สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
สอนใช้

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ Samsung Galaxy S21 หน้าจอค้าง ให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

ในปีนี้ Samsung ประกาศเปิดตัวโทรศัพท์ Android รุ่นล่าสุดที่ดีที่สุดอย่าง Samsung Galaxy S21 series ซึ่งในซีรีส์นี้ประกอบด้วย Galaxy S21, Galaxy S21+ และ Galaxy S21 Ultra เป็นโทรศัพท์เรือธงจาก Samsung ที่มาพร้อมกับการอัปเดต Android ครั้งใหญ่เวอร์ชันเสถียรล่าสุดจาก Google เช่น Android 11 ส่วนระบบซอฟต์แวร์หลัก ๆ จะใช้ One UI ของ Samsung ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อบกพร่องและปัญหาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่า Samsung จะพยายามทำงานอย่างหนักเพื่ออัปเดตซอฟต์แวร์นี้ให้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด แต่ก็ยังมีปัญหาบางอย่างกับอุปกรณ์ Galaxy S21 Series โดยมีรายงานจากผู้ใช้งานที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับ UI และหน้าจอของ Galaxy S21 ค้าง ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องจัดการกับปัญหานี้อย่างไร? แต่โชคดีมากที่นี่ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง และคุณสามารถแก้ไขปัญหาหน้าจอค้างได้ด้วยเคล็ดลับดี ๆ ในบทความนี้

วิธีแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ Samsung Galaxy S21 หน้าจอค้างขณะใช้งาน

Samsung Galaxy S21

ปัญหาหน้าจอค้างเป็นปัญหาที่พบโดยทั่วไปกับผู้ใช้งานโทรศัพท์ทั้งระบบ Android และ iOS ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์ Galaxy S21 ของ Samsung ที่มีผู้ใช้งานบางส่วนกำลังประสบปัญหา หน้าจอค้าง ขณะใช้งาน ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยเคล็ดลับดี ๆ ที่เราได้รวบรวมไว้ในบทความนี้ โดยมีทั้งหมดดังนี้

  1. รีสตาร์ทโทรศัพท์ของคุณ : นี่คือสิ่งแรกที่คุณหากโทรศัพท์ของคุณค้าง ซึ่งการรีสตาร์ทจะช่วยรีเฟรชหน่วยความจำของโทรศัพท์และโหลดบริการทั้งหมดซ้ำ โดยทำตอนขั้นตอนดังนี้
  • กดปุ่มด้านข้างและปุ่มลดระดับเสียงค้างไว้จนกว่าหน้าจอจะปรากฏเมนู Power 
  • เมื่อเมนู Power ปรากฏบนหน้าจอ ให้แตะปุ่ม “ปิดเครื่อง” หรือ “รีสตาร์ท”
  1. ลองเปิดการใช้งาน Safe Mode : บางครั้งแอปในโทรศัพท์ของคุณอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้โทรศัพท์ค้างได้ เราแนะนำให้ลองเปิดการใช้งาน Safe Mode โดยทำตอนขั้นตอนดังนี้
  • กดปุ่มเปิด/ปิดค้างไว้จนกว่าคุณจะเห็น ไอคอนปิดเครื่อง
  • กดที่ไอคอนปิดเครื่องค้างไว้จนกว่าคุณจะเห็น ไอคอนเซฟโหมด
  • แตะที่ ไอคอนเซฟโหมดเพื่อรีบูทโทรศัพท์ของคุณในเซฟโหมด
  1. ลบแอปที่มีปัญหา : การลบแอปที่มีปัญหาอาจช่วยแก้ปัญหาโทรศัพท์ค้างได้ หากต้องการถอนการติดตั้งแอปที่มีปัญหา ให้ทำตอนขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • เลื่อนลงแล้วแตะที่แอปที่ต้องการลบ
  • ค้นหาและแตะที่แอปที่มีปัญหา
  • แตะที่ “ที่เก็บข้อมูล”
  • แตะที่ “ล้างแคช”
  • แตะ “ล้างข้อมูล” แล้วแตะ “ตกลง” เพื่อยืนยัน
  • แตะปุ่ม “ย้อนกลับ” หนึ่งครั้งแล้วแตะปุ่ม “ถอนการติดตั้ง”
  • แตะปุ่ม “ตกลง” เพื่อยืนยันว่าคุณต้องการลบแอปนี้ออกจากโทรศัพท์ของคุณ
  1. รีเซ็ตการตั้งค่า : วิธีนี้จะทำให้การตั้งค่าอุปกรณ์ของคุณและการตั้งค่าของแอปทั้งหมดเปลี่ยนเป็นการตั้งค่าดั้งเดิม ซึ่งวิธีนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาด้านซอฟต์แวร์ที่อาจทำให้โทรศัพท์ของคุณค้างได้ โดยทำตอนขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “การจัดการทั่วไป”
  • แตะที่ “รีเซ็ต”
  • แตะที่ “รีเซ็ตการตั้งค่าทั้งหมด”
  • แตะที่ปุ่ม “รีเซ็ตการตั้งค่า” 
  • พิมพ์รหัสผ่านหากได้รับการแจ้ง
  • แตะที่ “รีเซ็ต” เพื่อยืนยันการรีเซ็ต
  1. อัปเดตซอฟต์แวร์ : หากคุณพบว่าข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์ทำให้เกิดปัญหาโทรศัพท์ค้าง การอัปเดตซอฟต์แวร์อาจช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยทำตอนขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “อัปเดตซอฟต์แวร์”
  • จากนั้นแตะที่ “ดาวน์โหลดและติดตั้ง” เพื่อดาวน์โหลดและติดตั้งการอัปเดตซอฟต์แวร์
  1. รีเซ็ตโทรศัพท์ของคุณ : หากวิธีแก้ไขปัญหาก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้มเหลว แสดงว่าคุณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรีเซ็ตโทรศัพท์ของคุณ ซึ่งการรีเซ็ตอุปกรณ์จะสามารถแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ได้ แต่คุณควรทราบว่าวิธีนี้คุณควรทำการสำรองข้อมูลที่สำคัญและข้อมูลติดต่อทั้งหมดของคุณ เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบออกหลังจากการรีเซ็ต หากคุณต้องการรีเซ็ตโทรศัพท์ของคุณ ให้ทำตอนขั้นตอนดังนี้
  • ปิดโทรศัพท์ของคุณ
  • เชื่อมต่อโทรศัพท์ของคุณกับคอมพิวเตอร์ผ่าน USB
  • รอจนกว่าหน้าจอโทรศัพท์จะแสดงว่ากำลังชาร์จอยู่
  • เมื่อหน้าจอปิดให้กดปุ่ม Volume Up
  • ปล่อยปุ่มที่กดค้างไว้ เมื่อโลโก้ SAMSUNG ปรากฏขึ้น จากนั้นเมนูโหมดการกู้คืนจะปรากฏขึ้นหลังจากนั้นสักครู่
  • กดปุ่มลดระดับเสียงไปที่ตัวเลือก Wipe data/factory reset แล้วกด ปุ่มเปิด/ปิด เพื่อเลือก
  • จากนั้นเลือก Factory data reset เพื่อยืนยันการรีเซ็ตโทรศัพท์ของคุณ
  • ต่อมาให้ใช้ Reboot system now เพื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์ของคุณ

บทสรุป

Samsung Galaxy S21

เราหวังว่าเคล็ดลับการแก้ไขปัญหาโทรศัพท์หน้าจอค้างขณะใช้งานจะมีประโยชน์ต่อการใช้งานโทรศัพท์ Galaxy S21, S21+ และ S21 Ultra ของคุณ แต่หากวิธีแก้ไขปัญหาข้างต้นไม่สามารถจัดการกับปัญหาโทรศัพท์ค้าง หรือแก้ไขปัญหาได้แล้ว แต่สักพักก็กลับมาค้างอีกครั้งเหมือนเดิม เราแนะนำให้คุณรายงานไปยัง Samsung Care ใกล้บ้านคุณ เพื่อขอรับความช่วยเหลือด้านเทคนิคเพิ่มเติม

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

แทงบอลออนไลน์

Categories
สอนใช้

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ Samsung Galaxy A52 เชื่อมต่อ Bluetooth ไม่ได้

Samsung Galaxy A52

คุณกำลังประสบปัญหาไม่สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth บนโทรศัพท์ Samsung Galaxy A52 หรือ A52 5G หรือไม่? สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy A52 มีฟังก์ชันที่สนับสนุนการใช้งานที่สะดวกสบายอย่างครบครัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟังก์ชันการเชื่อมต่อ Bluetooth ซึ่งหลายคนคงทราบกันดีว่า Bluetooth เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่มีความสามารถแชร์ข้อมูลในระยะทางสั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้สายไฟ อย่างไรก็ตามหลังจากการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android 10 เราพบว่ามีผู้ใช้งานโทรศัพท์ Samsung Galaxy A52 บางส่วนอาจประสบปัญหาเกี่ยวกับ Bluetooth เป็นครั้งคราว แต่โชคดีมากที่ตอนนี้ปัญหานี้ส่วนใหญ่จะสามารถแก้ไขได้ง่าย ด้วยวิธีการได้เราได้รวบรวมไว้ในบทความนี้ ซึ่งเราจะพาคุณไปพบกับเคล็ดลับที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยแก้ไขปัญหา Bluetooth ใน Samsung Galaxy A52 หรือ A52 5G ได้

วิธีตรวจสอบโทรศัพท์ Samsung Galaxy A52 ว่าสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth ได้หรือไม่

Samsung Galaxy A52

สำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์ Samsung รุ่น Galaxy A52 ที่ไม่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม Bluetooth กับโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตได้ เราแนะนำให้ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า Bluetooth บนโทรศัพท์ของคุณไม่สามารถเชื่อมต่อได้จริง ๆ โดยการทำตามขั้นตอนการเชื่อมต่อด้านล่างทีละขั้นตอน เพื่อช่วยให้อุปกรณ์ไร้สายของคุณทำงานร่วมกันได้

  1. เปิดการตั้งค่า บลูทูธ : ให้คุณปัดด้านบนของหน้าจอโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตของคุณลง เพื่อเปิดแผงการตั้งค่าด่วน จากนั้นให้แตะที่ไอคอน Bluetooth ค้างไว้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสวิตช์ที่อยู่ข้าง “Bluetooth” เปิดอยู่
  2. ตรวจสอบการเชื่อมต่อปัจจุบันของอุปกรณ์ : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ Bluetooth ของคุณไม่ได้เชื่อมต่อกับโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตอื่นอยู่ หากคุณเคยจับคู่อุปกรณ์ Bluetooth ของคุณกับอุปกรณ์อื่นที่อยู่ในระยะใกล้ ให้ลองยกเลิกการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์นั้นก่อนที่จะจับคู่กับอุปกรณ์เครื่องใหม่
  3. ลองเชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธ : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ห่างกันไม่เกิน 30 ฟุต และอุปกรณ์ Bluetooth อยู่ในโหมดจับคู่หรือไม่ โดยไปที่เมนูการตั้งค่า Bluetooth แล้วแตะที่ Scan จากนั้นให้เลือกอุปกรณ์ Bluetooth ที่คุณต้องการจากรายการอุปกรณ์ที่พร้อมใช้งาน และให้ปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
  • ลบเคสหรือเคสของบริษัทอื่นที่อาจรบกวนการเชื่อมต่อไร้สาย
  • หากอุปกรณ์บลูทูธ ต้องใช้รหัส PIN ให้คุณป้อนรหัส PIN ของอุปกรณ์แล้วแตะตกลง
  • หากจำเป็นให้ดูคู่มือที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ Bluetooth เพื่อยืนยันหมายเลข PIN หากคุณไม่มีคู่มือสำหรับอุปกรณ์ Bluetooth ให้ลองป้อน 0000 ซึ่งเป็น PIN เริ่มต้นสำหรับอุปกรณ์ Bluetooth จำนวนมาก หากไม่ได้ผล ให้ลองทำตามวิธีแก้ไขปัญหา Bluetooth ใน Galaxy A52 หรือ A52 5G ด้านล่างนี้

วิธีแก้ไขปัญหา Bluetooth ใน Galaxy A52 หรือ A52 5G

Samsung Galaxy A52

หากคุณได้ปฏิบัติตามคำแนะนำที่อยู่ข้างต้นแล้ว โทรศัพท์ Samsung Galaxy A52 ของคุณก็ยังไม่สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth กับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ เราแนะนำให้ลองปฏิบัติตามวิธีด้านล่างนี้ เพื่อช่วยให้โทรศัพท์ Galaxy A52 หรือ Galaxy A52 5G ของคุณกลับมาใช้งานฟังก์ชัน Bluetooth ได้เหมือนเดิม

  1. ปิดบลูทูธแล้วเปิดใหม่อีกครั้ง : นี่เป็นสิ่งแรกที่คุณควรทำเมื่อพบปัญหาเกี่ยวกับบลูทูธ เพื่อรีเซ็ตการเชื่อมต่อบลูทูธและขจัดข้อบกพร่องที่อาจส่งผลต่อระบบบลูทูธในโทรศัพท์ของคุณ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ปัดที่หน้าจอโทรศัพท์ลง เพื่อเปิดแผงการตั้งค่าด่วน
  • แตะที่ไอคอนบลูทูธเพื่อปิดบลูทูธ
  • จากนั้นแตะที่ไอคอนบลูทูธอีกครั้งเพื่อเปิดบลูทูธ
  1. เปิดและปิดโหมดเครื่องบิน : โหมดเครื่องบินโดยทั่วไปจะปิดการใช้งานสัญญาณไร้สายทั้งหมดจากอุปกรณ์ของคุณ เราแนะนำให้ลองปิดโหมดเครื่องบินเป็นเวลา 2-3 วินาทีแล้วค่อยเปิดใหม่อีกครั้ง การทำเช่นนี้จะช่วยเซ็ตคุณสมบัติไร้สายทั้งหมดบนอุปกรณ์ของคุณ ซึ่งสามารถขจัดข้อบกพร่องที่มีอยู่ในระบบเครือข่ายของอุปกรณ์ได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ปัดที่หน้าจอโทรศัพท์ลง เพื่อเปิดแผงการตั้งค่าด่วน
  • แตะที่ไอคอนโหมดเครื่องบินเพื่อเปิดโหมดเครื่องบิน
  • จากนั้นแตะที่ไอคอนโหมดเครื่องบินอีกครั้งเพื่อปิดโหมดเครื่องบินกลับ
  1. รีสตาร์ทโทรศัพท์ : บางครั้งข้อผิดพลาดของระบบอาจทำให้บลูทูธทำงานผิดปกติได้ ซึ่งการรีสตาร์ทโทรศัพท์สามารถล้างข้อผิดพลาดดังกล่าวได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • กดปุ่มด้านข้างและปุ่มลดระดับเสียงค้างไว้จนกว่า เมนู Power จะปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์
  • ให้แตะปุ่ม “ปิดเครื่อง” หรือ “รีสตาร์ท”
  • หลังจากที่โทรศัพท์รีสตาร์ท ให้ลองเชื่อมต่อ Bluetooth อีกครั้งและดูว่าใช้งานได้หรือไม่ หากไม่เป็นเช่นนั้น ให้ดำเนินการตามแนวทางแก้ไขปัญหาข้ออื่น
  1. เลิกเชื่อมต่อและซ่อมแซมอุปกรณ์บลูทูธ : ให้คุณลองเลิกจับคู่อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อหรือที่บันทึกไว้ทั้งหมดจากโทรศัพท์ของคุณ แล้วค่อยลองจับคู่อีกครั้ง เพื่อจะทำให้โทรศัพท์ของคุณเริ่มต้นการเชื่อมต่อใหม่และสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการจับคู่ได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “เชื่อมต่อ”
  • แตะที่ “Bluetooth” และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเปิดอยู่หรือไม่
  • แตะที่ไอคอนการตั้งค่า ที่อยู่ถัดไปจากอุปกรณ์แต่ละเครื่อง แล้วแตะ “เลิกจับคู่” ที่มุมล่างซ้ายเพื่อนำอุปกรณ์ออก แล้วทำซ้ำเพื่อนำอุปกรณ์ที่จับคู่อื่น ๆ ออก
  • เมื่อคุณยกเลิกการจับคู่อุปกรณ์ทั้งหมดแล้ว ให้ลองจับคู่อุปกรณ์ Bluetooth อีกครั้งและดูว่าใช้งานได้หรือไม่ 

นี่เป็นเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ Samsung Galaxy A52 เชื่อมต่อ Bluetooth ไม่ได้ หากคุณปฏิบัติตามวิธีด้านต้นแล้ว แต่ ก็ยังไม่สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ คุณสามารถส่งรายงานข้อผิดพลาดหรือถามคำถามได้ในแอป Samsung Members ทางทีมงานจะช่วยเหลือคุณ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

แทงบอลออนไลน์

Categories
สอนใช้

พบกับวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยทำให้โทรศัพท์ Samsung Galaxy Z Fold 3 ของคุณ มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น

Galaxy Z Fold 3

คุณกำลังประสบปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วใน Samsung Galaxy Z Fold 3 ของคุณหรือไม่? ความจริงแล้วปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับโทรศัพท์มือถือหลายแบรนด์เช่นเดียวกัน ซึ่งปัญหาด้านประสิทธิภาพแบตเตอรี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาโดยทั่วไปสำหรับโทรศัพท์ที่เราพบเห็นอยู่บ่อย ๆ ถึงแม้ว่า Samsung จะให้ความจุของแบตเตอรี่ Galaxy Z Fold 3 ถึง 4,400 mAh และมีฟีเจอร์ถนอมแบตเตอรี่ แต่ก็ยังมีผู้ใช้งานหลายคนร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาด้านประสิทธิภาพอายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้องการวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ซึ่งบทความนี้ เราจะพูดถึงเคล็ดลับที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้งานแบตเตอรี่ใน Samsung Galaxy Z Fold 3 ของคุณ

เคล็ดลับการแก้ไขปัญหา Galaxy Z Fold 3 แบตเตอรี่หมดเร็ว

Galaxy Z Fold 3

สำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Galaxy Z Fold 3 ที่กำลังประสบปัญหา แบตเตอรี่หมดเร็ว ไม่ควรพลาดกับเคล็ดลับที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของคุณในครั้งนี้ และนี่คือเคล็ดลับเหล่านั้น

  • ตรวจสอบแอปที่ใช้แบตเตอรี่มากเกินไป : แอปบางตัวมักจะใช้แบตเตอรี่มากกว่าทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบแอปเหล่านั้น โดยการไปที่ การตั้งค่า > การดูแลแบตเตอรี่และอุปกรณ์ > แบตเตอรี่ > แผนภูมิการใช้แบตเตอรี่ หากคุณสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในการใช้งานแบตเตอรี่ ให้แตะที่แอปนั้นเพื่อจำกัดการใช้งานแบตเตอรี่ นอกจากนี้คุณยังสามารถเปิดใช้งานแบตเตอรี่แบบปรับอัตโนมัติเพื่อจำกัดการใช้งานแบตเตอรี่สำหรับแอปที่คุณไม่ค่อยได้ใช้ ไปที่การตั้งค่า > การดูแลแบตเตอรี่และอุปกรณ์ > แบตเตอรี่ > การตั้งค่าแบตเตอรี่เพิ่มเติม > แบตเตอรี่ปรับตัวและเปิดเมื่อวันที่…
  • นำแอปที่ไม่ได้ใช้เข้าสู่โหมดสลีป : หากแอปไหนที่คุณไม่ค่อยได้ใช้งาน เราแนะนำให้ตั้งค่าเข้าสู่โหมดสลีป เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ ไปที่การตั้งค่า > การดูแลแบตเตอรี่และอุปกรณ์ > แบตเตอรี่ > ขีดจำกัดการใช้งานพื้นหลัง > สลับแอปที่ไม่ได้ใช้เข้าสู่โหมดสลีปให้ “เปิด”
  • เปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงาน : โหมดประหยัดพลังงานจะช่วยให้คุณประหยัดแบตเตอรี่ได้โดยการปิดใช้งานฟังก์ชันบางอย่างของโทรศัพท์ ไปที่การตั้งค่า > การดูแลแบตเตอรี่และอุปกรณ์ > แบตเตอรี่ > โหมดประหยัดพลังงาน แล้วสลับเป็น “เปิด”
  • จำกัดการแจ้งเตือนแอป : หากคุณได้รับการแจ้งเตือนจำนวนมาก การแจ้งเตือนเหล่านี้อาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วได้ เราแนะนำให้ลองปิดการแจ้งเตือน โดยแตะค้างที่ไอคอนแอปที่คุณต้องการปิดการแจ้งเตือน > ข้อมูลแอพ > แจ้งเตือน > แสดงการแจ้งเตือน และสลับเป็น “ปิด”
  • ปรับการหมดเวลาของหน้าจอ : การหมดเวลาหน้าจอที่ยาวนานสามารถลดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างมาก เราแนะนำให้คุณพยายามรักษาระยะหมดเวลาหน้าจอให้น้อยที่สุด เพื่อประหยัดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ไปที่การตั้งค่า > จอแสดงผล > หมดเวลาหน้าจอ > เลือกและตั้งค่าการหมดเวลาหน้าจอ
  • ปรับความสว่างของหน้าจอ : ยิ่งระดับความสว่างของหน้าจอสูงขึ้นเท่าใด ยิ่งสิ้นเปลืองแบตเตอรี่มากขึ้นเท่านั้น แต่คุณสามารถปรับความสว่างของหน้าจอได้โดยการไปที่การตั้งค่า > จอแสดงผล > ปรับความสว่างในระดับปานกลาง
  • ลดอัตราการรีเฟรชหน้าจอ : Galaxy Z Fold 3 รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz ที่อาจส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ด้วย หากแบตเตอรี่ของคุณเหลือน้อยและไม่ต้องการอัตราการรีเฟรชที่สูงขึ้นให้ไปที่การตั้งค่า > จอแสดงผล > ความราบรื่นของการเคลื่อนไหว > อัตราการรีเฟรชมาตรฐาน แล้วแตะ “ใช้” เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลง
  • การใช้โหมดมืด : นอกจากจะถนอมสายตาแล้ว โหมดมืดยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่อีกด้วยให้ไปที่การตั้งค่า > จอแสดงผล > เลือก “Dark” ที่ด้านบนเพื่อใช้โหมด
  • ปิดข้อมูลมือถือหากสัญญาณไม่ดี : โทรศัพท์ของคุณมีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อสัญญาณมือถือเหลือน้อยเนื่องจากมันจะพยายามสื่อสารกับผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณ เราแนะนำให้ลองปิดข้อมูลมือถือหากคุณแบตเตอรี่เหลือน้อยและไม่จำเป็นต้องการใช้งาน

การทดสอบแบตเตอรี่ของโทรศัพท์ตระกูล Galaxy

Galaxy Z Fold 3

Tom’s Guide ได้ทำการทดสอบแบตเตอรี่ตระกูล Galaxy อย่าง Galaxy Z Fold 3, Galaxy Z Fold 2 และ Galaxy S21 Ultra ซึ่งทั้ง 3 รุ่นนี้กำลังว่าได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยการ ทดสอบแบตเตอรี่ ในครั้งนี้จะใช้การท่องเว็บอย่างต่อเนื่องผ่าน 5G ที่ความสว่างหน้าจอ 150 nits ซึ่งได้ผลสรุปดังนี้ Galaxy Z Fold 3 ใช้งานได้เพียง 7 ชั่วโมง 52 นาทีโดยตั้งค่าการแสดงผลเป็นโหมด 60Hz และ 6:35 เมื่อเปิดโหมดการแสดงผลแบบปรับได้ที่ขยายได้ถึง 120Hz 

Galaxy Z Fold 2 ใช้งานได้ 10 ชั่วโมง 10 นาทีในโหมด 60Hz และ 9:05 ในโหมด Adaptive นั่นเป็นการดรอปดาวน์ที่ค่อนข้างชัน แต่แบตเตอรี่ที่เล็กกว่าอาจไม่เป็นเช่นนี้ จากนั้นทดสอบ Z Fold 3 บนเครือข่ายของ Verizon และ Z Fold 2 บน T-Mobile อาจส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่อย่างแน่นอน ส่วน Galaxy S21 Ultra ใช้งานได้ยาวนานถึง 11 ชั่วโมง 25 นาที ในโหมด 60Hz และ 10:07 ในโหมด Adaptive

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

แทงบอลออนไลน์

Categories
News สอนใช้

ปัญหาที่ผู้ใช้โทรศัพท์ Nokia ต้องเจอหลังอัปเดต Android 11 พร้อมวิธีแก้ปัญหา

Nokia

ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ Android อย่างยี่ห้อ Nokia หลายคนคงจะกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานโทรศัพท์หลังอัปเดต Android 11 ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักเกิดขึ้นกับสมาร์ทโฟน Nokia บางรุ่นเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับการอัปเกรดเป็น Android 11 เช่น Nokia 8.3 5G, Nokia 3.2 และ Nokia 1 plus เป็นต้น ซึ่งบทความนี้เราจะพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการอัปเดต/ติดตั้ง และการใช้งาน (ผู้ใช้) สมาร์ทโฟน Nokia ระบบปฏิบัติการ Android 1ห1ที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่มักเจอ พร้อมวิธีการแก้ไขเหล่านั้น โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ในการติดตั้งและใช้งานระบบปฏิบัติการ Android และการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุดจากผู้ใช้งาน

ปัญหาและวิธีแก้ปัญหาโดยทั่วไปเกี่ยวกับโทรศัพท์ Nokia ที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้

Nokia

สำหรับปัญหาที่ผู้ใช้งานโทรศัพท์ Nokia ส่วนใหญ่มักพบหลังอัปเดต Android 11 คือ สมาร์ทโฟน Nokia ทำงานได้ไม่ดีหลังจากติดตั้งการอัปเดต, อายุการใช้งานแบตเตอรี่ลดลงอย่างมาก และประสบปัญหามากมายหลังจากติดตั้งการอัปเดต Android 11 โดยปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้นกับโทรศัพท์หลายยี่ห้อเช่นกัน ซึ่งผู้ใช้งานส่วนใหญ่มักแก้ปัญหาด้วยวิธีการ ดังนี้

  1. ลองรีเซ็ตเครื่อง : วิธีนี้เป็นการเรียกคืนการตั้งค่าจากโรงงาน แต่คุณควรทราบว่าวิธีการนี้เป็นการปรับการตั้งค่าและข้อมูลทั้งหมดที่คุณป้อนไว้ในโทรศัพท์จะถูกลบ ดังนั้นก่อนจะทำการรีเซ็ตเครื่องคุณควรทำการสำรองข้อมูลทั้งหมดที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำเสียก่อน ซึ่งคุณสามารถทำการสำรองข้อมูลทั้งหมด, รีเซ็ตเครื่อง และการเรียกข้อมูลสำรองได้ด้วยขั้นตอน ดังนี้
  • วิธีการสำรองข้อมูลทั้งหมด

ไปที่ การตั้งค่า > ระบบ > สำรองข้อมูล แล้วแตะสลับไปที่ “สำรองข้อมูลไปที่ Google ไดรฟ์” คุณจะต้องตั้งค่าบัญชีสำรอง โดยใช้บัญชี Google ที่คุณใช้ในการตั้งค่าอุปกรณ์ของคุณ และตรวจสอบดูตัวเลือกการสำรองข้อมูลเพิ่มเติม

  • วิธีการรีเซ็ตเครื่อง

ไปที่ การตั้งค่า > ระบบ > ตัวเลือกการรีเซ็ต แตะที่ “ลบข้อมูลทั้งหมด (รีเซ็ตเป็นค่าจากโรงงาน)” การดำเนินการนี้จะล้างข้อมูลทั้งหมดจากสมาร์ทโฟนของคุณและจะกลับสู่การตั้งค่าของโรงงาน 

  • วิธีการเรียกข้อมูลสำรอง

หลังจากที่คุณได้ทำการสำรองข้อมูลทั้งหมดของคุณและรีเซ็ตเครื่องเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเรียกข้อมูลสำรองเหล่านั้นได้ โดยการไปที่ การตั้งค่า > ระบบ > การสำรองข้อมูล > เรียกข้อมูลสำรอง คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการกู้คืนแอปใดในโทรศัพท์ของคุณพร้อมกับข้อมูล จากนั้นโทรศัพท์ของจะรีสตาร์ทหลังจากเรียกคืนไฟล์ข้อมูลสำรองแล้ว

  1. การแก้ปัญหาอายุการใช้งานแบตเตอรี่ : นี่เป็นปัญหาที่ผู้ใช้งานโทรศัพท์หลายยี่ห้อได้รับผลกระทบอย่างมาก อาจเกิดขึ้นเนื่องจากคุณลักษณะโหมดหน้าจอแบบแอมเบียนท์ที่เปิดใช้งาน คุณสามารถปิดโหมดนี้ได้ โดยการไปที่ Settings –> Google –> Account services –> Search, Assistant & Voice –> Google Assistant –> Assistant –>เลื่อนลงไปที่โหมด Ambient mode แล้วปิดคุณลักษณะ Ambient mode
  2. ข้อผิดพลาด “อุปกรณ์ของคุณไม่ผ่านการรับรองจาก Google” : Google จะมีเอกสารคำจำกัดความความเข้ากันได้ (CDD) เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ที่ผู้ผลิตต้องปฏิบัติตามเพื่อผ่านการทดสอบความเข้ากันได้ของ Google หากอุปกรณ์ไม่ได้รับการรับรองจาก Google อุปกรณ์ของคุณจะไม่สามารถใช้แอป Google ได้อีกต่อไป เช่น Google Play Store หรือแอป Google ที่สำคัญอื่น ๆ ได้ นั่นหมายความว่า Google จะสามารถปิดการทำงานของแอปได้ทุกเมื่อ ยกตัวอย่างเช่น แอป Google Messages จะไม่ทำงานบนอุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการรับรองหลังจากเดือนมีนาคม 2021 หากคุณไม่ทราบว่าโทรศัพท์ของคุณไม่ผ่านการรับรองหรือไม่? ให้ทำตามขั้นตอน ดังนี้
  • เปิด Google Play Store บนโทรศัพท์ Android ของคุณแล้วแตะไอคอนเมนูแฮมเบอร์เกอร์ 
  • แล้วในเมนูแถบด้านข้างให้เลื่อนลงไปที่ส่วน “เกี่ยวกับ” ซึ่งภายใต้การรับรอง Play Protect คุณจะเห็นว่า “อุปกรณ์ได้รับการรับรอง” หรือ“ ไม่ผ่านการรับรอง” 

หากโทรศัพท์ของคุณไม่ผ่านการรับรอง สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ Device ID ของคุณ ซึ่งเป็นรหัสตัวอักษรและตัวเลข 16 หลัก หลังจากนั้นคุณจะต้องรับรองรหัสอุปกรณ์ของคุณด้วย Google Service Framework คุณสามารถเข้าถึง Google Play Store เพื่อดาวน์โหลดและติดตั้งไฟล์แอป ID อุปกรณ์ เพื่อรับ ID และหากไม่สามารถทำได้ให้คุณดาวน์โหลดไฟล์ APK และทำการไซด์โหลด 

  • หลังจากติดตั้งแล้วให้เปิดแอปและคัดลอกโค้ดถัดจาก “Google Service Framework (GSF)”
  • ไปที่หน้าเว็บของ Google บนอุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการรับรอง
  • จากนั้นป้อน Device-ID ของคุณในช่อง “Google Services Framework Android ID”
  • คลิกที่ “ลงทะเบียน” และรหัสอุปกรณ์ที่คุณลงทะเบียนจะปรากฏบนหน้าจอ

การแก้ปัญหานี้จะทำให้คุณสามารถใช้งานแอป Google ได้ แต่อาจจะไม่สามารถใช้ได้กับทุกอุปกรณ์เช่นกัน

การรับมือกับปัญหาของ Nokia

Nokia

ถึงแม้ว่า Nokia จะมาพร้อมกับการอัปเกรด Android 11 ได้ไม่นานหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Android 11 แต่บริษัทก็ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยรุ่นโทรศัพท์ Nokia ที่สามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android 11 ได้ก็คือ Nokia รุ่น Q1, Q2, Q3 จนถึงรุ่นล่าสุดในปัจจุบัน 

อย่างไรก็ตาม โนเกีย มีอุปกรณ์จำนวนมากที่เตรียมไว้สำหรับการอัปเดต Android 11 แต่เมื่อการอัปเดตเริ่มเผยแพร่สู่สาธารณะมากขึ้น ผู้ใช้งานจำนวนมากต่างพบว่าอุปกรณ์ของตนเองนั้นมีข้อบกพร่องประมาณ 2-3 ประการเช่นกัน แต่ยังดีที่บริษัท Nokia มีความกระตือรือร้นและผู้ดูแลระบบที่ยินดีรับข้อร้องเรียนของผู้ใช้และส่งต่อความคิดเห็นไปยังแผนกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

แทงบอลออนไลน์

Categories
สอนใช้

โทรศัพท์ Samsung Galaxy S21+ ระบบการแจ้งเตือนไม่ทำงาน ควรทำอย่างไร?

เราเชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหาในเรื่องของระบบการแจ้งเตือนไม่ทำงาน ซึ่งปัญหานี้อาจจะเกิดขึ้นกับโทรศัพท์ทุกแบรนด์ หากคุณใช้งานโทรศัพท์ Samsung Galaxy S21+ แล้วกำลังประสบปัญหาเช่นการแจ้งเตือนไม่ปรากฏขึ้นหรือไม่ได้ยินเสียงเมื่อได้รับการแจ้งเตือน ระบบการแจ้งเตือนของ Apps บนมือถือไม่ทำงาน ไม่ต้องกังวลค่ะ ปัญหานี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดและมีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปพบกับเคล็ดลับง่าย ๆ บางประการที่จะช่วยแก้ไขปัญหาการแจ้งเตือนใน Samsung Galaxy S21, S21+ หรือ S21 Ultra ของคุณ

สาเหตุที่อาจทำให้โทรศัพท์ Samsung Galaxy S21+ ระบบการแจ้งเตือนไม่ทำงาน

Samsung Galaxy S21+

ระบบการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์ Samsung Galaxy S21+ ของคุณไม่ทำงานใช่หรือไม่? ปัญหานี้อาจจะทำให้แอปพลิเคชันบางตัวไม่แจ้งเตือนคุณ ซึ่งคุณจะได้รับการแจ้งเตือนเพียงแค่ตอนใช้แอปครั้งแรกเท่านั้น แต่จากนั้นแอปจะหยุดการแจ้งเตือนลง หรือการแจ้งเตือนจะหยุดทำงานเมื่อคุณเปิดการเชื่อมต่อมือถือหรือ Wi-Fi เท่านั้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับโทรศัพท์ของทุกแบรนด์ รวมถึงโทรศัพท์ของ Samsung ด้วย และปัญหานี้อาจจะทำให้คุณรู้หงุดหงิดได้ โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่อาจทำให้ระบบการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์ของคุณไม่ทำงาน มีดังนี้

  • โหมดห้ามรบกวนหรือโหมดเครื่องบินบนโทรศัพท์ของคุณเปิดอยู่
  • การแจ้งเตือนของระบบหรือแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์ของคุณถูกปิดใช้งาน
  • การตั้งค่าพลังงานหรือข้อมูลกำลังป้องกันไม่ให้แอปบนโทรศัพท์ของคุณเรียกการแจ้งเตือน 
  • แอปหรือซอฟต์แวร์ของโทรศัพท์ล้าสมัยอาจทำให้แอปค้างหรือขัดข้องและไม่สามารถส่งการแจ้งเตือนให้คุณได้

วิธีแก้ไขปัญหาการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ของ Samsung

Samsung Galaxy S21+

สำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือของ Samsung เช่น Galaxy S21, Galaxy S21+ และ Galaxy S21 Ultra ที่อาจกำลังปัญหาเกี่ยวกับระบบการแจ้งเตือนไม่ทำงาน คุณสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ดังนี้

  1. ปิดโหมด DND : หากคุณเปิดใช้งานคุณสมบัติ DND จะสามารถบล็อกแอปไม่ให้ส่งการแจ้งเตือนได้ เราขอแนะนำให้ลองปิดการใช้งานคุณสมบัตินี้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “การแจ้งเตือน”
  • แตะที่ “ห้ามรบกวน” และสลับสวิตช์เป็น “ปิด”
  1. ปิดโหมดประหยัดพลังงาน : คุณสมบัติโหมดประหยัดพลังงานจะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยจำกัดคุณสมบัติบางอย่าง เช่น การใช้งานเครือข่าย กิจกรรมในพื้นหลัง และคุณสมบัติอื่น ๆ ซึ่งการเปิดใช้งานคุณสมบัตินี้สามารถทำให้แอปบางตัวไม่ทำงานและไม่ส่งการแจ้งเตือนได้ หากคุณอยากเปิดการแจ้งเตือนแอปให้ลองปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงาน โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “การดูแลแบตเตอรี่และอุปกรณ์”
  • แตะที่ “แบตเตอรี่”
  • แตะที่ “โหมดประหยัดพลังงาน” และสลับสวิตช์เป็น “ปิด”
  1. เปิดใช้งานโหมดเสียงสำหรับการแจ้งเตือน : หากอุปกรณ์ของคุณอยู่ในโหมดสั่นหรือปิดเสียง คุณก็จะไม่ได้ยินเสียงจากการแจ้งเตือน หากต้องการเปิดการแจ้งเตือนให้ตรวจสอบการตั้งค่าและตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เปิดใช้งานการแจ้งเตือนด้วยเสียงหรือไม่ โดยคุณสามารถเปิดการแจ้งเตือนเสียงได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “การแจ้งเตือน”
  • เลื่อนลงแล้วแตะที่ “เสียงแจ้งเตือน”
  • แตะที่ไอคอนเสียงภายใต้โหมดเสียงเพื่อเปิดใช้งานการแจ้งเตือนเสียง
  1. ปรับการตั้งค่าระดับเสียงการแจ้งเตือน : คุณอาจไม่ได้ยินเสียงการแจ้งเตือนหากปิดเสียงหรือตั้งค่าเสียงไว้ต่ำเกินไป แนะนำให้ลองเพิ่มระดับเสียงการแจ้งเตือนให้เหมาะสมตามความต้องการของคุณ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “การแจ้งเตือน”
  • เลื่อนลงแล้วแตะที่ “เสียงแจ้งเตือน”
  • แตะที่ “ระดับเสียง”
  • เพิ่มระดับเสียงการแจ้งเตือนโดยเลื่อนตัวเลื่อนไปทางขวา
  1. เปิดการแจ้งเตือนแอป : หากคุณสังเกตเห็นว่าบางแอปสามารถส่งการแจ้งเตือนได้ แต่ในขณะเดียวกันบางแอปก็ไม่สามารถส่งการแจ้งเตือนได้ สาเหตุอาจเป็นเพราะแอปเหล่านั้นถูกบล็อกไม่ให้ส่งการแจ้งเตือน ซึ่งคุณสามารถเปิดการแจ้งเตือนแอป โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “การแจ้งเตือน”
  • แตะที่ “ดูทั้งหมดหรือมากกว่า” (ใน Android 11)
  • แตะที่เมนูแบบเลื่อนลงที่ด้านบนเพื่อแสดง “แอปทั้งหมด”
  • ค้นหาและเลือกแอปที่คุณต้องการที่จะได้รับการแจ้งเตือนและสลับสวิตช์เป็น “เปิด”
Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

แทงบอลออนไลน์

Categories
สอนใช้

ทำอย่างไร? หากโทรศัพท์ iPhone 12 ของคุณไม่สามารถยืนยันตัวตนเซิร์ฟเวอร์ได้

หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ใช้งาน iPhone 12 แล้วได้รับข้อความที่แสดงถึงข้อผิดพลาดว่าคุณ “ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเซิร์ฟเวอร์ได้ ” ในขณะที่คุณพยายามเข้าใช้งานแอปอีเมล ข้อผิดพลาดนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อแอป Mail ของคุณไม่ได้รับความเชื่อถือจากใบรับรอง SSL ที่เซิร์ฟเวอร์อีเมลใช้ ซึ่งหากคุณเห็นข้อความแสดงถึงข้อผิดพลาดนี้ อย่าเพิ่งกังวลไป เนื่องจากคุณสามารถลองแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่เราได้รวบรวมไว้ในบทความนี้ โดยในบทความนี้เราจะอธิบายถึงวิธีแก้ไขปัญหา “ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเซิร์ฟเวอร์ได้ ” ที่สามารถทำได้ทั้งบน iPhone 12, 12 mini, 12 Pro และ 12 Pro Max

วิธีแก้ไขข้อผิดพลาด “ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเซิร์ฟเวอร์ได้” บน
iPhone 12
iPhone 12, 12 mini, 12 Pro และ 12 Pro Max

สำหรับใครที่ใช้งานโทรศัพท์ iPhone 12, 12 mini, 12 Pro หรือ 12 Pro Max แล้วประสบปัญหาข้อผิดพลาด “ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเซิร์ฟเวอร์ได้” เราขอแนะนำให้ลองทำตามวิธีดังต่อไปนี้

  1. รีสตาร์ท iPhone ของคุณ : นี่เป็นวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้น อีกหนึ่งวิธีสามารถล้างข้อผิดพลาดนี้ได้ หากเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบบน iPhone ของคุณ เราแนะนำให้ลองทำการรีสตาร์ท iPhone ของคุณ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • กดปุ่มปิด/เปิดด้านข้างค้างไว้จนกระทั่งแถบเลื่อนปิดเครื่องปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
  • ลากตัวเลื่อนจากซ้ายไปขวาเพื่อปิด iPhone ของคุณ
  • จากนั้นกดปุ่มปิด/เปิดด้านข้างค้างไว้จนกว่าคุณจะเห็นโลโก้ Apple ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เพื่อเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง
  1. ลบและเพิ่มบัญชีอีเมลอีกครั้ง : การลบและเพิ่มบัญชีอีเมลของคุณจะรีเซ็ตใบรับรองข้อมูลประจำตัวของเซิร์ฟเวอร์อีเมล ซึ่งนั่นอาจส่งผลทำให้บัญชีอีเมลของคุณต้องได้รับการยืนยันอีกครั้งและล้างใบรับรองที่เป็นปัญหานั้น ซึ่งเป็นสาเหตุของข้อผิดพลาด หากคุณต้องการลบอีเมลเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ลองทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “Mail”
  • แตะที่ “บัญชี”
  • แตะที่บัญชีอีเมลที่คุณต้องการลบ
  • แตะปุ่ม “ลบบัญชี” เพื่อลบบัญชีที่เลือก
  • จากนั้นแตะที่ลบบัญชีอีกครั้งเมื่อได้รับการแจ้งเตือนการยืนยันปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

หลังจากนั้นหากคุณต้องการเพิ่มบัญชีใหม่ให้กลับไปที่การตั้งค่า > Mail > บัญชี > เพิ่มบัญชี จากนั้นเลือกผู้ให้บริการอีเมลของคุณและป้อนข้อมูลที่จำเป็น

  1. รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย : บางครั้งการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้ทำให้เกิดข้อผิดพลาด “ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเซิร์ฟเวอร์ได้” เราขอแนะนำให้คุณลองรีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่ายซึ่งอาจแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยการคืนค่าการตั้งค่าเครือข่ายเป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งจะเป็นการล้างการตั้งค่าเดิมที่ผิดพลาด หากคุณต้องการ รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่ายให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “ทั่วไป”
  • แตะที่ “รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย”
  • พิมพ์รหัสผ่านของคุณหากได้รับแจ้งเตือนให้ใส่รหัส
  • จากนั้นหน้าจอจะปรากฏป๊อปอัปให้คุณกดยืนยันการดำเนินการ

หลังจากนั้น iPhone ของคุณจะรีบูทหลังจากรีเซ็ตเสร็จแล้ว จากนั้นให้กลับไปตั้งค่าการเชื่อมต่อ WiFi ของคุณเพื่อเปิดและใช้แอป Mail เพื่อตรวจสอบว่าปัญหานั้นหายไปหรือไม่ หากไม่หายให้ลองใช้วิธีแก้ไขปัญหาข้อถัดไป

  1. อัปเดตซอฟต์แวร์ : ข้อบกพร่องในซอฟต์แวร์อาจสามารถสร้างข้อผิดพลาด “ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเซิร์ฟเวอร์ได้” ซึ่งการอัปเดตซอฟต์แวร์อาจช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ หากคุณต้องการตรวจสอบและติดตั้งซอฟต์แวร์ iOS ใหม่ล่าสุด ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “การอัปเดตซอฟต์แวร์”
  • จากนั้นแตะที่ “ดาวน์โหลดและติดตั้ง” เพื่อดาวน์โหลดและติดตั้งการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่
  1. รีเซ็ต iPhone : หากวิธีแก้ปัญหาข้างต้นไม่ได้ผล ข้อผิดพลาด “ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเซิร์ฟเวอร์ได้”ยังคงอยู่อาจเกิดจากข้อผิดพลาดของระบบที่ซับซ้อน ซึ่งการรีเซ็ต iPhone เป็นตัวเลือกสุดท้ายที่คุณสามารถลองทำได้ โดยขั้นตอนนี้จะลบข้อมูลทุกอย่างออกจาก iPhone ของคุณรวมถึงข้อผิดพลาดร้ายแรงของระบบที่อาจทำให้เกิดข้อขัดแย้งกับการตั้งค่าของเซิร์ฟเวอร์อีเมลของคุณ อย่างไรก็ตาม ก่อนดำเนินการรีเซ็ต iPhone ให้สำรองข้อมูลสำคัญของคุณก่อน เพื่อป้องกันข้อมูลที่สำคัญของคุณไม่ให้สูญหาย หากคุณต้องการรีเซ็ต iPhone ของคุณให้ลองทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “ทั่วไป”
  • แตะที่ “รีเซ็ต”
  • แตะที่ “ลบเนื้อหาและการตั้งค่าทั้งหมด”

บทสรุป

iPhone 12

อย่างไรก็ตาม หากคุณใช้โทรศัพท์ iPhone 12, 12 mini, 12 Pro หรือ 12 Pro Max และใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 11.3 ขึ้นไป คุณอาจไม่จำเป็นต้องป้อนรหัสการตรวจสอบยืนยัน แต่ถ้าจำเป็นต้อง ยืนยันตัวตน แล้วเกิดข้อผิดพลาด “ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเซิร์ฟเวอร์ได้” ให้ลองทำตามวิธีข้างต้น แต่หากทุกตามทุกข้อแล้ว แต่ข้อผิดพลาดยังคงอยู่ เราแนะนำให้รายงานปัญหากับฝ่ายสนับสนุนของ Apple เพื่อให้พวกเขาทำการประเมินเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาว่าปัญหาอยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ Apple หรือไม่

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

Suwanna Preebunpul

Sponsor: HILO-88.COM เว็บคาสิโนออนไลน์ ไฮโลไทยเว็บตรง อันดับ1 ของไทย ฝากถอนด้วยระบบออโต้

Categories
สอนใช้

ทำอย่างไร? หากโทรศัพท์ Galaxy S21 Ultra ของ Samsung เครื่องร้อนเกินไป

Galaxy S21 Ultra
Android รุ่นล่าสุดของ Samsung คุณกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับเครื่องร้อนเกินไปขณะใช้งานหรือไม่? ซึ่งส่วนใหญ่ปัญหานี้เป็นเรื่องที่เราพบโดยทั่วไปจากผู้ใช้โทรศัพท์ของทุกแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนที่แผ่กระจายหลังจากการสนทนาที่ยืดยาวเป็นพิเศษ แต่อย่าตกใจไป! ปัญหาโทรศัพท์เครื่องร้อนเกินไปนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยเคล็ดลับบางอย่าง ซึ่งในบทความนี้เราจะพูดถึงสาเหตุส่วนใหญ่ที่อาจทำให้โทรศัพท์ของคุณเครื่องร้อนเกินไปขณะใช้งาน พร้อมเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความร้อนจากเครื่องโทรศัพท์ Galaxy S21 Ultra ของคุณ

สาเหตุที่อาจทำให้โทรศัพท์ Galaxy S21 Ultra เครื่องร้อนเกินไป

Galaxy S21 Ultra

ก่อนที่เราจะไปดูเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ Galaxy S21 Ultra ของ Samsung เครื่องร้อนเกินไป หลายคนคงสงสัยกันใช่ไหมคะว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้โทรศัพท์ของคุณร้อน บางครั้ง เครื่องร้อน เกินไปจนถึงขั้นไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้จนกว่าเครื่องจะมีอุณหภูมิที่เป็นปกติ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่อาจทำให้โทรศัพท์ของคุณเครื่องร้อนมีดังนี้

  1. เล่นเกมในโทรศัพท์เป็นเวลานาน : แอปพลิเคชันเกมส่วนใหญ่ที่มีขนาดไฟล์ที่ค่อนข้างใหญ่มักจะใช้แกนประมวลผลกลางโทรศัพท์ของคุณนอกเหนือจากหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งอาจทำให้โทรศัพท์ของคุณอุ่นมากขึ้น
  2. เนื้อหาการสตรีมมิ่ง : การดู YouTube หรือ Netflix เป็นเวลาหลายชั่วโมงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่จะทำให้โปรเซสเซอร์โทรศัพท์ของคุณทำงานหนักเกินไปจนทำให้โทรศัพท์ของคุณเครื่องร้อนได้ เนื่องจากการโหลดข้อมูลวิดีโอและการแสดงผลของหน้าจอใช้ระยะเวลานานเกินไป
  3. การตั้งค่าของคุณไม่เหมาะสมกับการใช้งานโทรศัพท์ : ตรวจสอบความสว่างหน้าจอของคุณสว่างเกินไปหรือไม่? คุณใช้วอลเปเปอร์เคลื่อนไหวพร้อมวิดเจ็ตทุกที่หรือไม่? ซึ่งการกระทำแบบนี้จะทำให้ CPU ของโทรศัพท์ทำงานหนักขึ้นและทำให้อุณหภูมิของโทรศัพท์เพิ่มขึ้น
  4. แอปที่ล้าสมัย : หากโทรศัพท์ของคุณมีแอปที่มีข้อบกพร่องหรือปัญหาอื่น ๆ อาจทำให้อุณหภูมิของโทรศัพท์เพิ่มขึ้น เนื่องจากแอปเหล่านั้นจะใช้โปรเซสเซอร์ของอุปกรณ์มากเกินไป
  5. การอัปเดตซอฟต์แวร์ : โทรศัพท์อาจร้อนมากเกินไปในระหว่างการอัปเดตซอฟต์แวร์ อาจเป็นเพราะมีข้อบกพร่องในระบบปฏิบัติการที่ต้องแก้ไขผ่านการอัปเดต ซึ่งอาจต้องใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นจนทำให้โทรศัพท์เครื่องร้อน
  6. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม : การวางโทรศัพท์ไว้กลางแดดหรือในรถในวันที่อากาศร้อนอาจทำให้โทรศัพท์ของคุณเครื่องร้อนเกินไป และทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น โทรศัพท์ทุกรุ่นมีช่วงอุณหภูมิปกติ 37-43 องศาเซลเซียส หรือ 98.6-109.4 องศาฟาเรนไฮต์ นอกจากแสงแดดและความร้อนแล้ว ความเสียหายจากน้ำก็อาจทำให้โทรศัพท์ร้อนเกินไปเช่นกัน

วิธีแก้ไขปัญหาความร้อนสูงเกินไปของโทรศัพท์ Galaxy S21 Ultra

Galaxy S21 Ultra

หลังจากที่เราได้รู้ถึงสาเหตุหลัก ๆ ที่อาจทำให้โทรศัพท์ Galaxy S21 Ultra ของคุณเครื่องร้อนในขณะใช้งานแล้ว ซึ่งปัญหาโทรศัพท์ความร้อนสูงถือเป็นเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นผู้ใช้งานโทรศัพท์โดยสาเหตุมักเกิดจากปัจจัยข้างต้น แต่คุณสามารถแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ความร้อนสูง เกินไปได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  1. พยายามหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัด : ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการทำงานปกติของโทรศัพท์คือระหว่าง 0 องศาเซลเซียส ถึง 35 องศาเซลเซียส โทรศัพท์ของคุณจะร้อนเกินไปหากคุณใช้โทรศัพท์ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป 
  2. ถอดเคสโทรศัพท์หรือฝาครอบออก : พยายามอย่าใช้ฝาครอบหรือเคสที่มีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับระบายความร้อน หากเคสมีความร้อนสะสมจากโทรศัพท์ของคุณ จะทำให้โทรศัพท์ร้อน เราแนะนำให้ลองถอดฝาครอบออกเพื่อดูว่าเป็นฝาครอบที่ก่อให้เกิดปัญหาความร้อนหรือไม่
  3. ตรวจสอบที่ชาร์จของคุณ : ตรวจสอบที่ชาร์จของคุณว่าเสียหรือปลอมหรือไม่? คุณควรใช้ที่ชาร์จที่ผ่านการรับรองจาก Samsung หากคุณใช้ที่ชาร์จไม่ผ่านการรับรองจาก Samsung นอกจากจะทำให้โทรศัพท์เกิดความร้อนสูงเกินไปแล้ว ยังทำให้โทรศัพท์ของคุณเสียหายได้อีกด้วย ควรใช้ชาร์จที่เหมาะสมแล้วปัญหาอาจจะหายไป
  4. ปิดแอปพื้นหลังทั้งหมด : เมื่อมีแอปทำงานอยู่เบื้องหลังมากเกินไป โทรศัพท์ของคุณจะร้อนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว หากคุณต้องการปิดแอปพื้นหลัง ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  • แตะที่ปุ่ม “Recent key” เพื่อดูแอปที่ทำงานอยู่ทั้งหมด
  • จากนั้นแตะที่ปุ่ม “ปิดทั้งหมด” เพื่อปิดแอปทั้งหมดพร้อมกัน
  1. ลบแอปที่มีปัญหา : แอปที่มีปัญหาบางตัวอาจทำให้เกิดปัญหาความร้อนสูงเกินไปได้ เราแนะนำให้ลองเปิดใช้งานsafe mode เมื่อเปิดใช้งานโหมดนี้ โทรศัพท์ของคุณจะเรียกใช้เฉพาะแอปที่มาพร้อมเครื่อง และแอปของบุคคลที่สามทั้งหมดจะถูกปิดใช้งานชั่วคราว หากคุณต้องการใช้โหมดนี้ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  • กดปุ่มเปิด/ปิดค้างไว้จนกว่าคุณจะเห็น “ไอคอนปิดเครื่อง”
  • กดที่ไอคอนปิดเครื่องค้างไว้จนกว่าคุณจะเห็น “ไอคอน safe mode”
  • แตะที่ “ไอคอน safe mode” เพื่อรีบูทโทรศัพท์ของคุณใน safe mode 
  1. ปิด Bluetooth, 5G, ข้อมูลมือถือ, WiFi, ฮอตสปอต, บริการระบุตำแหน่ง ฯลฯ : บริการเหล่านี้ไม่เพียงแต่กินแบตเตอรี่เท่านั้น แต่ยังทำให้โทรศัพท์ร้อนขึ้นด้วย ซึ่งมันจะลดประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ลงอย่างมากและด้วยเหตุนี้อายุการใช้งานแบตเตอรี่จึงหมดเร็ว เราแนะนำให้คุณปิดบริการเหล่านั้นจะดีที่สุด

หากวิธีการเหล่านี้ใช้ไม่ได้ผล นั่นอาจเป็นเพราะว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณมีปัญหาและอาจต้องใช้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคโดยไปที่ศูนย์ Samsung Care ใกล้บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือได้ค่ะ

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

แทงบอลออนไลน์

Categories
News

Microsoft เปิดเผยฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่มีคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุด

Windows 11

มีรายงานว่า Microsoft กำลังจะเปิดตัว Windows 11 ในเร็ว ๆ นี้ และครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของระบบปฏิบัติการที่มีมาอย่างยาวนาน โดยรายงานดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก Microsoft เปิดตัว Windows 10 เวอร์ชันล่าสุด และหลังการอัปเดต Windows 10 เมื่อวันที่10 พฤษภาคม 2021 ซึ่งจากรายงานระบุว่า Windows 11 จะมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่โดดเด่น เช่น ความสามารถที่จะดาวน์โหลดและเรียกใช้แอปพลิเคชัน Android บน Windows พร้อมกับการปรับปรุง Microsoft Teams, เมนู Start และรูปลักษณ์โดยรวมของซอฟต์แวร์ที่มีความสะอาดมากยิ่งขึ้น ด้วยคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจบทความนี้จึงจะพูดถึงรายละเอียดฟีเจอร์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับ Windows 11 รวมถึงวันที่พร้อมให้ดาวน์โหลดและความเข้ากันได้ระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Windows 11 ซึ่งจะเป็นอย่างไรบ้าง มาติดตามกันเลยค่ะ

ฟีเจอร์ใหม่ 7 อย่างที่ Microsoft จะใส่ลงไปใน Windows 11

Windows 11

จากรายงานคาดว่า Microsoft จะใส่ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่หลากหลายและโดดเด่นลงไปใน Windows 11 โดยเมื่อไม่นานมานี้รูปภาพของ Windows 11 รั่วไหลออกมา ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนได้มีแนวคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะบางอย่างล่วงหน้า ซึ่งวันนี้เราก็ได้รวบรวมฟีเจอร์ใหม่ 7 อย่างที่น่าสนใจไว้ในบทความนี้ และนี่เป็นเพียงแค่คุณลักษณะใหม่ที่โดดเด่นบางส่วนเท่านั้น 

  • Windows 11 มีการออกแบบอินเทอร์เฟซใหม่ที่เหมือน Mac มากขึ้น โดยมีมุมโค้งมน เฉดสีพาสเทล มีเมนู Start และแถบงานอยู่ตรงกลาง
  • มีแอป Android แบบบูรณาการใน Windows 11 และสามารถติดตั้งได้จากภายใน Microsoft Store ใหม่ผ่าน Amazon Appstore 
  • มีวิดเจ็ตใหม่ ๆ มากมายให้เลือกสรร (ถึงแม้ว่าจะมีอยู่มาระยะหนึ่งแล้ว) และในการอัปเดต Windows 10 ล่าสุดในขณะนี้คุณสามารถเข้าถึงวิดเจ็ตได้โดยตรงจากแถบงาน และสามารถปรับแต่งอุปกรณ์เพื่อดูสิ่งที่คุณต้องการได้แล้ว
  • ทีมงานกำลังปรับโฉมหน้าการรวม Microsoft Teams เข้ากับทาสก์บาร์ของ Windows 11 โดยตรง ซึ่งจะทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น (และคล้ายกับ FaceTime ของ Apple อีกเล็กน้อย) นอกจากนี้คุณจะสามารถเข้าถึง Teams ได้จาก Windows, Mac, Android หรือ iOS ได้
  • มีการนำเอาเทคโนโลยี Xbox มาใช้งานเพื่อช่วยให้เล่นเกมได้ดีมากยิ่งขึ้น เช่น Auto HDR และ DirectStorage เพื่อปรับปรุงการเล่นเกมบนพีซี Windows ของคุณ
  • Windows 11 ได้รับการรองรับเดสก์ท็อปเสมือนที่ดีขึ้น ช่วยให้คุณตั้งค่าเดสก์ท็อปเสมือนในลักษณะที่คล้ายกับ MacOS มากขึ้น โดยสามารถสลับไปมาระหว่างเดสก์ท็อปหลายเครื่องสำหรับการใช้งานส่วนตัว ทำงาน เรียน หรือการเล่นเกม
  • เปลี่ยนจอภาพเป็นแล็ปท็อปได้ง่ายขึ้น และทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ดียิ่งขึ้น ด้วยระบบปฏิบัติการใหม่ที่มีคุณสมบัติที่เรียกว่า Snap Groups และ Snap Layouts ซึ่งอยู่ในแถบงาน และสามารถทำให้ปรากฏขึ้นหรือย่อขนาดพร้อมกันเพื่อให้สลับการทำงานได้ง่ายขึ้น 

วันที่พร้อมให้ดาวน์โหลดและความเข้ากันได้ระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Windows 11 

Windows 11

หลังจากที่ Microsoft ได้ทำการอัปเดต Windows 10 เมื่อวันที่10 พฤษภาคม 2021 ก็มีรายงานเกี่ยวกับ Windows 11 ออกมามากมาย จนล่าสุด Windows 11 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วในรุ่น Insider Preview สำหรับผู้ใช้งาน Windows Insider Program จะพร้อมใช้งานรุ่นเบต้าสาธารณะในเดือนกรกฎาคม ซึ่งมันจะเริ่มต้นขยายออกไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รองรับและเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของปี 2021 และจะยังคงขยายออกไปเรื่อย ๆ ในปี 2022 อย่างไรก็ตามมีหลายคนคาดการณ์ว่า Windows 11 จะสามารถใช้งานได้โดยทั่วไปในช่วงต้นเดือนตุลาคม

เราจะทราบได้อย่างไรว่าคอมพิวเตอร์ของเราจะเข้ากันได้กับ Windows 11? คุณสามารถเข้าไปอ่านข้อกำหนดการใช้งานได้ที่เว็บไซต์ของ Microsoft ซึ่งเบื้องต้น Microsoft จะแนะนำให้ดาวน์โหลดแอป PC Health Check เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องของคุณสามารถเข้ากันกับ Windows ใหม่ล่าสุดได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามมีผู้ใช้หลายคนรายงานว่าไม่ได้รับรายละเอียดที่เพียงพอว่าเหตุใดอุปกรณ์จึงไม่เข้ากัน โดยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน บล็อกโพสต์ของ Microsoft ระบุว่า บริษัท “กำลังลบแอปออกชั่วคราว” เพื่อแก้ไขปัญหานี้ และเครื่องมือจะกลับมาใช้งานได้ก่อนการเปิดตัว Windows 11 นอกจากนี้หากคุณซื้อพีซีเครื่องใหม่ในช่วงนี้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะมีสิทธิ์ได้รับการอัปเกรดฟรีอีกด้วยค่ะ

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สมัคร เว็บ แทง บอล

Suwanna Preebunpul
Categories
News

ทำไมเฟสบุ๊คล่ม? โลกออนไลน์สะเทือน เฟสบุ๊ค IG Whatapps ล่มพร้อมกันทั่วโลก

ช่วงเวลาประมาณ 22.30 น. สังคมออนไลน์โกลาหล เพราะ เฟสบุ๊คล่ม ใช้งานไม่ได้ โหลดข้อมูลก็ไม่ขึ้น เป็นเหตุผลให้เกิดคำถามขึ้นมากมายบนโลกโซเชียล ทำไมเฟสบุ๊คถึงล่ม? ยืนยันจากผู้ที่อาศัยอยู่ที่อเมริกาว่าในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ยังมีสื่ออื่น ๆ ที่มีเจ้าของคนเดียวกันอย่าง Messenger Instagram และ Whatsapp ก็พร้อมใจกันที่จะใช้งานไม่ได้กันอย่างพร้อมเพียง ซึ่งในขณะนี้ยังคงหาสาเหตุไม่ได้ ว่าเป็นเพราะอะไร? แต่ในขณะเดียวกัน สื่อช่องทางอื่น ๆ อย่าง Line Telegram , Kakao , Wechat ,Twitter ยังคงใช้งานได้ดี

เฟสบุ๊คล่ม ส่งผลต่อตลาดหุ้นโลก ดาวโจนส์ แนสแดก เฟสบุ๊ค ติดลบหนักมาก

นับได้ว่าเหตุการณ์ เฟสบุ๊คล่ม รวมไปถึงที่ แมสเซนเจอร์ใช้ไม่ได้ ไอจีล่ม วอทแอพก็ล่มอีกเช่นกัน ได้สร้างความวุ่นวานให้แก่โลกออนไลน์ จนถึงขั้นติดอันดับ 1 เทรนโลกการค้นหาใน Twitter #เฟสล่ม #ไอจีล่ม #Facebookdown จำนวนที่พูดถึงเรื่องนี้ทะลุ 1 แสน Tweets ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง นอกจากจะส่งผลให้ผู้คนที่มีความจำเป็นต้องใช้สื่อต่าง ๆ เพื่อติดต่อสื่อสารแล้ว เฟสล่ม วันนี้ ยังส่งผลให้ราคาหุ้นตลาดโลกยักษ์ใหญ่ในอเมริกาต้องสะเทือนกันเลยทีเดียว Dow Jones ติดลบ 1%, Nasdaq ติดลบถึง 2% และที่หนักไปยิ่งกว่านั้นคือ ในเวลาประมาณ 23.58 ราคาหุ้นของ Facebook มีแรงเทขายออกมาอย่างล้นหลาม ไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปยังจุดเดิมได้ ถึงขั้นร่วงหนักไปถึง 5% เลยทีเดียว ทำให้เซียนหุ้นต่างพากันส่ายหน้า

บทสรุป แล้วจะใช้งานได้เมื่อไหร่?

เฟสบุ๊คล่ม จะใช้งานได้เมื่อไหร่? ในขณะนี้ยังคงไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่า Facebook Messenger Instagram และ Whatapps จะกลับมาใช้งานได้เมื่อไหร่ ในขั้นต้นทางต้นสังกัดได้ออกมาแถลงว่ากำลังแก้ไขระบบที่ขัดข้อง ให้เร็วที่สุด โดยได้มีการออกมาชี้แจง ดังนี้

เฟสบุ๊คลุ่ม

“We’re aware that some people are having trouble accessing our apps and products. We’re working to get things back to normal as quickly as possible, and we apologize for any inconvenience.”

แปลได้ว่า “ทางเราทราบดีว่าบางคนมีปัญหาในการเข้าถึงแอพพลิเคชั่น และสื่อโซเชียลอื่น ๆ ของเรา ในขณะนี้เรากำลังแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่าง ให้กลับมาใช้งานได้อย่างปกติโดยเร็ว และทางเราต้องขออภัยอย่างยิ่งในความไม่สะดวกในทุก ๆ อย่าง”

ทางเราขอแนะนำว่า สำหรับเฟสล่ม วันนี้ คนที่ใช้งาน สื่อสาร กับผู้อื่นทางช่องทางดังกล่าวเป็นประจำ อาจจะต้องติดต่อกันผ่านช่องทางอื่นที่ใช้ได้ก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการหัวร้อนจนเกินไป ในระหว่างที่รอให้ทางทีมงานเฟสบุ๊คแก้ไข

Categories
สอนใช้

เคล็ดลับแก้ปัญหาจอสัมผัส Samsung Galaxy Z Fold 3 ตอบสนองช้า ให้กลับมารวดเร็วเหมือนได้เครื่องใหม่

Galaxy Z Fold 3

ถ้าหากพูดถึงโทรศัพท์จากค่าย Samsung ที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนี้หลายคนคงจะนึกถึงสมาร์ทโฟนจอพับรุ่นที่ 3 อย่าง Galaxy Z Fold 3 สมาร์ทโฟนจอพับดีไซน์สุดล้ำและแข็งแกร่งที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดช่วยให้หน้าจอด้านในแสดงผลได้เต็มที่โดยไม่มีรอยแหว่งมาขัดหูขัดตา แต่อย่างไรก็ตามมีผู้ใช้งานบางส่วนต่างร้องเรียนเกี่ยวกับหน้าจอ Galaxy Z Fold 3 ตอบสนองต่อการสัมผัสของผู้ใช้งานช้าเกินไป และต้องการวิธีการแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งหากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังประสบปัญหานี้ สามารถติดตามเคล็ดลับการแก้ปัญหาจอสัมผัส Galaxy Z Fold 3 ตอบสนองช้า ให้กลับมาทำงานเร็วขึ้นได้ในบทความนี้เลยค่ะ

คุณสมบัติของหน้าจอ Galaxy Z Fold 3

Galaxy Z Fold 3

Samsung ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนจอพับ Galaxy Z Fold 3 เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนเรือธงของกลุ่ม ซัมซุง กาแลคซี ที่ได้รับการปรับปรุงความทนทานของโทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอและตัวป้องกันที่ด้านบนทำให้ความทนทานของจอแสดงผลแบบรวมตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยมีถึง 80% ด้วยการใช้หน้าจอทั้งด้านนอกและด้านในเป็นแบบ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.2 นิ้วครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับหน้าจอ ที่สำคัญมาพร้อมกับค่า Refresh Rate 120Hz ที่ทำให้หน้าจอมีความลื่นไหลกว่าเดิม และยังปรับการแสดงผลได้หลากหลายขึ้น แต่หากคุณกำลังประสบปัญหาจอสัมผัส Galaxy Z Fold 3 ตอบสนองช้าเกินไป เราขอแนะนำให้แก้ปัญหานี้ด้วยเคล็ดลับดี ๆ ที่อยู่ด้านล่างนี้…

วิธีแก้ปัญหาหน้าจอสัมผัส ตอบสนองช้าเกินไป

Galaxy Z Fold 3

ถึงแม้ว่า Samsung จะใส่ค่า Refresh Rate 120Hz ใน Galaxy Z Fold 3 เพื่อเพิ่มความไวในการสัมผัสหน้าจอ แต่ก็ยังมีผู้ใช้งานหลายคนออกมารีวิวในโลกออนไลน์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าจอ ซึ่งหากใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับความไวในการสัมผัสหน้าจอ Samsung Galaxy Z Fold 3 และต้องการแก้ไขปัญหานี้ เราขอแนะนำเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการปรับปรุงความไวของการสัมผัสหน้าจอของคุณ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  1. เปิดความไวในการสัมผัส : นี่เป็นตัวเลือกที่จะช่วยป้องกันหน้าจอที่อาจส่งผลต่อหน้าจอสัมผัสและลดความไวของหน้าจอได้ ให้คุณลองเพิ่มความไวในการสัมผัสของหน้าจอด้วยขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “Display”
  • เลื่อนลงและแตะ “Touch sensitivity” และสลับเป็น “On”
  1. ปรับ Touch and hold delay : การตั้งค่านี้จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดระยะเวลาก่อนที่ระบบจะจดจำการสัมผัสของคุณเป็นการแตะหรือการพัก ให้คุณลองปรับการหน่วงเวลาการแตะค้างไว้ด้วยขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “Accessibility”
  • จากนั้นให้เลือก “Interaction and dexterity”
  • แล้วแตะถัดไปที่ “Touch and hold delay”
  • จากนั้นเลือกระยะเวลาที่กำหนดให้ (สั้น ; 0.5 วินาที , ปานกลาง ; 1 วินาที) , ยาว ; 1.5 วินาที หรือ กำหนดเอง)
  1. ปรับ Tap duration : นี่เป็นคุณสมบัติระยะเวลาการแตะ ซึ่งค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 0.10 วินาทีที่โทรศัพท์ของคุณจะตอบสนอง หากคุณต้องการเปลี่ยนระยะเวลาการแตะให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “Accessibility”
  • จากนั้นให้เลือก “Interaction and dexterity”
  • แตะถัดไปที่ “Tap duration” แล้วสลับเป็น “On”
  • จกานั้นคุณจะสามารถปรับระยะเวลาได้โดยแตะที่ปุ่ม +/-
  1. เปิดการใช้งาน Ignore repeated touches : คุณลักษณะนี้มีค่าเริ่มต้น การสัมผัสที่สามารถทำได้ภายใน 0.1 วินาที การสัมผัสเพิ่มเติมทั้งหมดภายในเวลานี้จะถูกละเว้น ซึ่งช่วงเวลาสามารถปรับได้ถึง 4 วินาที ภายในเวลานี้ จะตรวจพบเฉพาะสัมผัสแรกเท่านั้น และการแตะหลายครั้งในช่วงเวลานี้จะถูกละเว้น หากคุณต้องการเปิดใช้ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “Accessibility”
  • จากนั้นให้เลือก “Interaction and dexterity”
  • แตะถัดไปที่ “Ignore repeated touches” และสลับเป็นตัวเลือก “On”
  • ตอนนี้คุณก็สามารถตั้งค่าและปรับเวลาได้โดยแตะที่ปุ่ม +/-
  1. เปิดใช้งานการป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ : นี่เป็นคุณสมบัติการป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วยทำให้คุณสามารถปกป้องโทรศัพท์ของคุณจากการถูกสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจได้ หากต้องการเปิดใช้งานการป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะไปที่ “Display”
  • แตะไปที่ “Accidental touch protection” และสลับเป็นตัวเลือก “On”

นอกจาก Samsung จะใช้หน้าจอเป็นแบบ Dynamic AMOLED 2X ที่ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus แล้วยังมีการติดฟิล์มกันรอยมาให้อีกด้วย เพื่อช่วยเสริมการเกาะป้องกันหน้าจอจากการสัมผัสหรือจากการกระแทก…

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

ufabetไม่มีขั้นต่ํา

HILO-88.COM
HILO-88.COM