สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
News แนะนำแอปฯ

เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone คือใคร?

ตั้งแต่สมาร์ทโฟนได้พัฒนามาถึงจุดที่สามารถใช้คำสั่งผ่านเสียงผู้ใช้สมาร์ทโฟน ของระบบปฎิบัติการต่าง ๆ เช่น iOS และ Android ผ่านการพูดออกไป ตามภาษาของของแต่ละประเทศ แต่เราเองก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าเสียงที่ตอบสนองจากระบบปฎิบัติการนั้น จริง ๆ แล้วคือเสียงของใคร เสียงที่ผ่านการสังเคราะห์มาผ่านกระบวนการทางคอมพิวเตอร์ หรือเสียงจากมนุษย์จริง ๆ กันแน่ เพราะว่าการออกเสียงบางทีก็ชวนให้งงไม่ใช่เล่น ๆ โดยเฉพาะเสียงของแอประบบนำทางต่าง ๆ แต่เราเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า เทคโนโลยีเหล่านี้หลังจากการพัฒนาอย่างไม่เคยหยุด มันก็ช่วยให้ชีวิตคนเราง่ายขึ้นจริง ๆ ในทุก ๆ กิจกรรมที่ทำในขณะเร่งรีบ เช่น การขับรถยนต์ ขี่มอเตอร์ไซค์นั่นเอง หรือ อยู่บนยานพาหนะทางน้ำ

เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone
หน้าจอขณะเรียกใช้งานสิริ

ถ้าหากเราอยากรู้ ว่า siri ที่เราใช้งานกันทุกวันนั้นจริง ๆ แล้วเป็นเสียงของใคร เท่าที่เราได้ทำการค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข่าวต่าง ๆ ก็พบว่าจริง ๆ แล้ว คือ เสียงของ Susan Bennett (ซูซาน เบนเน็ต) เพราะเธอได้เป็นคนออกมายอมรับเองเมื่อปี 2013 ว่าเธอเป็นเจ้าของเสียง Siri ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ

ซูซาน เบนเน็ต หรือ ซูซาน อลิซเบนเน็ต เป็นศิลปินเสียง ชาวอเมริกัน และเคยเป็นอดีตนักร้องของวงดนตรีอย่าง Roy Orbison (รอย ออร์บิสัน) เจ้าของเพลงดัง อย่าง Oh, Pretty Woman, Crying และ Domino รวมไปถึง Burt Bacharat (เบิร์ต แบแคแร็ค) ศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกันช่วงยุค ค.ศ. 1960 – 1980

เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone
Susan Bennett (ซูซาน เบนเน็ต)

เธอเริ่มต้นอาชีพที่เกี่ยวกับการใช้เสียงครั้งแรกในปี ค.ศ. 1974 โดยการบันทึกเสียงให้กับ ธนาคารแห่งชาติแห่งแรกของแอตแลนต้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Tillie the all-time Teller” นอกจากนั้นเสียงของเธอยังถูกบันทึกเป็นข้อความสำหรับ ระบบเสียงประกาศสาธารณะ ในอาคารผู้โดยสาร Delta Airline (เดลต้า แอร์ไลน์) ทั่วโลกรวมถึง ซอฟแวร์ E-Learning (อี-เลินนิ่ง), ซอฟต์แวร์นำทางระบบ จีพีเอส และระบบโทรศัพท์

เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone
ตู้ ATM ของธนาคารแห่งชาติแอตแลนต้า ที่ใช้เสียงของซูซาน เบนเน็ต หรือ Tillie the All-time teller

เสียงของเธอยังถูกนำมา ใช้ในโฆษณาโทรทัศน์ท้องถิ่นและระดับชาติต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น Ford (ฟอร์ด), Coca-Cola (โคคา-โคล่า), Cartoon Network (การ์ตูน เน็ตเวิร์ค) และ McDonald’s (แม็คโดนัลด์) เป็นต้น โดยตัวเธอเองในวัย 70 ปี ต่างเป็นที่รู้จักกันดีอย่างมากในการเป็นเสียงของผู้หญิงอเมริกันของ บริษัท แอปเปิ้ล ในชื่อ Siri (สิริ) ตั้งแต่บริการได้รับการแนะนำเป็นครั้งแรกบน iPhone 4S เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ในปี ค.ศ. 2011 โดยที่ ซูซาน เบนเน็ต เป็นเสียงของผู้ช่วยเสมือน ของ บริษัท แอปเปิ้ล จนกระทั่งการอัปเดต ของ iOS 7 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 เมษายน ปี ค.ศ. 2013

แล้วเจ้าของเสียง Siri ภาษาไทยล่ะ คือใครกันเหรอ?

จากการค้นคว้าข้อมูลขั้นเบื้องต้นพบว่าแท้จริง เสียงของ Siri บน iDevice ของบริษัทแอปเปิ้ลนั้นก็คือระบบเสียงของ Kanya (กัญญา) ซึ่งเป็นระบบเสียงภาษาไทยที่ถูกนำมาใช้ในระบบปฎิบัติการ iOS 7 ขึ้นไป แต่ถ้าเกิดว่าเป็นระบบปฎิบัติการก่อนหน้านี้ก็คือ ระบบเสียงที่มีชื่อเรียกว่า Narisa (นาริสา) นั่นเอง

แต่ระบบเสียงของ Kanya (กัญญา) ใน Siri นั้นแท้จริงแล้วก็มีการอัดเสียงจากผู้ให้เสียงที่เป็นผู้หญิงชาวไทยเรานี่เองโดยผู้ที่เป็นคนให้เสียงนั้นก็คือ คุณปุ๊ก

เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone
โฉมหน้าที่แท้จริง เจ้าของระบบเสียง Kanya (กัญญา) ให้เสียงโดยคุณปุ๊กนั่นเอง

ก็ถือว่าบทความนี้นั้นก็ช่วยแก้ความสงสัยที่หลาย ๆ คนอาจจะอยากรู้กันมานานว่าแท้จริงระบบเสียงต่าง ๆ มีกระบวนการ ขั้นตอน และความเป็นมาอย่างไร เพราะเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่เคยหยุดการพัฒนา เรื่องเหล่านี้เลยกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวพอสมควร อย่างปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ

 

https://soundcloud.com/futuretalk95/the-story-behind-siri-with-the-original-voice-of-siri-susan-bennett-070720

https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9620000082749

https://thefinanser.com/2014/01/siri-once-worked-for-a-bank.html/

https://www.108blog.net/who-is-kanya-thai-voice-of-siri/https://www.108blog.net/who-is-kanya-thai-voice-of-siri

เว็บบาคาร่าฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
News

Microsoft เผยตัวอย่าง Office 2021 for Mac พร้อมเปิดให้บริการภายในปีนี้

Microsoft

ในปัจจุบัน Office 365 หรือ Microsoft 365 มีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 258 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งจำนวนที่มากที่สุดใช้ผลิตภัณฑ์ชุดนี้กับผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยคาดว่าแรงหนุนที่ทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นเกิดจากสถานการณ์ COVID-19 และการเปลี่ยนแปลงในการทำงานระยะไกลของหลาย ๆ บริษัท และเมื่อไม่นานมานี้ Microsoft ได้ประกาศเปิดตัว Office 2021 for Mac ใหม่พร้อมกับการปรับปรุงแอปการทำงานร่วมกันของ Teams ซึ่งวันนี้ผู้เขียนก็ได้รวบรวมข้อมูลว่ามีอะไรใหม่ ๆ ใน Microsoft Office 2021 for Mac ที่น่าสนใจบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยค่ะ

มีอะไรใหม่ ๆ ใน Microsoft Office 2021 บ้าง?

Microsoft ได้ทำการสร้าง Office 2021 ทั้งเวอร์ชัน Mac และ Windows โดยบริษัท Microsoft ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์เวอร์ชันจะมุ่งเน้นไปที่ Office LTSC สำหรับธุรกิจเชิงพาณิชย์ และเมื่อไม่นานมานี้ Microsoft ได้เปิดเผยตัวอย่างของ Office LTSC และ Office 2021 for Mac อย่างเป็นทางการ ซึ่งทาง Microsoft จะเปิดเผยตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่พร้อมใช้งานอย่างเต็มรูปแบบภายในปลายปีนี้ 

Office LTSC ได้มีการปรับปรุงระยะเวลาการใช้งานเพียง “จ่ายครั้งเดียวใช้งานได้เป็นเวลา 5 ปีเท่านั้น” จากเมื่อก่อนที่จ่ายครั้งเดียวสามารถใช้งานได้มากถึง 7 ปี โดยราคาสำหรับผู้ใช้รายบุคคลจะมีราคาเท่าเดม แต่ราคาสำหรับผู้ใช้แบบองค์กรจะมีการปรับขึ้น 10%

สำหรับ Office 2021 Standard for Mac ประกอบไปด้วย Word, Excel, PowerPoint, Outlook, OneNote, OneDrive และ Teams ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะได้รับการอัปเดตประมาณเดือนละครั้งในช่วงการแสดงตัวอย่างและการใช้งานได้ทั้งบน Apple Silicon และ Intel Macs ส่วนจะมีฟีเจอร์อะไรใหม่ ๆ บ้าง ทาง Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน แต่คาดการณ์ว่า Office 2021 จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่อย่าง รองรับโหมดมืด (Dark Mode) รวมถึงการปรับปรุงการช่วยการเข้าถึง และเพิ่มฟีเจอร์ Dynamic Arrays และ XLOOKUP ใน Excel

Microsoft

มีอะไรใหม่ใน Microsoft Teams บ้าง?

บริษัท Microsoft ได้อัปเดต Teams สำหรับ iOS (พร้อมปรับปรุง สำหรับ Android บางประการด้วย) ซึ่งผู้ใช้งาน iOS จะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การจัดการสตรีมการสนทนาสำหรับผู้ใช้ iPhone และ iPad ซึ่งจะสามารถดูปักหมุดและจัดการแชทได้ อีกทั้งยังมีการอัปเดตการตอบสนองสตรีมสดด้วยอิโมจิใหม่ ๆ แบบเคลื่อนไหวทั้งไลก์ (ชูนิ้วโป้งขึ้น) รัก (หัวใจ) ปรบมือและหัวเราะในการประชุม และการเพิ่มความสามารถในการเปลี่ยนพื้นหลังในการโทรและการประชุม นอกจากนี้คุณสมบัติใหม่อีกอย่างที่สำคัญ คือ เมื่อจัดกำหนดการประชุม Teams ผู้ใช้ iPhone และ iPad สามารถเชิญรายชื่อสมาชิกหรือกลุ่มเพื่อเพิ่มสมาชิกทั้งหมดลงในการประชุมได้

อะไรทำให้ Windows สามารถใช้ได้กับผู้ใช้ Mac

 Insiders ช่วยให้ผู้ใช้ Windows สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชัน Linux ได้จากการสนับสนุนแอป GUI บนระบบย่อยของ Windows สำหรับ Linux ซึ่งการสนับสนุน Linux GUI ของ Microsoft แสดงให้เห็นถึงขอบเขตกลยุทธ์ของบริษัทที่ไม่ต้องการเป็นแค่ระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ต้องการบริการจัดหาซอฟต์แวร์และโครงสร้างพื้นฐานภายในระบบนิเวศคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ในบริบทนี้มันทำให้เราเห็นว่า Windows สำหรับ ARM สามารถใช้ได้กับผู้ใช้ Mac ผ่านการทำงานของ Parallels Desktop ระบบปฏิบัติการ Windows บน Mac ทำให้ M1 Macs สามารถรันระบบปฏิบัติการได้เร็วกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Microsoft อาจมีแผนในการทำให้ระบบปฏิบัติการของตนพร้อมใช้งานเป็นระบบไคลเอนต์บนคลาวด์ อีกด้วย

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

Google ประกาศเปิดตัว Chrome 90 ฟังก์ชันที่อนุญาตให้เบราว์เซอร์เชื่อมต่อกับเวอร์ชัน HTTPS ของ URL

Chrome 90

เมื่อไม่นานมานี้ Google ได้เปิดตัว Chrome 90 เวอร์ชันเสถียรที่ให้ความสำคัญกับการใช้การเชื่อมต่อที่เข้ารหัสไปยังเว็บไซต์ คุณลักษณะที่น่าสนใจที่สุดของ Chrome 90 ช่วยให้ผู้ใช้สร้างลิงก์ที่ระบุข้อความที่เลือกและสนับสนุนตัวแปลงสัญญาณโอเพนซอร์สโดยการปรับให้เหมาะกับการประชุมทางวิดีโอ 

เนื่องจาก Chrome มีการอัปเดตเบื้องหลัง ผู้ใช้ส่วนใหญ่จึงรีเฟรชได้โดยเปิดเบราว์เซอร์ใหม่ หากต้องการอัปเดตด้วยตนเองให้เลือก “เกี่ยวกับ Google Chrome” จากเมนูความช่วยเหลือใต้ไอคอนสามจุดที่ด้านขวาบน แท็บผลลัพธ์จะแสดงว่าเบราว์เซอร์ได้รับการอัปเดตหรือแสดงขั้นตอนการดาวน์โหลดก่อนที่จะนำเสนอปุ่มเปิดใหม่ ผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้ Chrome สามารถดาวน์โหลด Chrome 90  สำหรับ Windows, macOS และ Linux ได้โดยตรง สำหรับเบราว์เซอร์ Android และ iOS สามารถดาวน์โหลด Chrome 90 ได้ที่ Google Play และ App Store 

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Google Chrome 90

Chrome 90 เป็นเวอร์ชันที่ฟังก์ชันอนุญาตให้เบราว์เซอร์เชื่อมต่อกับเวอร์ชัน HTTPS ของ URL ของเว็บไซต์ที่แสดงในแถบที่อยู่ โดยเบราว์เซอร์จะนำทางไปยังเว็บไซต์เป้าหมายโดยใช้ HTTPS ซึ่งคุณลักษณะนี้จะช่วยปรับปรุงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ที่รองรับโปรโตคอล ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ต้องการเข้าเว็บ world.com ในแถบที่อยู่ของ Chrome เบราว์เซอร์จะถือว่าที่อยู่เป็นแบบค่าเริ่มต้น นั่นคือ https://world.com และหากเข้าถึงเว็บไซต์แล้วมีปัญหาในการเปิดก็จะเปลี่ยนกลับเป็น https://world.com

นอกเหนือจากประโยชน์ต่อความปลอดภัยในการท่องเว็บของผู้ใช้แล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงค่าเริ่มต้นของ Chrome ที่ Google อ้างว่าส่งผลให้ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ปลายทางเริ่มต้นเร็วขึ้น Shweta Panditrao และ Mustafa Emre Acer สมาชิกของทีม Chrome ได้เขียนในบล็อก Chromium ว่า “Chrome 90 จะเชื่อมต่อโดยตรงกับปลายทาง HTTPS โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางจาก http: //ไปยัง https: // ” สำหรับ Chrome บน Desktop และ Chrome บน Android จะได้รับกาตั้งค่าเริ่มต้น HTTPS ใหม่ใน Chrome 90 แต่การอัปเดตสำหรับผู้ใช้ iOS Chrome จะตามมา “หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน 90” ในไม่ช้านักพัฒนา Chrome ทั้งสองกล่าว

Google Chrome 90 มุ่งเน้นการเชื่อมโยง

Chrome 90 ยังมีคุณลักษณะใหม่ที่สามารถสร้างลิงก์ที่เน้นความสนใจของผู้รับไปที่ตัวอย่างข้อความหรือส่วนเฉพาะของหน้าที่เชื่อมโยง เรียกว่า “link to highlight” โดย Google คุณลักษณะนี้จะจำลองฟังก์ชันของส่วนเสริมที่ Google สร้างขึ้น “ลิงก์ไปยังส่วนข้อความ” เมื่อเปิดใช้งานไฮไลต์ผู้ใช้ที่เลือกข้อความบนหน้าเว็บและคลิกขวาที่ตัวเลือกนั้นและเลือกคัดลอกลิงก์ เพื่อไฮไลต์จากเมนูป๊อปอัป ช่วยให้สามารถวางลิงก์ผลลัพธ์ในที่อยู่อีเมลหรือเอกสารได้

เมื่อผู้รับคลิกลิงก์นั้นพวกเขาจะไม่เพียงแค่ไปยัง URL ที่ต้องการเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปยังตำแหน่งที่ไฮไลต์ไว้ก่อนหน้านี้ในหน้านั้นด้วยข้อความที่ไฮไลต์ ซึ่งจะถูกไฮไลต์ด้วยสีเหลือง ตามข้อมูลจาก Google ลิงก์สำหรับไฮไลต์ “กำลังเปิดตัวบน Desktop และบน Android ส่วน iOS ก็กำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้

หากผู้ใช้ Chrome ใจร้อนเกินไปที่จะรอให้ Google เปิดใช้งานคุณลักษณะนี้ ผู้ใช้สามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยป้อน chrome://flags ในแถบที่อยู่แล้วกด Enter หรือ Return จากนั้นค้นหา “copy link to text” เปลี่ยนโหมดทางด้านขวาเป็นเปิดใช้งานและเปิดเบราว์เซอร์ใหม่

Chrome 90

ตัวแปลงสัญญาณใหม่สำหรับการสนทนาทางวิดีโอและการประชุมทางวิดีโอ

Chrome 90 รองรับตัวแปลงสัญญาณ AV1 ซึ่งเป็นรูปแบบโอเพ่นซอร์สที่ถูกส่งเสริมโดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีชื่อที่ใหญ่ที่สุดในด้านเทคโนโลยีตั้งแต่ Facebook ไปจนถึง Google Apple จนถึง Microsoft AV1 ได้รับการออกแบบให้เป็นทางเลือกที่ปลอดค่าลิขสิทธิ์สำหรับตัวแปลงสัญญาณเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับมาตรฐาน WebRTC สำหรับ Desktop ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบีบอัด ซึ่งจะช่วยลดการใช้แบนด์วิดท์ และเพิ่มคุณภาพของภาพรวมทั้งในการแชร์หน้าจอ Google อ้างว่า การเพิ่มตัวเข้ารหัสวิดีโอ AV1 ช่วยให้ผู้ใช้ที่มีการเชื่อมต่อแบนด์วิดท์ต่ำมาก ซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะสมเป็นพิเศษสำหรับใช้ในการประชุมทางวิดีโอตามโปรโตคอล WebRTC

นอกจากนี้ Chrome 90 ยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่ Google ได้นำเสนอ นั่นคือ มุมมองภาพขนาดย่อของหน้าเอกสารเมื่ออ่าน PDF ในเบราว์เซอร์, วิธีติดป้ายกำกับหน้าต่างของ Chrome เพื่อให้ระบุตัวตนได้ง่ายขึ้นเมื่อย้ายแท็บระหว่างหน้าต่าง และการปิดการแจ้งเตือน เมื่อเบราว์เซอร์แชร์หน้าจอ ส่วนการอัปเกรดครั้งต่อไปของ Chrome จะเป็น Chrome 91 ในวันที่ 25 พฤษภาคม

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
News สอนใช้

Apple ตัดสินใจใส่ชิป M1 Mac ไว้ใน iPad Pro

iPad Pro

เมื่อไม่นานมานี้ Apple ประกาศตัดสินใจใส่ชิป M1 Mac ไว้ใน iPad Pro แต่ไม่มีแผนรวม iPad Pro กับ Mac เข้าด้วยกันนะคะ เนื่องจากตลาดของ iPad Pro กับ Mac เป็นคนละตลาดกัน ไม่มีทางทับซ้อนกันแน่นอน ซึ่งการตัดสินใจใส่ชิป M1 Mac ไว้ใน iPad Pro นั้นหมายความว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในอินเทอร์เฟซผู้ใช้สำหรับ iPad Pro ของ Apple ที่มั่นใจว่าชิป M1 Mac จะปรับปรุงระบบปฏิบัติการให้มีศักยภาพดีขึ้น 

ซึ่ง Apple จะประกาศเปิดตัวในงาน WWDC 2021 ที่จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 7-11 มิถุนายนปี 2021 แต่ ณ ตอนนี้ผู้เขียนยังไม่ทราบแผนการในอนาคตที่แน่ชัดของ Apple ในการปรับปรุง iPadOS 15 แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ Bloomberg ได้อ้างว่า iPad Pro จะมีอัปเดตหน้าจอหลักที่ออกแบบใหม่พร้อมการรองรับวิดเจ็ตขั้นสูง พร้อมทั้งมีการแจ้งเตือนใหม่และการปรับปรุงครั้งใหญ่ของ iMessage 

การที่ iPad Pro ใช้โปรเซสเซอร์เดียวกันกับ Macs ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจที่อาจมุ่งไปสู่ระบบ dual-OS โดยมี iPadOS เป็นค่าเริ่มต้น สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ iPad Pro ดีขึ้นอย่างไร? วันนี้ผู้เขียนก็มีคำตอบมาฝากทุกคนแล้วค่ะ ส่วนจะเป็นอย่างบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

การใส่ชิป M1 Mac จะทำให้ iPad Pro ดีขึ้นอย่างไร?

โปรเซสเซอร์ M1 ภายในเครื่อง Mac เป็นแหล่งพลังงานที่ทรงพลังอย่างมาก ช่วยทำให้ผู้บริโภคเรียกใช้แอปพลิเคชันเกือบทุกชนิดได้เร็วกว่า Intel Mac และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย M1 ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่งหากนำชิป M1 Mac มาใส่ไว้ใน iPad Pro จะทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้ประโยชน์บางประการของ Mac บน iPad Pro ได้

iPad Pro

Apple เปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับจอแสดงผล Liquid Retina XDR และใส่ชิป M1 แบบ 8 คอร์แบบเดียวกับที่ใช้ในเครื่อง Mac ทั้งหมดกว่า 50% ที่ Apple วางจำหน่ายในปัจจุบัน พร้อมการรองรับ 5G ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ประสิทธิภาพ CPU เร็วขึ้น 50% และประสิทธิภาพของ GPU เร็วขึ้น 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ อีกทั้งการประหยัดพลังงานของชิป M1 ช่วยทำให้ iPad Pro ทำงานได้อย่างน่าทึ่งและมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานตลอดวัน และด้วยความที่ชิป M1 มีดีไซน์ที่บางและเบา โดยใช้สถาปัตยกรรมพื้นฐานแบบเดียวกับชิปตระกูล A iPadOS จึงได้รับการปรับแต่งมาสำหรับชิป M1 เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอันทรงพลังนี้ได้อย่างเต็มที่และพร้อมรับมือกับทุกสิ่ง ตั้งแต่การนำทางที่เรียบง่ายไปจนถึงเวิร์กโฟลว์การทำงานที่ต้องใช้พลังประมวลผลมากที่สุด

การที่ iPad Pro ใช้ชิป M1เดียวกันกับ Macs ทำให้สิ่งที่น่าสนใจอีกหนึ่งคือแอปพลิเคชันของ Adobe ที่เปิดตัว Photoshop สำหรับ Mac เวอร์ชัน M1 ดั้งเดิมจะมีความสามารถเช่นเดียวกันบน iPad Pro และแน่นอนว่าอาจจะทำให้ Final Cut Pro X สำหรับ iPad ใกล้จะกลายเป็นความจริง 

iPad Pro รุ่นใหม่เหมาะสำหรับใคร?

iPad Pro รุ่นใหม่มีราคาสูงกว่าหรือมากกว่าเครื่อง Mac บางรุ่นผู้เขียนจึงเห็นว่า iPad Pro รุ่นใหม่นี้เหมาะสำหรับผู้บริโภควัยทำงานที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก iPad Pro ในการทำงาน นอกจากนี้เรายังได้เห็นการเติบโตอย่างมากในสายผลิตภัณฑ์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาของ iPad 

Daniel Ives จาก Wedbush Securities ได้กล่าวว่า “Apple ได้เห็นการเติบโตครั้งสำคัญของ iPad … ที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตปีต่อปีถึง 40% ในช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมาเนื่องจากมีผู้บริโภควัยทำงานและนักเรียน นักศึกษาจำนวนมากขึ้นผ่านการรีเฟรช iPad” เนื่องจากผู้ที่ซื้อ iPad Pros ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะทำงานที่บ้าน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่ Apple จะต้องการให้อุปกรณ์เหล่านี้เป็นเครื่องทำงานที่น่าสนใจแทนที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมกัน

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
News

พบกับการเปิดตัวครั้งแรกของ Mi Mix Fold สมาร์ทโฟนพับได้เครื่องแรกจาก Xiaomi

Mi Mix Fold

เมื่อวันที่ 16 เมษายน ปี 2021 ที่ผ่านมา Xiaomi บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตและลงทุนเกี่ยวกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศจีน ได้เปิดตัว Mi Mix Fold สมาร์ทโฟนพับได้เครื่องแรกของบริษัท ทำให้โทรศัพท์รุ่นนี้เป็นที่จับตามองในท้องตลาด เนื่องจากในปี 2020 บริษัท Samsung ก็ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนพับได้เครื่องแรกเช่นเดียวกัน ทำให้เกิดตคำถามมากมายเกี่ยวกับคุณสมบัติของสมาร์ทโฟนพับ Mi Mix Fold รุ่นนี้

Mi Mix Fold เป็นสมาร์ทโฟนพับได้เครื่องแรกจาก Xiaomi มีขนาดหน้าจอ 8.01 นิ้ว เมื่อหดจอลงเหลือ 6.52 นิ้ว โดยใช้หน้าจอประเภท AMOLED แบบพับได้ พร้อมความละเอียด 1860 x 2480 พิกเซล ซึ่งมีการแบ่งขายเป็น 3 โมเดล ได้แก่ 12GB+256GB, 12GB+512GB และ 16GB+512GB นอกจากนี้ทางบริษัท Xiaomi ยังยืนยันว่าสมาร์ทโฟนพับ Mi Mix Fold สามารถพับเข้า-กางออกหน้าจอได้มากกว่า 1 ล้านครั้ง (จากการทดสอบในห้องแล็บ) 

สเปกสมาร์ทโฟนพับได้ Mi Mix Fold

การเปิดตัวของ Mi Mix Fold สมาร์ทโฟนพับเครื่องแรกจาก Xiaomi อาจช่วยทำให้บริษัทดึงดูดผู้ใช้ในวงกว้างด้วยกลุ่มราคาต่าง ๆ ได้ ซึ่งถือว่าเป็นความพยายามที่จะแข่งขัน Apple และ Samsung 2 บริษัทสมาร์ทโฟนรายใหญ่ในปัจจุบัน เสี่ยวหมี่ พยายามดึงดูดผู้ใช้ด้วยบริการระดับพรีเมียมที่มาพร้อมกับ Mi Mix Fold นอกจากนี้ผู้ซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องนี้จะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย รวมถึงค่าซ่อมหน้าจอที่ถูกกว่าสำหรับผู้ซื้อครั้งแรกโดยเฉพาะ สำหรับสเปก Mi Mix Fold สมาร์ทโฟนพับได้มีดังนี้

  • หน้าจอ : ขนาด 8.01 นิ้ว แบบ AMOLED แบบพับได้ เมื่อหดจอลงเหลือ 6.52 นิ้ว
  • ความละเอียดหน้าจอแสดงผล : 1860 x 2480 พิกเซล อัตราส่วน 4: 3
  • ชิปประมวลผล : Qualcomm SM8350 Snapdragon 888 5G (5 นาโนเมตร)
  • หน่วยความจำภายใน : 12GB+256GB, 12GB+512GB และ 16GB+512GB
  • กล้องหลัง 3 ตัว : กล้องหลัง 108 ล้านพิกเซล, กล้องอัลตราไวด์ 13 ล้านพิกเซล, กล้องเทเลมาโคร 8 ล้านพิกเซล
  • คุณสมบัติกล้องหลัง : แฟลช LED คู่, HDR, พาโนรามา
  • กล้องหน้า : 20 ล้านพิกเซล
  • คุณสมบัติกล้องหลัง : HDR, พาโนรามา
  • ลำโพง : ลำโพงสเตอริโอ (ลำโพง 4 ตัว) ผลิตโดย Harman Kardon
  • แบตเตอรี่ : 5,020 mAh รองรับชาร์จไว 67W 100% ใน 37 นาที
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 10, MIUI 12
Mi Mix Fold

Mi Mix Fold นอกจากจะมีสเปกที่น่าสนใจแล้วยังมีราคาเปิดตัวที่แบ่งขายเป็น 3 โมเดล นั่นคือ 12GB+256GB 9,999 หยวน (48,000 บาท), 12GB+512GB 10,999 หยวน (53,000 บาท) และ 16GB+512GB โทรศัพท์รุ่นพิเศษพร้อมปลอกเซรามิกพิเศษจะวางจำหน่ายในราคา 12,999 หยวน (62,000 บาท) ซึ่งในตอนนี้ Mi Mix Fold มีสีให้เลือกแค่สีเดียว นั่นคือ สีดำเซรามิก

Mi Mix Fold ใช้เซ็ตกล้องภายในตัวแรกของ Xiaomi

Mi Mix Fold สมาร์ทโฟนพับได้เครื่องแรกที่ใช้ชิปเซ็ตกล้องภายในตัวแรกของ Xiaomi ที่เรียกว่า Surge C1 เป็นชิปภาพตัวแรกของบริษัท และ Lei Jun CEOของ Xiaomi อ้างว่า “ชิปเซ็ตกล้อง Surge C1 ได้รับการปรับปรุงคุณภาพของภาพที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์พับได้ แม้จะถ่ายภาพในที่แสงน้อย”

Lei ได้กล่าวว่า Xiaomi ได้พยายามผลิตชิปมาตั้งแต่ปี 2014 และในปี 2017 บริษัทได้เปิดตัว Surge S1 ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลสมาร์ทโฟนตัวแรกที่ถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์ระดับกลางที่เรียกว่า Mi 5C นอกจากนี้ Xiaomi ยังได้เข้าร่วมกับ Apple และ Samsung ในการเน้นการออกแบบชิปอีกด้วย “เราต้องการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของเทคโนโลยีล้ำสมัย…และเราจะไม่หยุดการพัฒนาอุปกรณ์ของเรา” Lei กล่าวเพิ่มเติมด้วยภาษาจีนกลาง

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
News

ข่าวลือการออกแบบดีไซน์และขนาดจอแสดงผล iPhone 13 คาดว่าจะใกล้เคียงกับ iPhone 12

เราเชื่อว่าเหล่าสาวก iPhone ต้องกำลังตั้งตารอการเปิดตัว iPhone 13 กันอยู่ใช่ไหมคะ? ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาได้มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับ iPhone 13 หลายคนคาดการณ์ว่าการออกแบบ iPhone 13 จะมีลักษณะคล้ายกันกับตระกูล iPhone 12 และหน้าจอก้น่าจะมีเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกันเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา Apple ได้ทำการการอัปเกรดองค์ประกอบของ iPhone 12 เป็นจำนวนมาก ข่าวลือล่าสุดได้ชี้ให้เห็นว่า Apple กำลังจัดการลดการกระแทกของกล้องในปีนี้ รวมทั้งยังได้แนะนำตัวเลือกสีดำด้านสำหรับโทรศัพท์รุ่น Pro ซึ่งปรับปรุงใหม่จากสีกราไฟท์ในปัจจุบัน ซึ่งวันนี้ผู้เขียนก็ได้รวบรวมข่าวลือเกี่ยวกับการออกแบบดีไซน์และขนาดจอแสดงผลของ iPhone 13 มาฝากเหล่าสาวก iPhone ทุกคน ส่วนจะเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

iPhone 13

การออกแบบดีไซน์และจอแสดงผล iPhone 13

มีข่าวลือว่า Apple จะนำเทคโนโลยีที่มีลักษณะการทำงานเช่นเดียวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPad Pro มาใช้กับ iPhone 13 ซึ่งมันจะสามารถเปลี่ยนอัตราการรีเฟรชของกิจกรรมที่คุณทำบนโทรศัพท์ได้ ทำให้การแสดงผลดูนุ่มนวลขึ้นเมื่อเล่นเกมหรือเลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดีย 

มีรายงานจากDigiTimes และนักวิเคราะห์หลายท่านได้คาดการณ์ว่าฟีเจอร์อัตราการรีเฟรช 120Hz อาจจะมีเฉพาะใน iPhone 13 สองรุ่น นั่นคือ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่จะมีหน้าจอ 120Hz ซึ่งในความเป็นจริง iPhone 13 มีโอกาสที่จะมีอัตราการรีเฟรชที่สูงขึ้นเนื่องจากสิทธิบัตรของ Appleพูดถึงโทรศัพท์ที่มีอัตราการรีเฟรชหลายรายการซึ่งอาจมีอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 240Hz 

นอกจากนี้ยังมีการจำลอง 3D ของลักษณะ iPhone 13 ขึ้นแสดงให้เห็นรอยขนาดเล็ก โดยเฉพาะรอยบากที่กว้าง 26.8 มม. (เทียบกับ 34.83 มม. ใน iPhone 12) แต่ก็ลึก 5.35 มม. ทำให้รอยบากยื่นออกมาเล็กน้อยมากกว่า 5.3 มม. บน iPhone 12 แต่อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า การออกแบบและขนาดของ iPhone 13 จะเหมือนกับ iPhone 12 Pro Max ไม่มากก็น้อย

สำหรับสีของ iPhone 13 ผู้เขียนยังไม่ทราบว่ามีจะมีสีอะไรบ้าง แต่คาดว่าจะมีเฉดสีที่คล้ายกันกับ iPhone 12 นั่นหมายความว่าเรามีแนวโน้มที่จะเห็น iPhone 13 หลายเฉดสีที่สว่างมากขึ้น นั่นหมายความว่าคุณมีแนวโน้มที่จะเห็นตัวเลือกสีมากขึ้นพร้อมเฉดสีที่สว่างกว่าใน iPhone 13 และ iPhone 13 mini ในขณะที่ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มีแนวโน้มที่จะมีตัวเลือกเฉดสีน้อยกว่าและมีสีขรึม ๆ เช่นสีเงินกราไฟต์และสีทอง

iPhone 13 อาจใช้เทคโนโลยีหน้าจอ LTPO 

มีข่าวลือว่า Apple จะนำเทคโนโลยีหน้าจอ LTPO มาใช้กับ iPhone 13 ทั้งสองรุ่น นั่นคือ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ซึ่งจะทำให้หน้าจอแสดงผลสามารถปรับลดอัตรารีเฟรชของหน้าจอให้สูงหรือต่ำลงได้ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้งาน ส่งผลให้โทรศัพท์ประหยัดแบตเตอรี่มากกว่าเดิม นักวิเคราะห์เชื่อว่าโทรศัพท์รุ่นอื่น ๆ จะสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้ในเร็ว ๆ นี้ ในอีกสองปีข้างหน้าเราอาจเห็นสมาร์ทโฟนจำนวนมากที่ใช้หน้าจอแสดงผล LTPO แทน LTPS ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน Ross Young นักวิเคราะห์หลักของ Display Search และ DSCC คาดการณ์ว่าภายในปี 2023 โทรศัพท์ที่ใช้เทคโนโลยี LTPO รุ่นใหม่จะแซงโทรศัพท์หน้าจอ LTPS OLED มาตรฐาน แต่เห็นได้ชัดว่าข่าวลือนี้เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

เว็บบาคาร่า

HILO-88.COM
HILO-88.COM