สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
แนะนำแอปฯ

THREADS คืออะไร จะกลายมาเป็นคู่แข่ง X (TWITTER) จริงหรอ?

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา META ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ล่าสุด ซึ่งมีชื่อว่า THREADS และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า THREADS คืออะไร เนื่องจากตั้งแต่เปิดตัวก็สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีข่าวลือมาว่า THREADS เป็นแอปใหม่ที่ทาง META พัฒนามาเพื่องัดกับ X (TWITTER) โดยเฉพาะ แต่ก่อนที่จะไปดูกันว่าเขาจะงัดกันยังไง เราจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับแอปนี้กันก่อน

ไขคำตอบ THREADS คืออะไร เป็นแอปที่น่าเล่นไหม

THREADS คืออะไร

แม้ว่า META จะเปิดตัว THREADS มาหลายเดือนแล้ว แต่เราเชื่อว่าก็มีหลาย ๆ คนที่ยังไม่รู้ว่า THREADSคืออะไร หรือ แอพTHREADS คืออะไร เลยอาจจะยังทำไม่ให้ไม่ได้โหลดมาเล่น ซึ่งเราขออธิบายง่าย ๆ แบบนี้ว่า THREADS คือแอปพลิเคชันใหม่ที่พัฒนาโดย META ของ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (MARK ZUCKERBERG) ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกันกับ FACEBOOK และ INSTAGRAM ที่เราใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

THREADS คืออะไร

โดยรูปแบบของ THREADS จะเป็นแพลตฟอร์มที่คล้ายกับแอป TWITTER หรือ X ในปัจจุบันที่ถือครองโดยอีลอน มัสก์ (ELON MUSK) ซึ่งจะสามารถโพสต์ข้อความได้ไม่เกิน 500 ตัวอักษร อัปโหลดภาพได้ และวิดีโอความยาวไม่เกิน 5 นาที และรูปแบบของอินเตอร์เฟซก็ให้ความรู้สึกเหมือนถอดแบบ TWITTER มาเลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกใจที่อีลอน มัสก์ กับ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก จะตีกันได้ตลอด

THREADS คืออะไร

วิธีสมัคร THREADS

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า THREADS ใน IG คืออะไร จริงแล้ว META พัฒนา THREADS ให้ลิงค์กับ IG โดยผู้ที่มีแอคเคาท์ของ IG อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสร้างแอคเคาท์ใหม่ โดยคุณสามารถใช้ USERNAME และ PASSWORD ของ IG LOGIN ได้เลย แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีแอคเคาท์คุณต้องสมัครการใช้งาน IG ก่อน ให้คุณดาวน์โหลด IG จากนั้นเลือกไปที่ “สร้างบัญชีใหม่” แล้วกรอกอีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือของคุณ จากนั้นกด “ถัดไป” จะมีรหัสยืนยันส่งไปยังอีเมล หรือเบอร์ของคุณ ให้คุณนำรหัสที่ได้กรอกแล้วกด “ถัดไป” 

จากนั้นจะเป็นในส่วนของการตั้งรหัสผ่าน เมื่อคุณสร้างรหัสผ่านแล้วให้กด “ถัดไป” เพื่อสร้างกรอกวันเกิดของคุณ แล้วกด “ถัดไป” อีกครั้ง โดยผู้จะสามารถเล่น IG ได้จะต้องมีอายุ 13 ปีขึ้นไป แล้วเพิ่มชื่อของคุณ ซึ่งจะเป็นแคปชั่นที่จะปรากฏอยู่ใต้ชื่อบัญชีของเรา และเราสามารถเลือกใช้ประโยคเก๋ ๆ ที่แสดงตัวตนของเราก็ได้ จากนั้นแตะ “ถัดไป” และจะเป็นในส่วนของการ “สร้างชื่อผู้ใช้” หรือชื่อ IG ของเราแล้วกด “ถัดไป” แอปจะนำไปสู่การอ่านข้อกำหนดและนโยบายของ INSTAGRAM และเมื่อคุณกด “ฉันยินยอม” จากนั้นจะเป็นในส่วนของการสร้างโปรไฟล์ของคุณ เพียงเท่านี้การสร้างแอคเคาท์ไอจีก็เรียบร้อย

THREADS คืออะไร

ความแตกต่างระหว่าง THREADS กับ INSTAGRAM

มาถึงสิ่งที่หลายคนอาจจะสงสัยคือ THREADS ต่างจาก INSTAGRAM อย่างไร เพราะถึงแม้ว่าTHREADS จะมีการลิงค์กับ INSTAGRAM แต่ต้องบอกว่าการใช้งานของ 2 แอปค่อนข้างจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่า รูปแบบของ THREADS จะเป็นเหมือนกับ TWITTER แต่สำหรับ IG จะเป็นแอปที่ใช้สำหรับการแชร์รูปภาพเป็นหลัก ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้ IG จะมีการเพิ่มฟีเจอร์สตอรี่ วิดีโอสั้น และอื่น ๆ เข้ามาอีกมากมายก็ตาม

หลังรู้แล้วว่า THREADS คืออะไร แล้วแอปนี้จะสู้ TWITTER ได้จริงไหม

THREADS คืออะไร

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกันไปแล้วว่าTHREADS คืออะไรรวมไปถึงได้รู้ว่า THREADS มีไว้ทำอะไร กันไปแล้ว ก็จะรู้ได้เลยว่า MARK ZUCKERBERG จงใจที่จะปล่อยแอปนี้มางัดกับ X หรือ TWITTER ของ ELON MUSK จริง ๆ เพราะในช่วงเวลาที่ META ปล่อย แอป THREADS ออกมาคือช่วงที่ TWITTER มีปัญหา และดรามาอย่างหนักหน่วง จนดูเหมือนว่าความนิยมของ TWITTER จะลดลง

แต่พอถึงตอนนี้เรากลับรู้สึกว่าในไทย THREADS ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร และอาจจะสู่รุ่นพี่อย่าง TWITTER ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะหลังจากที่เปิดตัวไปได้กว่า 3 เดือนกระแสของ THREADS ก็ดูเงียบไปแล้วไม่เป็นที่พูดถึงต่างจาก TWITTER หรือ X ที่ถึงแม้ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร แต่การถูกหยิบเอาเทรนด์ X หรือ เทรนด์ TWITTER มาคุยกันในสื่อโซเชียลอื่น ๆ รวมไปถึงการรายงานข่าว ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่บอกได้ว่าความนิยมของ TWITTER ก็ยังคงมีมากกว่าแอปน้องใหม่อย่าง THREADS

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: hilo-88.net

Categories
สอนใช้

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE เปลี่ยนให้เก๋แสดงตัวตนของคุณ

สำหรับใครที่ใช้IPHONEหรือสินค้าหลาย ๆ ชิ้นของ APPLE ที่มี BLUETOOTH อาจจะยังไม่รู้ว่าคุณสามารถ เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE และอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งการเปลี่ยนชื่อบลูทูธนอกจากจะทำให้เรารู้ได้ว่า BLUETOOTH อันนั้นเป็นของใครแล้ว ยังให้เกิดความแตกต่างกันอีกด้วย เนื่องจากอุปกรณ์ของ APPLE จะถูกตั้งค่าเริ่มต้นให้ BLUETOOTH และ AIR DROP มีชื่อเดียวกันอุปกรณ์รุ่นนั้น ๆ เช่นIPHONE, MACBOOK AIR หรือ AIR POD เป็นต้น

วิธี เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE ทำง่าย ๆ ในไม่กี่ขั้นตอน

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE

มาถึงในส่วนของวิธีเปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONEที่ให้คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ในไม่กี่ขึ้นตอน และที่สำคัญคุณยังสามารถครีเอทชื่อได้หลากหลาย รวมไปถึงยังสามารถใส่ไอคอน หรืออิโมจิคอนได้ตามที่ต้องการอีกด้วย ซึ่ง วิธีเปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE บนทั้ง IPHONE, IPAD, MACBOOK และ AIR POD มีดังนี้

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE

เปลี่ยนชื่อบลูทูธIPHONEและ IPAD

สำหรับใครที่กำลังตามหาเปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE13 หรือรุ่นอื่น ๆ รวมไปถึง IPAD ให้คุณทำตามวิธีนี้ โดยให้คุณไปที่ “ตั้งค่า” จากนั้นเลือกไปที่ “ทั่วไป” จากนั้นเลือกไปที่ “เกี่ยวกับ” ซึ่งจะอยู่ที่ช่องแรกของฟังก์ชันนี้ และเมื่อกดเข้าไปจะเห็นคำว่า “ชื่อ” ให้คุณกดเข้าไปแล้วก็ครีเอทชื่อที่คุณต้องการได้เลย ซึ่งชื่อที่คุณตั้งจะถูกใช้สำหรับ BLUETOOTH และ AIR DROP 

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ MACBOOK

สำหรับการ เปลี่ยนชื่อ บลูทูธ บน MACBOOK ก็มีรูปแบบเช่นเดียวกับ IPHONEและ IPAD โดยให้คุณไปที่ “เมนู” จากนั้นไปที่ “ตั้งค่า” กดเลือก “ทั่วไป” ตามด้วย “เกี่ยวกับ” แล้วตั้งชื่อใหม่ตามที่ต้องการได้เลย แต่สำหรับ MACBOOK จะแตกต่างจากIPHONEและ IPAD คือสามารถตั้งชื่อ “โฮสต์ส่วนกลาง” ได้ โดยการตั้งชื่อโฮสต์ส่วนกลางจะทำให้เป็นเหมือนการจำลอง MACBOOK ขึ้นมาอีกเครื่องหนึ่ง ทำให้คุณสามารถใช้ MACBOOK ร่วมกับคนอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัย และมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยแต่ละคนจะมีแอคเคาท์เพื่อเข้าใช้งานตามตามที่ตัวเองตั้งค่า และที่สำคัญอุปกรณ์ระบบ WINDOWS ก็สามารถตั้งค่าฟังก์ชันนี้ได้เช่นกัน

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ AIR POD

สำหรับการ เปลี่ยนชื่อแอร์พอด มีความจำเป็นที่ต้องอาศัยอุปกรณ์อื่น ๆ อย่างเช่น IPHONE, IPAD และ เครื่อง MAC โดยก่อนอื่นคุณจะต้องทำการเชื่อมต่อ AIR POD กับอุปกรณ์เหล่านี้ก่อนจากนั้นไปที่ “ตั้งค่า” แล้วกดเลือกที่ชื่อ AIRPOD ของคุณ จากนั้นแตะที่ “ชื่อปัจจุบัน” แล้วกดเปลี่ยนได้เลย แต่สำหรับของใครที่ชื่อของ AIRPOD ไม่ได้ขึ้นให้ที่หน้าการตั้งค่า ให้เข้าไปที่ BLUETOOTH จากนั้นกดเลือกที่ “ไอคอนตัว i” แล้วกดเลือกไปที่ “ชื่อ” จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อ BLUETOOTH ตามที่เราต้องการได้เลย แต่สำหรับ MAC ให้เข้าไปที่ “เมนู” จากนั้นเลือก “การตั้งค่าระบบ” และกดเลือกชื่อ AIR POD ที่ขึ้นอยู่ แล้วก็สามารถเปลี่ยนชื่อได้ตามที่เราต้องการได้เลย

เหตุผลและความสำคัญของการ เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE

หลายคนอาจจะรู้สึกว่าการ เปลี่ยนชื่อบลูทูธIPHONE หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ของ APPLE นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการ เปลี่ยนชื่อ BLUETOOTH IPHONE และอุปกรณ์อื่น ๆ นั้นจะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับอุปกรณ์ APPLE ของคุณ เพราะหากเราใช้งาน BLUETOOTH นอกบ้านอย่างเช่น มหาวิทยาลัย, โรงเรียน หรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งมักจะเป็นที่ที่มีการเปิดใช้งานสินค้าของ APPLE เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เราเชื่อมต่อ BLUETOOTH และ AIR DROP ผิดอุปกรณ์ได้

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE

เพื่อน ๆ ลองคิดภาพดูว่าถ้ารอบ ๆ บริเวณนั้นมีคนใช้ IPHONE 15 จำนวน 4 เครื่องและใช้ชื่อ BLUETOOTH เป็นชื่อเดียวกันทั้งหมดคือ “IPHONE 15” แน่นอนว่าเชื่อมต่อบลูทูธผิดเครื่องได้อย่างนอน ดังนั้นการตั้งชื่อให้มีความเป็นเอกลักษณ์ หรือมีความแตกต่างก็จะเป็นหนึ่งการป้องกันการเชื่อมต่อ และการส่งข้อมูลผิดพลาดนั่นเอง

เปลี่ยนชื่อบลูทูธ IPHONE

นอกจากนี้สำหรับใครที่ใช้อุปกรณ์ของ APPLE หลาย ๆ ชิ้นก็จำให้ให้คุณรู้ว่าจะต้องเชื่อมต่อบลูทูธกับอุปกรณ์ใด เช่น อาจจะมีมือถือไอโฟนหลายเครื่องและต้องการเชื่อมต่อ AIR POD กับไอโฟนเครื่องใดเครื่องหนึ่ง การตั้งชื่อให้มีความแตกต่างกันก็จะทำให้คุณสามารถใช้งานอุปกรณ์ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้คุณไม่สับสนอีกด้วย

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: hilo-88.net

Categories
Featured

แปลภาษาบน GMAIL สามารถทำได้ง่าย ๆ ทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์

แปลภาษาบน GMAIL

สำหรับใครที่ไม่ชำนาญการแปลภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ แล้วจำเป็นต้องแปลข้อมูลที่อาจจะมีการส่งมาทาง GMAIL วันนี้เรามีวิธี แปลภาษาบน GMAIL ที่ทุกคนสามารถทำได้ง่าย ๆ ทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์เพียงไม่กี่ขั้นตอน และหลังจากนี้การแปลภาษาของคุณก็จะง่ายขึ้นกว่าที่เคย

แนะนำวิธี แปลภาษาบน GMAIL แล้วการแปลภาษาจะไม่ยากต่อไป

แปลภาษาบน GMAIL

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าคุณสามารถ แปลภาษาบนGMAIL ได้หรือยังไม่รู้ว่าบน GMAIL มีฟีเจอร์นี้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูวิธี แปลภาษา GMAIL ในโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่รองรับ GMAIL ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน ซึ่งเรารวบรวมมาให้แล้ววันนี้

แปลภาษาบน GMAIL

แปลภาษาเฉพาะคำหรือประโยคบนคอมพิวเตอร์

สำหรับการแปลภาษาใน GMAIL บนคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครื่อง PC โดยสำหรับการแปลภาษา GMAIL บน PC จะสามารถแปลทีละคำ หรือที่ละประโยคสั้น ๆ ได้ โดยคุณจะต้องทำการลากดำบนคำ หรือประโยคที่ต้องการก่อน จากนั้นจะมีไอคอน GOOGLE TRANSLATE ขึ้นมา ให้คุณคลิ๊กที่ไอคอนดังกล่าว แต่วิธีนี้จะเป็นการแปลภาษาจากข้อความต้นฉบับมาเป็นภาษาไทยเท่านั้น

แปลภาษาบน GMAIL

แปลเป็นทั้งพารากราฟ

การแปลทั้งพารากราฟบน PC จะต้องทำการลากดำก่อนจากนั้นคลิ๊กขวา แล้วเลือก GOOGLE TRANSLATE แต่ถ้าเป็นบนมือถือเช่น IPHONE หรือ IPAD จะมี ฟีเจอร์แปลภาษา มาให้ จึงทำให้คุณสามารถแปลภาษาได้ง่าย ๆ แบบที่ไม่จำเป็นต้องออกไปหน้าอื่น โดยให้คุณเลือกคำ ประโยค หรือพารากราฟที่ต้องการแปลจากนั้นเลือก “แปลภาษา” เพียงเท่านี้ก็สามารถแปลข้อความบน GMAIL ได้แล้ว

GOOGLE ปล่อยตัวอัปเดต แปลภาษาบน GMAIL ไม่ต้องเข้าแอป TRANSLATE

แปลภาษาบน GMAIL

สำหรับวิธีการแปลภาษาบน GMAILที่เราแนะนำไปข้างต้นจะเป็นวิธีแบบเก่า ซึ่งจะมีข้อจำกัดในส่วนของจำนวนคำที่จะสามารถแปลได้ แต่สำหรับใครที่ได้ อัปเดต GMAIL ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดจะมีฟีเจอร์ “แปลข้อความ” เข้ามาให้ด้วย ซึ่งฟีเจอร์นี้นอกจากจะให้คุณสามารถแปลได้ทั้งหน้า GMAIL รวมไปถึงยังสามารถเลือกแปลได้ทุกภาษาที่ GOOGLE TRANSLATE มีให้อีกด้วย

โดยวิธีใช้งานคือ ให้คุณเข้าไปที่ EMAIL ฉบับที่ต้องการแปล จากนั้นเลือก “จุด 3 จุด” ที่จะอยู่ขวามือของอีเมลฉบับนั้น เลือกไปที่ “แปลข้อความ” แล้วข้อมูลบนอีเมลทั้งหมดจะถูกแปลเป็นภาษานั้น ๆ ซึ่งการแปลภาษารูปแบบนี้สามารถใช้ได้กับทุกอุปกรณ์ที่รองรับ GMAIL

แปลภาษาบน GMAIL

เปลี่ยนภาษา GMAIL บน ANDROID 

สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนภาษาที่แสดงบนหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน GMAIL ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยการ เปลี่ยนภาษา GMAILในโทรศัพท์ ระบบ ANDROID ให้เข้าไปที่ “การตั้งค่า” จากนั้นเลือกไปที่ “ระบบ” แล้วเลือก “ภาษาและการป้อนข้อมูล” เลือก “ภาษา” และ “เพิ่มภาษา” ตามลำดับ แล้วให้คุณเลือกภาษาที่ต้องการใช้ แล้วลากภาษาไปที่ด้านบนสุดของรายการ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย แต่การตั้งค่าแบบนี้จะทำให้มีผลกับแอปอื่น ๆ ในอุปกรณ์ของคุณด้วย

แปลภาษาบน GMAIL

เปลี่ยนภาษา GMAIL บน IPHONE และ IPAD 

การ เปลี่ยนภาษา GMAIL บน IPHONE และ IPAD จะมีวิธีที่คล้ายกัน และจะทำให้มีผลกับแอปอื่น ๆ ในอุปกรณ์ของคุณอีกด้วย โดยให้คุณเข้าไปที่ “ตั้งค่า” จากนั้นเลือกไปที่ “ภาษาและภูมิภาค” จากนั้นไปที่คำว่า “เพิ่มภาษา” แล้วเลือกภาษาที่ต้องการใช้ และเมื่อเลือกได้แล้วก็เลือกไปที่ “เสร็จสิ้น”

แปลภาษาบน GMAIL

เปลี่ยนภาษา GMAIL บนคอมพิวเตอร์

การตั้งค่า GMAIL บนคอมพิวเตอร์สามารถทำได้มากกว่าการเปลี่ยนภาษา เนื่องจากคุณสามารถตั้งค่าและปรับแต่งได้ทั้ง CHAT และ MEET, ความหนาแน่น, ธีม, ประเภทกล่องจดหมาย, แผงสำหรับอ่าน และอื่น ๆ อีกมากมาย และการตั้งค่าภาษาก็เป็นหนึ่งในนั้น สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนภาษาก็ให้กดไปที่ “รูปสัญลักษณ์เกียร์” ซึ่งจะอยู่มุมขวาบน จากนั้นเลือกไปที่ “ดูการตั้งค่าทั้งหมด” และเมื่อกดเข้าไปแล้วจะมีการตั้งค่าต่าง ๆ มากมายให้เลือก แต่การตั้งค่าภาษาจะอยู่ในส่วนของ “ทั่วไป” ซึ่งจะอยู่หน้าแรกเลย

จากนั้นให้สังเกตไปที่คำว่า “ภาษา” ซึ่งจะอยู่ช่องแรกของหน้าดังกล่าว จากนั้นไปที่ช่อง “GMAIL ภาษาที่แสดง” และในช่องดังกล่าวจะขึ้นภาษาที่เราตั้งค่าไว้ตอนต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาษาไทย จากนั้นก็กดเลือกและเลื่อนหาภาษาที่เราต้องการเปลี่ยนได้เลย

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: ufaball.bet

Categories
วิธีดูแลรักษา

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า เกิดจากอะไร และแก้ไขยังไงได้บ้าง

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า คือหนึ่งในปัญหาใหญ่ของคนใช้โน๊ตบุ๊คเลยก็ว่าได้ เนื่องจากโน๊ตบุ๊คจะมาพร้อมแบตเตอรี่ในตัว จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถพกพาโน๊ตบุ๊คไปทำงานนอกสถานที่แบบที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการใช้ไฟเมื่อต้องใช้งาน แต่ถ้าหากระบบการชาร์จของโน๊ตบุ๊คมีปัญหาก็จะทำให้การใช้งานของโน๊ตบุ๊คถูกจำกัดลง หรือทำให้เปิดใช้งานไม่ได้เลยทีเดียว

5 สาเหตุ และ วิธีแก้ไข โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า 

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

หากคุณรู้สึกว่าช่วงนี้ โน๊ตบุ๊ค ชาร์จไฟไม่เข้า หรือเริ่มมีอาการชาร์จไฟไม่ค่อยเข้า และสงสัยว่าสาเหตุที่ โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้าเกิดจากอะไร และเมื่อทราบสาเหตุแล้วต้องแก้ไขยังไง วันนี้เรามีวิธีตรวจสอบว่าสาเหตุมาจากจุดไหน และวิธีแก้ไขอาการโน๊ตบุ๊คชาร์จไม่เข้าต้องทำยังไง วันนี้เรามีคำตอบมาให้ทุกคนแล้ว

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

แบตเตอรี่เสื่อม

แบตเตอรี่เสื่อมนับว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ NOTEBOOK ชาร์จไฟไม่เข้า และจะเรียกว่าเป็นปัญหายอดนิยมของคนใช้โน๊ตบุ๊คเลยก็ว่าได้ เนื่องจากแบตเตอรี่เสื่อมเกิดจากได้ทั้งอายุการใช้งาน และพฤติกรรมของใช้งาน ซึ่งหากคุณพบว่าโน๊ตบุ๊คของคุณมีระยะเวลาในการใช้งานที่ลดลง หรือใช้ไปสักพักแล้วเครื่องดับเราแนะนำให้เปลี่ยนแบตซึ่งโน๊ตบุ๊คบางรุ่นจะสามารถถอดแบตได้ คุณจึงสามารถหาซื้อแบตมาเปลี่ยนได้เองแบบที่ไม่จำเป็นต้องหิ้วไปร้านเลย

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

ปัญหาจากการเชื่อมต่อปลั๊ก

บางคนอาจจะมีการเชื่องต่อปลั๊กเพื่อชาร์จโน๊ตบุ๊คหลายจุด เช่นต่อปลั๊กพ่วงจากผนังแล้วนำสายชาร์จไปต่อไฟจากปลั๊คพ่วงอีกทีนึง อันนี้เราอาจจะต้องเช็กให้ดีก่อนว่า ชาร์จแบตไม่เข้าเกิดจากอะไร เพราะเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากปลั๊กผนัง ปลั๊กพ่วง หรือสายชาร์จโน๊ตบุ๊ค อาจจะหลวมจนทำให้ชาร์จไฟไม่เข้าได้

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

สายชาร์จชำรุด

สายชาร์จชำรุดเป็นสาเหตุที่ทำให้ สายชาร์จโน๊ตบุ๊ค ไฟไม่เข้า แต่ผู้ใช้งานสามารถสังเกตุเห็นได้ค่อนข้างง่าย ยกเว้นในกรณีที่เกิดจากการขาดหรือชำรุดภายในสาย ซึ่งหากคุณสังเกตเห็นว่าสายชาร์จมีการรอยแตก ขาด หรือหัวปลั๊กมีสนิมขึ้น ก็มั่นใจได้เลยว่าสาเหตุที่ทำให้ไฟชาร์จไม่เข้า โดยหากเป็นปัญหาที่สายโดยตรง แนะนำให้ซื้อสายมาเปลี่ยน แต่ถ้าเป็นในส่วนของปลั๊กเราแนะนำให้ลองทำความสะอาดดูก่อน แต่หากทำความสะอาดแล้วแต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ก็แนะนำให้ซื้อสายใหม่เช่นกัน

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

อะแดปเตอร์พัง

ถ้าหากคุณเช็คแล้วว่าสายชาร์จของคุณไม่มีปัญหา ไม่ขาด ไม่แตก เราอยากให้คุณลองเช็กอะแดปเตอร์ว่า อะแดปเตอร์เสียหรือไม่ เพราะถ้ามันมีปัญหาอาจจะทำให้ โน๊ ต บุ๊ค ชาร์จไฟไม่เข้า เปิดไม่ติด ซึ่งวิธีเช็คอาจะยากสักหน่อย โดยคุณอาจจะต้องหาตัวเทียบ ซึ่งควรใช้อะแดปเตอร์รุ่นเดียวกันมาลองใช้งานดูว่าสามารถใช้งานได้ไหม และถ้าหากพบว่า เมื่อเราเปลี่ยนอะแดปเตอร์โน๊ตบุ๊คสามารถชาร์จแบตได้ ก็หมายความว่าอะแดปเตอร์พัง ซึ่งจะต้องซื้ออะแดปเตอร์ใหม่มาเปลี่ยน

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

ผู้ใช้งานถอดแบตบ่อย

หากคุณมีพฤติกรรมชอบถอดแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คบ่อยแบบเกินความจำเป็น และวพบว่า โน๊ตบุ๊ค ชาร์จเข้า แต่แบตไม่ขึ้น หรือพบว่าไอคอนเปอร์เซ็นต์แบตขึ้นว่าแบตถูกถอดออก โดยที่เรายังไม่ได้ถอดแบตมีความเป็นไปได้ว่าคั่วแบตหลวม หรืออุปกรณ์ภายในเสียหายจนทำให้โน๊ตบุ๊คไม่สามารถนำพลังงานจากแบตไปใช้งานได้ หรือไม่สามารถชาร์จไฟได้เหมือนปกติ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจำเป็นจะต้องนำเครื่องไปซ่อมกับช่างเท่านั้น

ชาร์จไปเล่นได้สามารถทำให้ โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า 

โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า

หลายคนอาจจะสงสัยว่า โน๊ตบุ๊คชาร์จแบตไปเล่นไปได้ไหม จริง ๆ คือสามารถทำได้ แต่เราอยากแนะนำให้คุณเข้าไปเซ็ตแบตเตอรี่ก่อน โดยเซ็ตให้แบตสามารถชาร์ตเต็มที่ 60 – 80% เพื่อให้แบตยังมีพื้นที่เหลือสำหรับรองรับไฟที่จะเข้าในระบบ ซึ่งการชาร์จโน๊ตบุ๊คไปเล่นไปนั้นไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้โน๊ตบุ๊คชาร์จไฟไม่เข้า แต่การชาร์ไปเล่นไปจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อม และเมื่อแบตเสื่อมก็จะทำให้โน๊ตบุ๊คชาร์จแบตไม่เข้าตามมานั่นเอง

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: sa-game.bet

Categories
สอนใช้

ซ่อนรูปในไอโฟน ฟีเจอร์ดี ๆ ที่ให้คุณจัดการแอปภาพถ่ายได้ด้วยตัวเอง

ซ่อนรูปในไอโฟน

หลายคนที่ใช้ IPHONE อาจจะยังไม่รู้ว่าคุณสามารถ ซ่อนรูปในไอโฟน ของคุณได้ แบบที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยแอปอื่น ๆ เลย โดยคุณสามารถซ้อนภาพได้ง่าย ๆ บนแอปรูปภาพที่ APPEL ให้มาทั้งบน IPHONE และ IPAD เพื่อให้คุณสามารถสร้างความเป็นส่วนตัวได้ตามที่คุณต้องการ

แนะนำวิธี ซ่อนรูปในไอโฟน ทำได้ง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน

ซ่อนรูปในไอโฟน

สำหรับใครที่อยาก ซ่อนรูป ในไอโฟน มารวมกันทางนี้ เพราะวันนี้เรามีวิธี ซ่อนรูป ในไอโฟน มาฝากเพื่อน ๆ ทุกคนที่อยากสร้างความเป็นส่วนตัวแบบขีดสุด โดยจะเป็นวิธีซ่อนรูปที่ใช้สำหรับ IOS 14 หรือใหม่กว่า ซึ่งจะมีทั้งวิธีซ่อนรูปภาพ, เลิกซ่อนรูปภาพบน รวมไปถึงการซ่อนภาพแบบที่ต้องใส่รหัสผ่านก่อนเข้าดูภาพ ให้เพื่อเพื่อน ๆ สามารถทำตามกันได้ง่าย ๆ 

ซ่อนรูปในไอโฟน

วิธีซ่อนรูปภาพ

สำหรับ วิธีซ่อนรูปในไอโฟน IOS 16 ขึ้นไปจะมีความพิเศษมากกว่า IOS 14 และ IOS 15 เนื่องจากการที่คุณจะเปิดดูภาพที่ถูกซ้อนจะต้องมีการใส่รหัสผ่าน หรือ FACE ID ก่อนจึงจะสามารถดูภาพเหล่านั้นได้ ซึ่งรุ่นที่ IOS เก่ากว่าจะไม่มีฟังก์ชันนี้ โดยวิธีซ่อนภาพในอุปกรณ์ที่มี IOS 16 ขึ้นไป คือให้คุณเลือกไปที่ “ภาพที่คุณอยากซ่อน” จากนั้นเลือกไปที่ “จุด 3 จุด” ซึ่งจะอยู่ที่มุมขวาล่างของจอ และเลือกไปที่คำว่า “ซ่อน” แต่สำหรับรุ่นที่ใช้ IOS ต่ำลงมาให้คุณเลือกที่ “ภาพที่ต้องการซ่อน” จากนั้นเลือกไปที่ “แชร์” ซึ่งจะอยู่มุมซ้ายล่างของจอ จากนั้นเลื่อนลงมาหาคำว่า “ซ่อน” เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถซ่อนภาพและวิดีโอได้ตามต้องการ

ซ่อนรูปในไอโฟน

วิธีเลิกซ่อนภาพ

สำหรับใครที่อยาก เลิกซ่อนรูปในไอโฟน ก็สามารถทำได้ง่ายมาก ๆ โดยให้คุณเลือกไปที่ฟังก์ชัน “อัลบั้ม” ในแอปรูปภาพ จากนั้นให้เลื่อนลงมาข้างล่าง แล้วกดเลือก “ซ่อนอยู่” ซึ่งจะเป็นรูปดวงตา จากนั้นเลือกภาพที่ต้องการเลือกซ่อน แล้วทำวิธีเดียวกันกับขั้นตอนการซ่อนภาพแต่ให้เลือกที่ “เลิกซ่อน” แต่สำหรับคนที่หาฟังก์ชัน “ซ่อนอยู่” ไม่เจอให้เข้าไปที่ “ตั้งค่า” จากนั้นเลือกไปที่ “รูปภาพ” แล้วเลือกเปิด “การซ่อนอัลบั้ม” เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเข้าไปดูภาพที่ซ่อนอยู่ได้แล้ว

ซ่อนรูปในไอโฟน

วิธีซ่อนภาพ ใส่รหัสสำหรับ IOS 14 และ 15

อย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่า IPHONE และ IPAD ที่ใช้ IOS 14 และ 15 จะไม่มีฟังก์ชันให้ใส่รหัสผ่าน หรือ FACE ID ก่อนที่จะเปิดเข้าดูภาพที่ซ่อนอยู่ แต่เราก็สามารถ ซ่อนรูปในไอโฟน ใส่รหัส ได้เช่นกัน โดยเราจะต้องใช้แอปพลิเคชันโน้ตของ APPLE ร่วมด้วย โดยให้เลือกเขาไปที่แอปโน้ตจากนั้น “สร้างโฟลเดอร์” จากนั้นให้กดค้างที่โฟลเดอร์ แล้วเลือกไปที่ “ล็อคโน้ต” จากนั้นเพื่อน ๆ ก็สามารถตั้งค่ารหัสผ่าน, คำใบ้, TOUCH ID หรือ FACE ID ได้ แล้วเมื่อตั้งค่าความปลอดภัยของโฟลเดอร์เสร็จแล้ว

ให้เข้าไปที่แอปรูปภาพ จากนั้นเลือกภาพที่คุณต้องการซ่อน จากนั้นเลือกไปที่ “แชร์” จากไอคอนที่อยู่มุมซ้ายล่าง จากนั้นเลือกแชร์ไปที่ “โน้ต” เลือกโฟลเดอร์ที่เราสร้างไว้ จากนั้นกด “บันทึก” เพียงเท่านี้ภาพถ่ายของคุณก็ถูกซ่อนแล้ว และคุณจะสามารถลบภาพนั้นออกจากแอปรูปภาพของอุปกรณ์ได้เลย

ซ่อนรูปในไอโฟน แบบไร้ร่องรอย หายังไงก็ไม่เจอ

ซ่อนรูปในไอโฟน

สำหรับใครที่อยากซ่อนรูปในไอโฟน คุณก็สามารถทำได้ง่ายมาก ๆ โดยให้คุณดูก่อนว่า ในแอปรูปภาพของคุณมีฟีเจอร์ “ซ่อนอยู่” ขึ้นอยู่ไหม โดยวิธีดูคือให้คุณเข้าไปที่ “อัลบั้ม” จากนั้นเลื่อนลงมาข้างล่างสุด แล้วหาฟีเจอร์ “ซ่อนอยู่” หากฟีเจอร์นี้ยังปรากฏอยู่ให้เข้าไปที่ “ตั้งค่า” จากนั้นเลือกไปที่ “รูปภาพ” จากนั้นให้ปิด “การซ่อนอัลบั้ม” เพียงเท่านี้รูปที่ซ่อนก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ถ้าหากคุณอยาก ดูรูปที่ซ่อนในไอโฟน ก็เพียงแค่ไปเปิดการซ่อนอัลบั้ม เพียงเท่านี้ฟีเจอร์ “ซ่อนอยู่” ก็จะกลับมาแล้ว

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย: sa-game.bet

HILO-88.COM
HILO-88.COM