงพูดถึงอีกหนึ่งวิธีเพิ่มความเร็ว iPhone ด้วยวิธีการล้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วน “อื่น ๆ” เพื่อช่วยให้โทรศัพท์ iPhone ของคุณทำงานได้อย่างราบรื่น พร้อมทั้งช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบน iPhone ของคุณอีกด้วย

การเพิ่มความเร็ว iPhone ด้วยวิธีการล้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วน “อื่น ๆ”

ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้วิธีการเพิ่มความเร็ว iPhone ของคุณให้ทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น เรามาทำความรู้จักกับพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนอื่น ๆ กันก่อนดีกว่าค่ะ ซึ่งพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนนี้เป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลของ iPhone เช่น ไฟล์ระบบและเสียง Siri แต่สาเหตุหลักที่ทำให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วน “อื่น ๆ” น้อยลงเกิดจากแคช ซึ่งแคชจะเก็บรวบรวมข้อมูลการท่องเว็บ สตรีมวิดีโอหรือภาพยนตร์ และเมื่อคุณส่งข้อความพร้อมรูปภาพหรือวิดีโอในแอปอย่าง Google Maps และ Chrome ข้อมูลแคชอาจจะกินพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วน “อื่น ๆ” ที่มีอยู่ในอุปกรณ์ของคุณ

สำหรับการตรวจสอบพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบน iPhone ของคุณ คุณสามารถดำเนินการได้โดยการไปที่การตั้งค่า > ทั่วไป > พื้นที่การจัดเก็บข้อมุลของ iPhone หลังจากนั้นรอคำนวณสักครู่หนึ่ง คุณจะเห็นกราฟแท่งสีของแต่ละส่วนที่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูล iPhone ของคุณ ซึ่งเรามักจะเรียกส่วนที่เป็นสีเทาด้านขวาสุดของกราฟว่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วน “อื่น ๆ” 

เพิ่มความเร็ว iPhone

วิธีการล้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วน “อื่น ๆ” เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูล

จากข้อมูลข้างต้น หลายคนคงทราบกับแล้วว่าปัญหาพื้นที่จัดเก็บบน iPhone ไม่เพียงพออาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ iPhone ของคุณประมวลผลช้า ดังนั้นเราสามารถเพิ่มความเร็ว iPhone ได้ด้วยวิธีการล้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูล iPhone แต่การรีเซ็ต iPhone อาจเป็นทางเลือกที่คุณไม่ต้องการในตอนนี้ ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีทำให้ไอโฟนเร็วขึ้นที่ควรลองใช้และคาดว่าจะได้ผล ดังนี้

  • ลบหรือออฟโหลดแอปบน iPhone : การออฟโหลดแอปเป็นการลบแอปออกจากอุปกรณ์ของคุณ แต่ข้อมูลทั้งหมดจะยังคงอยู่ หากคุณต้องการติดตั้งแอปใหม่และใช้งานอีกครั้งข้อมูลก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะแอปอย่าง Google Maps ซึ่งใช้พื้นที่มากแต่ไม่ได้เก็บข้อมูลมาก สำหรับการ offload แอปให้ไปที่การตั้งค่า > ทั่วไป > แตะบน app ที่คุณต้องการที่จะ Offload App แล้วแตะที่เอาแอพที่ไม่ได้ใช้ออก
  • ล้างแคช Safari และปิดแท็บ : หากคุณใช้ Safari บ่อยๆ iPhone ของคุณอาจจัดเก็บประวัติเว็บและข้อมูลที่คุณไม่ต้องการไว้บนพื้นที่จัดเก็บข้อมูล iPhone ถ้าต้องการล้างแคชเบราว์เซอร์ของ Safari ให้ไปที่การตั้งค่า > Safari > ล้างประวัติและข้อมูลเว็บไซต์ สำหรับการปิดแท็บให้เปิดไปที่การตั้งค่า > Safari > ปิดแท็บ คุณสามารถปิดแท็บต่างๆ ด้วยตนเอง หรือปล่อยให้ Safari ปิดแท็บที่ไม่ได้เปิดดูเป็นเวลาหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือนได้

หยุดเก็บข้อความที่ไม่จำเป็น : การเก็บข้อความทั้งทั้งหมดที่ไม่ว่าคุณส่งหรือรับอาจทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลลงลด หากคุณต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลคืนให้หยุดการจัดเก็บข้อความ และถ้าหากต้องการลบข้อความเก่าทั้งหมดให้ไปที่ การตั้งค่า > ข้อความ เลื่อนลงจนกว่าคุณจะพบเมนูประวัติข้อความจากนั้นแตะที่เก็บข้อความ เปลี่ยนจากตลอดกาลเป็น30 วันหรือ1 ปี ตามที่คุณต้องการ จากนั้นหน้าจอจะป๊อปอัพถามคุณว่าต้องการลบข้อความเก่าหรือไม่ แล้วแตะลบเพื่อดำเนินการต่อ

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
News

ข่าวลือ iPhone 13 อาจมีความจุแบตเตอรี่ที่มากขึ้น และอาจจะไม่มีพอร์ต Lightning

iPhone 13

ช่วงนี้มีข่าวลือออกมาหนาหูเกี่ยวกับคุณสมบัติและวันประกาศเปิดตัวของ iPhone 13 ซึ่งล่าสุดมีข่าวลือเกี่ยวกับความจุแบตเตอรี่ของ iPhone 13 และมีการคาดการณ์ว่าอาจจะไม่มีพอร์ต Lightning โดยการรายงานข่าวของ Mark Gurman นักข่าวและนักวิเคราะห์จาก Bloomberg กล่าวว่าiPhone 13 จะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่าที่เคยมีมาสามารถใช้จ่ายไฟให้กับจอแสดงผลของ iPhone ด้วยอัตราการรีเฟรช 120Hz และโหมดเปิดตลอดเวลา อีกทั้งก่อนหน้านี้ Leaker Max Weinbach คาดการณ์ว่า iPhone 13 จะมีคุณสมบัตินี้เช่นเดียวกัน 

นอกจากนี้เรายังได้ยินข่าวลืออีกว่า iPhone 13 จะมีทั้งหมด 4 รุ่น เช่นเดียวกับ iPhone 12 แต่คาดว่าจะมีแค่ 2 รุ่นเท่านั้นที่จะไม่มีพอร์ต Lightning นั่นคือ 13 Pro และ 13 Pro Max ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมข่าวลือเกี่ยวกับคุณสมบัติแบตเตอรี่ของ iPhone 13 ไว้ในบทความนี้ รวมถึงการคาดเดาเกี่ยวกับวันวางจำหน่ายของ iPhone 13 ที่คาดว่าจะประกาศเปิดตัวในช่วงกลางเดือนกันยายนปีนี้ 

ความจุแบตเตอรี่ iPhone 13 จะมากขึ้น และมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานจริงหรือไม่

iPhone 13

เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนมีข่าวลือเกี่ยวกับ iPhone 13 จาก Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน ที่ชี้ให้เราเห็นว่า iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น ได้แก่ Phone 13, iPhone 13 mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า iPhone 12 รุ่นต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการแชร์บน Twitter โดย Leaker @L0vetodream ที่อ้างว่า iPhone 13 Mini จะมีแบตเตอรี่สูงสุด 2,406 mAh, iPhone 13 และ iPhone 13 Pro จะมีแบตเตอรี่สูงสุด 3,095 mAh และ iPhone 13 Pro Max จะมีแบตเตอรี่สูงสุด 4,325 mAh ซึ่งขนาดแบตเตอรี่ทั้งหมดเหล่านี้เป็นการอัปเกรดตามความจุของ iPhone 12 (แม้ว่า Apple ยังไม่ได้เปิดเผยถึงข้อกำหนดแบตเตอรี่อย่างเป็นทางการ) 

อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานแบตเตอรี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่การเพิ่มขนาดแบตเตอรี่ของ iPhone 13 อาจจะไม่มีผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น เนื่องจากอายุการใช้งานแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับการอัพเกรดอื่น ๆ ของโทรศัพท์ และซอฟต์แวร์ของโทรศัพท์นั้นปรับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีเพียงใด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโทรศัพท์ระดับพรีเมียมของยี่ห้ออื่นแล้ว แบตเตอรี่ของ Apple นั้นยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Galaxy S21 ของ Samsung ที่มีตั้งแต่ 4,000 ถึง 5,000 mAh

นอกจากนี้เราคาดว่าการชาร์จแบตเตอรี่ของ iPhone 13 อาจมีเทคนิคใหม่อย่างการชาร์จแบบไร้สายได้เร็วขึ้น ซึ่งดุมีอย่างเป็นไปได้สูงเมื่อย้อนกลับไปตามดูวิดีโอจาก EverythingApplePro บน YouTube จะเห็นได้ว่าการชาร์จแบบไร้สายเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้คุณชาร์จอุปกรณ์ Qi อื่น ๆ ที่ด้านหลังโทรศัพท์ได้ leaker max weinbach คาดการณ์ว่า iPhone 13 ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีคุณสมบัตินี้เนื่องจากมีขดลวดชาร์จไร้สายที่ใหญ่กว่าและชุดแม่เหล็กที่แข็งแรงกว่าอยู่ที่ด้านหลังของโทรศัพท์ 

iPhone 2021 อาจจะไม่มีพอร์ต Lightning

iPhone 13

จากข้อมูลข้างต้นเราจะเห็นว่า iPhone 13 จะมีเทคนิคใหม่การชาร์จแบตเตอรี่ใหม่อย่างการชาร์จแบตแบบไร้สายที่เร็วขึ้น มีการคาดการณ์ว่า Apple วางแผนที่จะเปิดตัว iPhone ระดับไฮเอนด์ที่ไม่มีตัวเชื่อมต่อ Lightning ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ตามการคาดการณ์ใหม่จากนักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo เขากล่าวว่า iPhone ระดับไฮเอนด์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021จะนำเสนอ “ประสบการณ์ชาร์จไร้สายอย่างสมบูรณ์” โดยบอกว่า Apple ไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ USB-C แต่จะทิ้งพอร์ต Lightning ทั้งหมด “Apple จะสร้างความแตกต่างระหว่างรุ่นระดับทั่วไปและรุ่นระดับไฮเอนด์ ในบรรดา iPhone รุ่นใหม่ครึ่งปีหลัง เราคาดว่ารุ่นระดับไฮเอนด์ (13 Pro และ 13 Pro Max) จะยกเลิกพอร์ต Lighting และจะมอบประสบการณ์การใช้งานแบบไร้สายอย่างสมบูรณ์”

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
News

ข่าวลือเกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 12 กับ iPhone 13 ที่คุณไม่ควรพลาด

iPhone 12 กับ iPhone 13

ปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า iPhone 13 จะเปรียบเทียบกับ iPhone 12 ได้อย่างไร แต่ก็ยังมีข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 12 กับ iPhone 13 ออกมาเรื่อย ๆ โดยทาง Apple มักประกาศเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดในทุกช่วงปลายปี และบางครั้งการอัปเกรดเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้เกิดแรงดึงดูดจากผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามความน่าสนใจทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับแผนการของ Apple และคุณสมบัติของโทรศัพท์รุ่นใหม่ ซึ่งหลังจากการวางจำหน่าย iPhone 12 ก็มักมีข่าวลือเกี่ยวกับ iPhone 13 หรือการเปรียบเทียบสเปกของมันกับ iPhone 12 มากขึ้นเรื่อย ๆ 

หลายคนอาจรู้สึกเหมือนว่า iPhone 12 เพิ่งวางจำหน่าย แต่ตอนนี้เราใกล้เข้าถึงงานวันประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์จาก Apple แล้ว และแน่นอนว่านั่นจะเป็นวันเปิดตัว iPhone 13 ด้วยเช่นกัน โดยเราคาดการณ์ว่างานจะถูกจัดขึ้นภายในเดือนกันยายน ซึ่งบทความนี้เราได้รวบรวมรายละเอียดการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 12 กับ iPhone 13 ไม่ว่าจะเป็นทั้งราคา, กล้อง, ขนาดจอแสดงผลและความละเอียด พร้อมกับรุ่น iPhone 13 ทั้งหมด 4 รุ่นที่อาจจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ 

การเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 12 กับ iPhone 13

มีข่าวลือออกมามากมายเกี่ยวกับสเปกของ iPhone 13 เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 12 ซึ่งข่าวลือเหล่านั้นยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางบริษัท Apple ดังนั้นข้อมูลการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 13 กับ iPhone 12 ที่เราได้รวบรวมมาต่อไปนี้เป็นเพียงข่าวลือจากนักวิเคราะห์หลาย ๆ คนเท่านั้น เพื่อช่วยให้คุณสามารถวางแผนการตัดสินใจซื้อ iPhone 13 ในอนาคตได้ 

ขนาดโทรศัพท์และกล้องที่แตกต่างกัน : iPhone 13 และ 13 Pro จะเป็นรุ่นที่มีขนาดกล้องที่หนากว่า iPhone 12 โดยคาดว่าจะหนา 7.57 มม. เพิ่มขึ้นจาก 7.4 มม. ในรุ่น iPhone 12 ซึ่งขนาดที่เพิ่มขึ้นจะป้องกันไม่ให้เลนส์ยื่นออกมามากเท่ากับในโทรศัพท์รุ่นก่อนหน้านี้

  • iPhone 13 iPhone 13 จะมีราคาใกล้เคียงกับ iPhone 12 : เนื่องจาก iPhone 12 เป็นรุ่นแรกที่รองรับ 5G นักวิเคราะห์จึงคาดการณ์ว่าการอัพเกรดทางเทคนิคของ iPhone 13 อาจไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่สักเท่าไร ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกของ iPhone 12 เริ่มต้นที่ 29,900 บาท อาจเป็นไปได้ว่า Apple อาจลดราคาของ iPhone 13 
iPhone 12 กับ iPhone 13
  • มีการปรับปรุงอัตราการรีเฟรช : โทรศัพท์ส่วนใหญ่ (รวมถึง iPhone 12) จะรีเฟรชที่ 60 เฟรมต่อวินาทีหรือ 60Hz แต่บางรุ่น เช่น Galaxy S21และ OnePlus 8 Pro จะรีเฟรชที่ 120Hz มีการคาดการณ์ว่าจอแสดงผลของ iPhone 13 จะมีอัตราการรีเฟรช 120Hz (และจอแสดงผล OLED ที่เปิดใช้งานตลอดเวลา) จะเห็นได้ว่ามีอัตราการรีเฟรชที่สูงขึ้น ทำให้โทรศัพท์ประมวลได้เร็วขึ้นและราบรื่นขึ้น 
  • ได้รับการปรับปรุงกล้องใหม่ : มีหลายคนคาดหวังว่ากล้องของ iPhone 13 จะได้รับการอัปเกรดให้เหนือกว่ากล้องของ iPhone 12 และมีข่าวลือเกี่ยวกับการเพิ่มกล้องปริทรรศน์ เพื่อปรับปรุงการซูมเลนส์มุมกว้างพิเศษสำหรับการถ่ายภาพในโหมดกลางคืน และใช้เทคโนโลยี Lidar ในทุกรุ่นแทนที่จะเป็นเพียงรุ่น Pro และ Pro Max เช่นเดียวกับ iPhone 12
  • การกลับมาของ Touch ID : คาดว่า iPhone 13 จะสามารถนำ Touch ID กลับมาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ iPhone 8 ซึ่งมันอาจจะถูกฝังอยู่ใต้หน้าจอ แทนที่จะเป็นปุ่มแยกที่กินพื้นที่โทรศัพท์ ในอดีตมีบางคนคาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับ iPhone 12 แต่ในความเป็นจริง iPhone 12 ไม่มีปุ่ม Touch ID แต่อาจถูกผลักดันไปสู่รุ่นถัดไปนั่นคือ iPhone 13 
  • พอร์ต Lightning แต่ไม่มีช่องเสียบหูฟัง : เราจะเห็นว่า iPhone 12 ไม่มีช่องเสียบหูฟัง ดังนั้น iPhone 13 อาจจะไม่มีช่องเสียบหูฟังด้วยเช่นกัน แต่คาดว่า iPhone 13 รุ่นต่าง ๆ จะยังคงมีพอร์ต Lightning อยู่ยกเว้น iPhone 13 Pro Max ซึ่งอาจไม่มีพอร์ต แต่ในทางตรงกันข้าม iPhone 12 มีพอร์ต Lightning ในทุกรุ่น
  • iPhone 13 จะมีทั้งหมด 4 รุ่น

    iPhone 12 กับ iPhone 13

    ตามรายงานของนักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ได้ระบุไว้ว่า iPhone 13‌ จะมีทั้งหมด 4 รุ่นเช่นเดียวกับ iPhone 12 ถึงแม้ว่า Apple อาจจะยุติการผลิตของ iPhone 12 mini แต่ Kuo ยังคงมั่นใจว่า iPhone 13 Series จะประกอบไปด้วย iPhone 13 mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro, iPhone 13 Pro Max อีกทั้งเขาเชื่อว่าการจัดส่งสำหรับ iPhone 13‌ จะเพิ่มขึ้นทุกปีและมีแนวโน้มเชิงบวกสำหรับห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    Suwanna Preebunpul

    Suwanna Preebunpul

    สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

    Contact >> Instagram, Facebook, Line

    สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

    HILO-88.COM
    HILO-88.COM