สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
News แนะนำแอปฯ

สาวก iPhone ไม่ควรพลาดกับ 7 แอปเสมือนจริงสุดเจ๋ง

แอปเสมือนจริง

ถ้าหากคุณมี iPhone และมีชุดหูฟัง VR คุณก็สามารถใช้แอปเสมือนจริง VR บนสมาร์ทโฟนของ Apple ได้ แต่แอปและเกม VR บางตัวจะทำงานร่วมกับ iPhone รุ่นล่าสุดและทำงานได้รวดเร็วดีที่สุดมากกว่ารุ่นเก่าๆ ซึ่งแอป VR ส่วนใหญ่สามารถทำงานร่วมกับ iPhone 5 ไปจนถึง iPhone X และรุ่นอื่น ๆ รวมถึง iPhone SE และ iPhone รุ่นล่าสุด เมื่อพูดถึงแอป VR นั้น Apple จะนำเสนอแอปพลิเคชันเหล่านี้ใน App Store และวันนี้เราก็มีแอปเสมือนจริงสุดเจ๋ง VR สำหรับ iPhone ที่คุณไม่ควรพลาดมาฝากทุกคน แต่ก่อนที่เราจะไปดูแอป เรามาทำความรู้จักกับเทคโนโลยี VR (Virtual Reality) กันก่อนดีกว่า

มาทำความรู้จัก VR ก่อนตัดสินใจดาวน์โหลดแอปเสมือนจริงกัน

VR (Virtual Reality) คือ การจำลองภาพให้เสมือนจริง แบบ 360 องศา ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะต้องใช้ควบคู่ไปกับอุปกรณ์สำคัญ นั่นก็คือแว่นตา VR ด้วยคุณสมบัติเด่นในการสร้างสภาพแวดล้อมเสมือน อุตสาหกรรมเกมในปัจจุบันจึงหันมาให้ความสนใจและใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาเกม VR เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเล่นเกมแบบใหม่ให้กับผู้บริโภค และทำให้เกิดแอปเสมือนจริงมากมายให้คุณได้เลือกใช้งาน

VR แตกต่างจาก AR คือจะทำงานควบคู่กับแว่นตา VR เป็น 2 จอเล็กๆครอบตาซ้ายขวา จากนั้นก็เห็นแต่ภาพจากจอ ไม่เห็นภายนอก จากนั้นเมื่อเงยหน้าก็จะเห็นภาพที่ฉายในมุมมองที่เปลี่ยนไป ส่วน AR จะมองเห็นโลกจริงภายนอกผ่านจอโทรศัพท์มือถือ หรืออาจจะผ่านแว่น AR ก็ได้ ตัวอย่างเช่น เกม Pokemon Go ที่เห็นสัตว์ประหลาดต่างๆ โผล่มาบนโลกจริงผ่านจอมือถือ

7 แอปเสมือนจริงสุดเจ๋ง สำหรับสาวก iPhone

  1. Star Chart VR: ช่วยให้คุณสามารถเข้าชมท้องฟ้าจำลองทั้งบน iPhone ผ่านทางแว่นตา VR แอปเสมือนจริงนี้

จะพาคุณไปเที่ยวชมระบบสุริยะท่ามกลางดาวเคราะห์และกลุ่มดวงดาวต่างๆ คุณสามารถกดปุ่มการทำงานบนชุดหูฟังได้ เพื่อฟังรายละเอียดของวัตถุในอวกาศ Star Chart VR เป็นเครื่องเล่นที่ยอดเยี่ยมและเป็นสุดยอดแอปเพื่อการสำรวจและการศึกษาเกี่ยวกับระบบสุริยะ

  1. Virtual Speech: หากคุณเป็นคนที่รู้สึกประหม่าในที่สาธารณะ นี่คือแอปพลิเคชันเดียวที่อาจช่วยคุณได้ Virtual Speech จะนำเสนอสถานการณ์ต่างๆที่ช่วยให้คุณสามารถฝึกพูดต่อหน้าฝูงชนได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมการประชุมทางธุรกิจ การนำเสนอสอนหน้าชั้นเรียนหรือการสัมภาษณ์งาน คุณยังสามารถเพิ่มสไลด์ของคุณเองในงานนำเสนอเพื่อความสมจริงยิ่งขึ้นได้ Virtual Speech ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวิธีการพูดในที่สาธารณะ ในขณะที่คุณสัมผัสกับแต่ละสถานการณ์ อีกทั้งแอปจะให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประสิทธิภาพของคุณและติดตามความคืบหน้าของคุณอีกด้วย
  2. VR Mojo Orbulus: หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบท่องเที่ยวประเทศ แต่ช่วงนี้ติดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คุณไม่สามารถเดินทางได้ VR Mojo Orbulus แอปฟรีที่นำเสนอการเดินทางเสมือนจริงของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลก แอปเริ่มต้นด้วยการแสดงโฟโตสเฟียร์แบบลอยซึ่งแต่ละอันจะเป็นเกตเวย์ไปยังปลายทางที่แตกต่างกัน
  3. YouTube: YouTube เป็นแหล่งรวมวิดีโอ VR ที่ยอดเยี่ยมมากมายและคุณสามารถใช้แอปเพื่อรับชมวิดีโอ VR ได้ โดยการเปิดวิดีโอ แล้วแตะที่หน้าจอเครื่องเล่น ต่อจากนั้นให้แตะไอคอนสามจุดที่มุมขวาบนแล้วเลือกตัวเลือกดูใน VR อีกหนึ่งวิธีให้ทำการค้นหาจากหน้าจอหลักของ YouTube และมองหา “VR” หรือ “virtual reality” อีกทั้งคุณยังสามารถลองดูช่อง Virtual Reality ของ YouTube ได้อีกด้วย
  4. InMind VR: แอปนี้จะทำให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งแอป InMind VR จาก Nival คุณต้องเล่นเป็นมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับภารกิจในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากโรคซึมเศร้า และคุณจะต้องทำการรักษาคนไข้ โดยคุณจะถูกย่อส่วนและเคลื่อนย้ายเข้าไปในสมองของคนไข้ ซึ่งงานของคุณคือโจมตีเซลล์ประสาทสีแดงเพื่อพยายามรักษาผู้ป่วยของคุณ รูปแบบการเล่นนั้นเรียบง่าย แต่กราฟิกนั้นยอดเยี่ยมเป็นตัวช่วยที่เพิ่มอรรถรสในการเล่น
  5. VR Space Stalker: VR Space Stalkerโดย FIBRUM เป็นแอปการต่อสู้ในอวกาศสุดเจ๋ง ด้วยกราฟิกที่น่าทึ่งและเนื้อเรื่องต่อเนื่องที่จะพาคุณผจญภัยครั้งแรกไปจนถึงการผจญภัยครั้งต่อๆไป โดยเป้าหมายของคุณคือการระเบิดเรือข้าศึกก่อนที่พวกมันจะมาถึงตัวคุณและก่อนที่โล่ของคุณจะแตกสลาย เมื่อคุณทำภารกิจสำเร็จคุณจะสามารถเลือกอาวุธที่แตกต่างกันถึงสามแบบได้ 
  6. VR Roller Coaster: เป็นแอปรถไฟเหาะเสมือนจริงสำหรับ iPhone VR Roller Coasters แอปฟรีจาก VR Games เป็นหนึ่งในแอปที่น่าสนใจ แอปนี้มีรถไฟเหาะตีลังกาสามแบบ สามารถเลือกเส้นทางเองได้การออกเดินทางรถไฟเหาะจะพาคุณขึ้นลงบิดและหมุนตามปกติ แต่ยังโยนลูปที่บ้าคลั่งซึ่งคุณจะรู้สึกได้ถึงการคว่ำ หากคุณรู้สึกเวียนหัวบนรถไฟเหาะจริง คุณอาจจะรู้สึกไม่สบายใจในการนั่งรถไฟเสมือนจริงนี้ได้

เว็บพนันบอล ดีที่สุด

Categories
News สอนใช้

วิธีสำรองข้อมูล iPhone ก่อนเปลี่ยนเครื่องใหม่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก

สำรองข้อมูล iPhone

iPhone เป็นแหล่งที่เก็บข้อมูลที่มีค่าทั้งหมดของคุณ ตั้งแต่รูปถ่ายไปจนถึงรหัสผ่านเว็บไซต์ที่ถูกจัดเก็บบนโลกดิจิทัลทั้งหมด การสูญเสียข้อมูลบน iPhone อาจส่งผลเสียแก่คุณ แต่โชคดีที่มีการสำรองข้อมูลของ iPhone ได้ง่ายๆ และยังตั้งค่าการสำรองข้อมูลให้ดำเนินการอัตโนมัติได้ การสำรองข้อมูล iPhone ยังมีประโยชน์ เมื่อคุณอัปเดตโทรศัพท์ของคุณ แทนที่จะเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น แต่คุณสามารถใช้ข้อมูลสำรอง iPhone จากโทรศัพท์เครื่องเก่า เพื่อตั้งค่าใหม่กับแอปค่ากำหนดรหัสผ่านและบุ๊กมาร์กทั้งหมดของคุณ

มีวิธีในการสำรองข้อมูล iPhone วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้โซลูชันการสำรองข้อมูล iCloud ในตัวจาก Apple ในบทความนี้เราจะนำคุณเข้าสู่ขั้นตอนในการสำรองข้อมูล iPhone โดยใช้วิธีนี้และเรายังมีคำแนะนำเกี่ยวกับโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ที่ดีที่สุดสำหรับการสำรองรูปภาพและเอกสารจาก iPhone ของคุณหากคุณต้องการใช้ 

ขั้นตอนเตรียมการสำหรับการสำรองข้อมูล iPhone ของคุณ

ด้วยโซลูชันการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ เช่น iCloud จะสำเนาข้อมูล iPhone ของคุณ ซึ่งจะถูกอัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple แม้ว่า iPhone ของคุณจะถูกทำลาย แต่ข้อมูลของคุณก็ยังปลอดภัย และการBackupข้อมูล iPhone จะเร็วขึ้นหากคุณเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ที่รวดเร็วและเสถียร สำหรับวิธีในการเตรียมสำรองข้อมูล iPhone มีดังนี้ 

  1. เปิดการตั้งค่า iCloud ใน iPhone

ในการเปิดข้อมูลสำรอง iCloud บน iPhone ของคุณก่อนอื่นให้ไปที่เมนูการตั้งค่า iCloud คุณทำได้โดยเปิดแอปการตั้งค่า แตะชื่อของคุณที่ด้านบนของหน้าการตั้งค่าหลัก ซึ่งจะนำคุณไปสู่เมนูการตั้งค่า Apple ID จากที่นี่ให้เลือก iCloud

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีพื้นที่ iCloud เพียงพอ

พื้นที่ iCloud ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่คุณมีบน iPhone คุณอาจต้องอัปเดตพื้นที่ iCloud ของคุณ โดยเฉพาะภาพถ่ายและวิดีโอที่จะใช้พื้นที่จำนวนมาก ซึ่งคุณจะได้รับพื้นที่เก็บข้อมูล iCloud ฟรี 5 GB และหากพื้นที่ไม่เพียงพอคุณอาจต้องเสียเงินซื้อแผนการสมัครใช้งานพื้นที่เก็บข้อมูล iCloud เพิ่ม สำหรับราคานั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยในประเทศไทยมีให้เลือก 3 ราคาคือ 50 GB ราคา 35 บาท, 200 GB ราคา 99 บาท และ 2 TB ราคา 349 บาท ซึ่งราคา 99 บาทกับ 349 บาท สามารถแชร์กับสมาชิกในครอบครัวได้ ในการตรวจสอบหรือเปลี่ยนแผนการสมัครใช้งานพื้นที่เก็บข้อมูล iCloud ให้กดจัดการที่เก็บข้อมูลจากนั้นเลือกเปลี่ยนแผนการจัดเก็บ คุณจะเห็นหน้าที่แสดงแผนปัจจุบันของคุณและราคาสำหรับแผนอัปเกรด หากคุณต้องการอัปเกรดให้เลือกแผนที่ต้องการแล้วกดซื้อ

  1. เปิดใช้งานการสำรองข้อมูล iCloud อัตโนมัติ

ทำได้ง่ายๆ โดยกลับไปที่หน้าการตั้งค่า iCloud แล้วกดที่ปุ่มย้อนกลับสองครั้ง เลื่อนลงไปจนกว่าคุณจะพบข้อมูลสำรอง iCloud สิ่งนี้จะปิดหรือเปิด หากปิดอยู่ให้กดปุ่ม ในหน้าถัดไปเปลี่ยนข้อมูลสำรอง iCloud เป็นเปิด ป๊อปอัปจะปรากฏขึ้นถามว่าคุณแน่ใจว่าต้องการเปิดข้อมูลสำรอง iCloud หรือไม่แล้วกด OK

  1. เริ่มการสำรองข้อมูล iCloud

ถึงตอนนี้ iPhone ของคุณได้รับการตั้งค่าให้สำรองข้อมูลไปยัง iCloud เป็นระยะ คุณสามารถบังคับให้มันอัปเดตเองได้โดยเลือกสำรองข้อมูลทันที iPhone ของคุณจะทำการสำรองข้อมูลทั้งหมดไปยังระบบคลาวด์ ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาไม่กี่นาทีในการดำเนินการ คุณสามารถออกจากหน้าการตั้งค่า iCloud และการสำรองข้อมูลจะดำเนินการต่อในเบื้องหลัง เมื่อเสร็จสิ้นเครื่องมือสำรองข้อมูลจะแสดงเวลาและวันที่ของการสำรองข้อมูลครั้งล่าสุดที่สำเร็จ

  1. เลือกสิ่งที่ต้องการสำรองข้อมูล

พื้นที่จัดเก็บข้อมูล iCloud อาจมีราคาแพง ดังนั้นจึงต้องยอมจ่ายเพื่อสำรองข้อมูลที่คุณต้องการเท่านั้น คุณมีทางเลือกมากมายในการเลือกสิ่งที่ต้องการเก็บไว้ในข้อมูลสำรองของคุณ จากหน้า iCloud Storage ให้เลือกการสำรองข้อมูล จากนั้นคุณจะเห็นรายการข้อมูลสำรองที่ถูกนำมาจาก iPhone ของคุณ ให้เลือกรายการที่คุณต้องการสำรองข้อมูล หากคุณมีโซลูชันสำรองอื่นสำหรับรูปภาพและวิดีโอของคุณ เช่นคุณสามารถปิดใช้งานการสำรองข้อมูลของคลังรูปภาพเพื่อประหยัดพื้นที่ในที่จัดเก็บข้อมูล iCloud ของคุณได้

โซลูชันการสำรองข้อมูลบนคลาวด์

หาก iPhone ของคุณเต็มไปด้วยข้อมูลสำคัญที่คุณไม่สามารถเสี่ยงให้มันสูญหายไปได้ ดังนั้นจึงควรสำรองข้อมูล iPhone ไว้อย่างเหมาะสมโดยควรใช้เครื่องมือที่ทำงานอยู่เบื้องหลังและอัปเดตโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่ข้อมูล iPhone ของคุณมีเปลี่ยนแปลง คุณยังสามารถสำรองข้อมูล iPhone ได้โดยเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ iTunes ซึ่งมีราคาถูกกว่าอย่างแน่นอน แต่คุณเสี่ยงที่จะสูญเสียข้อมูลทุกอย่างหากทั้ง PC และ iPhone ของคุณถูกขโมยหรือเสียหายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ ควรใช้โซลูชันการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ เนื่องจากข้อมูลของคุณถูกเก็บไว้ในหลายตำแหน่ง หากคุณพบว่า iCloud แพงเกินไปเนื่องจากคุณถ่ายรูปและวิดีโอจำนวนมาก ยังมีโซลูชันการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ทางเลือกที่สามารถสำรองข้อมูลรูปภาพวิดีโอและเอกสารของคุณโดยอัตโนมัติและจัดเก็บไว้ทางออนไลน์ได้

ทางเข้า bet168

Categories
News สอนใช้

วิธีตั้งค่าและวิธีใช้ Google Pay สำหรับผู้ใช้ Android ช่วยลดการสัมผัส หยุดการแพร่เชื้อโควิด 19

Google Pay

Google Pay เป็นความพยายามล่าสุดของ Google ที่จะให้ผู้ใช้ Android สามารถเข้าร่วมการชำระเงินผ่านมือถือ ซึ่งได้เริ่มต้นเมื่อย้อนกลับไปที่ Google Wallet ในเดือนพฤษภาคมของปี 2011 แล้วได้ปลี่ยนมาเป็น Android Pay ในอีก 5 ปีต่อมาพร้อมกับการใช้เทอร์มินัลที่กว้างขึ้นในร้านค้าที่มีหน้าร้านจริง ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับโทรศัพท์เพื่อรับชำระเงินผ่านมือถือได้ 

ในปี 2018 บริการนี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ Google Pay ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่เพื่อลดความซับซ้อนของสิ่งต่างๆสำหรับผู้ใช้ และมีอุปกรณ์ Android มากมายที่สามารถใช้ประโยชน์จาก Google Play ได้ ถ้าหากคุณต้องการนำ Google Pay ไปใช้ในร้านค้าคุณจะต้องมีโทรศัพท์ที่มี NFC ในตัว (นั่นคือการสื่อสารระยะใกล้) สมาร์ทโฟนสมัยใหม่ส่วนใหญ่ มีชิป NFC 

ณ จุดนี้ผู้ใช้ส่วนใหญ่มีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่รองรับ Google Pay (Google มีรายการบัตรและธนาคารที่รองรับล่าสุด) และคุณยังมีตัวเลือกในการเชื่อมต่อกับ PayPal

Google ให้ข้อมูลโดยย่อว่า ผู้ค้าปลีกรายใดใช้ Google Pay คุณจะสามารถชำระเงินด้วยโทรศัพท์ได้ทุกเมื่อที่เห็นโลโก้ Google Pay และเป็นการชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัสโดยตรง เพื่อลดการแพร่เชื้อโควิด 19 ได้อีกด้วย

ตอนนี้ Google กำลังขยาย Google Pay ไปยังหลายประเทศ ล่าสุดได้มีการออกมาเปิดเผยถึงจำนวนธนาคารที่รองรับ โดยเพิ่มอีก 25 ธนาคาร ซึ่งจะอยู่ในยุโรป, ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่นนั่นเอง แต่ว่าทั้งหมดยังรองรับที่ 14 ประเทศเหมือนเดิม ยังไม่ได้มีการเพิ่มเติมแต่อย่างใด ส่วนกรประกาศครั้งนี้ไม่ได้บอกถึงฟีเจอร์ใหม่ด้วย คาดว่าอาจจะต้องรองานเปิดตัวจริงๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าแอปนี้เหมาะสำหรับคนที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ และคนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ (ใน14 ประเทศที่รองรับ) แต่ว่า Google Pay นี้จะเปิดใช้กับประเทศอื่น ช้า เร็ว แค่ไหนต้องรอติดตามกันต่อไป

วิธีตั้งค่าเปิดใช้งาน Google Pay

Google ได้มีการเปลี่ยนแปลง App เพียงเล็กน้อยตั้งแต่สมัยของ Android Pay โดย Google Pay มีขั้นตอนที่ค่อนข้างง่ายในการเริ่มต้นใช้งานดังนี้

  1. หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง Google Pay บนโทรศัพท์ของคุณให้ดาวน์โหลดจาก Play Store จากนั้นให้เปิดแอป
  2. คุณจะได้รับแจ้งให้กำหนดสิทธิ์ตำแหน่งของคุณสำหรับการเปิดใช้บริการจะทำให้แอปแจ้งเตือนคุณเมื่อคุณเข้าไปในสถานที่ที่ให้คุณใช้บริการได้
  3. แตะเพิ่มบัตรเครดิต ในหน้าจอถัดไปคุณสามารถเลือกบัตรเครดิตที่บันทึกไว้แล้วในบัญชี Google หรือเพิ่มใหม่ได้
  4. คุณจะได้รับแจ้งให้ Google Play สแกนข้อมูลของคุณ และคุณยังสามารถเลือกกรอกหมายเลขบัตรวันหมดอายุและ CVC ด้วยตนเองได้ จากนั้นระบบจะขอให้คุณกรอกที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ หรือข้อมูลนั้นอาจถูกเติมอัตโนมัติหากมีความเกี่ยวข้องกับบัญชี Google ของคุณอยู่แล้ว
  5. จากนั้นอ่านข้อกำหนดของบัตรแล้วแตะยอมรับและดำเนินการต่อที่ด้านล่างจากนั้น Google จะติดต่อธนาคารของคุณเพื่อขออนุมัติบัตรของคุณ
  6. Google Pay จะแจ้งเตือนคุณว่าสามารถใช้บริการชำระเงินได้เมื่อปลดล็อกสมาร์ทโฟนของคุณ แตะ Got It ที่ด้านล่างเพื่อยืนยัน (หากคุณไม่ได้ใช้การล็อกหน้าจอด้วยเหตุผลใดก็ตามนี่เป็นเวลาที่ต้องเพิ่มไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ PIN หรือตัวเลือก Biometrics)
  7. บัตรเครดิตของคุณจะกำหนดให้คุณยืนยันผ่านข้อความการเข้าสู่ระบบเว็บแอปหรืออีเมล เลือกตัวเลือกของคุณแล้วแตะดำเนินการต่อที่ด้านล่าง
  8. ป้อนรหัสยืนยันที่คุณได้รับแล้วคลิกส่ง

หากคุณต้องการนำบัตรเครดิตออกเพียงแค่แตะที่บัตรเครดิตนั้น จากนั้นแตะเมนูสามจุดที่มุมขวาบนแล้วเลือกลบวิธีการชำระเงินจากรายการตัวเลือกที่ปรากฏ

วิธีใช้ Google Pay ในร้านค้า

สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของ Google Pay สำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่คือความสามารถในการชำระเงินที่ร้านค้าด้วยสมาร์ทโฟนของคุณทำให้คุณไม่ต้องพกเงินสดหรือพกบัตรเครดิตจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ด้านความปลอดภัยในการใช้แอปอีกด้วย เนื่องจากไม่มีการส่งข้อมูลบัตรเครดิตของคุณให้ร้านค้า แต่จะใช้หมายเลขเข้ารหัสเฉพาะสำหรับธุรกรรม

ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดที่ร้านค้าทุกแห่งยอมรับการชำระเงินผ่านมือถือ แต่ในปัจจุบันจำนวนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแอป Google Pay พยายามช่วยคุณในเบื้องต้นด้วยรายชื่อร้านค้าหลัก ๆ ที่รองรับ Google Pay และบัตรถาวรในแอป แสดงสถานที่ใกล้เคียงคุณที่สามารถใช้ Google Pay ได้ สำหรับวิธีใช้งานแอปในร้านค้านั้นไม่ยาก สามารถใช้ได้ง่ายๆดังนี้

  1. ปลดล็อกสมาร์ทโฟนของคุณ
  2. วางโทรศัทพ์ของคุณไว้ใกล้กับเครื่องอ่านชำระเงิน โดยทั่วไปชิป NFC จะอยู่ตรงกลางด้านบนของสมาร์ทโฟน
  3. หน้าจอจะเครื่องหมายถูกเพื่อยืนยันการชำระเงินเสร็จสมบูรณ์

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
Featured News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

วิธีตั้งค่าและวิธีใช้ Apple Pay สะดวกใช้งานง่าย ลดการสัมผัสโดยตรง

Apple Pay

Apple มีรายการอุปกรณ์ทั้งหมดที่สามารถใช้ได้กับ Apple Pay เริ่มตั้งแต่ iPhone ที่เปิดตัวในปี 2007 จนถึงรุ่นสุด ในช่วงเวลาที่ร้านค้าต่างๆ กระตุ้นให้ลูกค้าใช้วิธีการชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส Apple Pay ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่ไม่ได้สะดวกเพียงอย่างเดียว แต่กลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะมันทำให้คุณซื้อของได้เพียงแค่วางอุปกรณ์ที่เข้ากันได้ใกล้กับจุดขายโดยไม่ต้องควานหาเงินสดหรือบัตรเครดิต 

นับตั้งแต่เปิดตัว Apple Pay ในปี 2014 ถือเป็นตัวช่วยเสริมที่น่ายินดีสำหรับ iPhone และตอนนี้ใช้งานได้กับ Apple Watch, Mac และ iPad อีกด้วย Apple กล่าวว่า Apple Pay ใช้งานได้ทั้งบัตรเดบิตและบัตรเครดิตส่วนใหญ่จากธนาคารชั้นนำ คุณสามารถใช้มันชำระค่าสินค้าที่ร้านค้าที่มีหน้าร้านที่แสดงโลโก้ Apple Pay เพื่อชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส

วิธีตั้งค่าเปิดใช้งาน Apple Pay

ก่อนที่คุณจะเริ่มตั้งค่า Apple Pay คุณจะต้องมีบัตรเครดิตจากธนาคารที่รองรับได้โดย Apple มีหน้าที่จัดทำขึ้นเพื่อแจ้งให้คุณทราบว่ารับบัตรเครดิตใดบ้างที่ใช้ได้ โดยขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณอาศัยอยู่ ซึ่งคาดว่า Apple Pay อาจเปิดตัวในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ หลังพบคู่มือการใช้งานภาษาไทยบนเว็บไซต์

นอกจากนี้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้ iOS รุ่นล่าสุด และคุณจะต้องมี Apple ID ที่ลงชื่อเข้าใช้ iCould ด้วย หากคุณกำลังจะใช้ Apple จ่ายในอุปกรณ์ต่าง ๆ คุณจะต้องเพิ่มบัตรเครดิตลงในทุกอุปกรณ์ที่คุณใช้งาน เมื่อคุณมีทุกอย่างแล้วคุณก็ถึงเวลาที่จะต้องไปที่การตั้งค่าอุปกรณ์เพื่อเพิ่มบัตรเครดิต ซึ่งเป็นบัตรเครดิตที่ใช้งานร่วมกันได้ที่คุณอาจเพิ่มลงในบัญชี iTunes & App Store ของคุณและจะได้รับการแนะนำโดยอัตโนมัติ 

หากคุณใช้ iPhone และiPad มีวิธีตั้งค่าเปิดใช้งาน Apple Pay ต่อไปนี้ : 

  1. เปิดแอป Wallet บน iPhone ของคุณ
  2. แตะปุ่มบวกที่มุมขวาบนของหน้าจอ
  3. คุณจะได้รับแจ้งให้ทั้งป้อนข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
  4. คุณจะเข้าสู่หน้าจอเพื่อเพิ่มบัตรเครดิต หากคุณมีบัตรเครดิตในไฟล์จากการสำรองข้อมูล iPhone ก่อนหน้านี้คุณจะสามารถเพิ่มบัตรเครดิตเหล่านั้นได้โดยป้อน CVC คุณยังสามารถเพิ่มบัตรอื่นหรือบัตรใหม่ทั้งหมดได้หากนี่เป็นครั้งแรกที่คุณใช้ Apple Pay
  5. แอป Wallet จะแจ้งให้คุณเพิ่มบัตรเครดิตในกรอบของโปรแกรมค้นหามุมมองเพื่อให้สามารถสแกนในหมายเลขบัตรเครดิตของคุณได้ คุณยังสามารถป้อนหมายเลขบัตรเครดิตข้อมูลการหมดอายุและ CRV ด้วยตนเองได้
  6.  Apple จะยืนยันข้อมูลทั้งหมดนี้กับผู้ออกบัตรของคุณและหากทุกอย่างเรียบร้อยบัตรจะถูกเพิ่มใน Apple Wallet คุณจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อบัตรเครดิตหรือเดบิตของคุณพร้อมใช้งานผ่าน Apple Pay

วิธีใช้งาน Apple Pay

คุณสามารถใช้ Apple Pay ได้หลายวิธีรวมถึงในแอปบนหน้าเว็บและนั่งรถไฟและรถไฟใต้ดิน (ใช้ได้ประเทศที่รองรับเท่านั้น) แต่วิธีที่ใช้บ่อยที่สุดในการใช้ Apple Pay คือในร้านค้า ณ จุดซื้อขายแทนการรูดเครดิตหรือจัดการแทนเงินสด วิธีใช้ Apple Pay ในร้านค้าเพื่อชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัสกันโดยตรงจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ iPhone ที่คุณใช้ สำหรับวิธีที่เรานำมาฝากใช้ iPhone X หรือรุ่นใหม่กว่านี้ได้

วิธีใช้ Apple Pay ในร้านค้า

  1. กดปุ่มด้านข้างขวาของ iPhone สองครั้ง
  2. วิธีการเริ่มต้นชำระเงิน
  • มอง iPhone ของคุณหากคุณตั้งค่า Face ID เลือกบัตรเครดิตเริ่มต้นของคุณ แล้ววาง iPhone ของคุณไว้ใกล้กับเครื่องอ่านชำระเงิน
  • การชำระเงินด้วย Touch ID ให้กดนิ้วของคุณบน Touch ID เพื่อเลือกบัตรเครดิตเริ่มต้นของคุณ แล้ววาง iPhone ของคุณไว้ใกล้กับเครื่องอ่านชำระเงิน
  1. เมื่อการชำระเงินของคุณเสร็จสมบูรณ์คุณเห็นคำว่าเสร็จสิ้น

สุดท้ายแล้วตอนนี้คุณรู้แล้วว่า Apple Pay ทำงานอย่างไรแต่น่าเสียที่ Thailand เรายังไม่สามารถใช้ได้ แต่คาดว่าบริการจ่ายเงินผ่านมือถือจาก Apple นี้จะเปิดให้ใช้ในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ เพราะมันจะสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานอย่างแท้จริง เนื่องจากไม่ต้องพกบัตรเครดิต / เดบิต ให้กระเป๋าตังค์หนากันอีกต่อไป มีแค่มือถือเครื่องเดียวก็ช้อปได้สบายเลยค่ะ แต่ก็ต้องรอติดตามต่อไป แต่สำหรับใครที่จะเดินทางไปต่างประเทศ หรือกำลังอาศัยอยู่ต่างประเทศ Apple Pay จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้คุณแน่นอนค่ะ

sa game

Categories
Featured News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

แนะนำ YouTube Music และ Google Play Music บริการสตรีมมิ่งเพลงจาก Google

YouTube Music และ Google Play Music

Google มีบริการสตรีมมิ่งเพลงหลายอย่างซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแบรนด์และเปลี่ยนแปลงรูปแบบหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง Google Play Music และYouTube Music ก็เป็นอีกบริการสตรีมมิ่งจาก Google ที่ได้รับความนิยมทั้งคู่

โดยสมาชิกในบริการสตรีมเพลงของ Google กว่า 15 ล้านถือว่าเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มาจากบริการ YouTube Music และ Google Play Music ซึ่งไม่สามารถระบุจำนวนสมาชิกที่แน่ชัดได้ โดย Google กำลังวางแผนที่จะนำเสนอ การสมัครรับบริการ ที่จะรวมข้อเสนอทั้งสองบริการนี้เข้าไว้ด้วยกันอีกด้วย 

ทำความรู้จัก YouTube Music และ Google Play Music แอปบริการสตรีมมิ่งเพลงยอดฮิตจาก Google

ปัจจุบัน Google มีบริการเกี่ยวกับบริการสตรีมมิ่งเพลงมากมาย โดยบริการครั้งแรกที่เก่าแก่ที่สุดคือ Google Play Music ที่ช่วยให้คุณสามารถอัปโหลดเพลงหรือชำระค่าสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงเพลงมากกว่า 40 ล้านเพลง 

จากนั้นก็มี YouTube กับ YouTube Music ที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหาวิดีโอเพลงนับล้านเพลงและสามารถฟังเพลงแบบไม่โฆษณามาคั่นกลางได้ด้วย YouTube Music Premium แต่ถ้าคุณสนใจฟังและดูวีดีโอมากกว่าเราขอแนะนำ YouTube Premium ที่จะช่วยทำให้คุณได้ดูวีดีโอและฟังเสียงได้อย่างเต็มที่ไม่มีสะดุด โดยค่าสมาชิกเดือนแรกจะฟรี แล้วหลังจากหมดเดือนแรกคุณต้องชำระค่าบริการซึ่ง YouTube Music Premium 129 บาทต่อเดือน และYouTube Premium 159บาทต่อเดือน

ซึ่งในปัจจุบันผู้ใช้บริการส่วนใหญ่หันมาใช้บริการ YouTube มากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ Google วางแผนที่จะรวม YouTube Music และ Google Play Music เข้าไว้ด้วยกันอีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบแอปทั้ง2 แล้วพบว่าสาเหตุใหญ่ๆที่ผู้ใช้ติดกับ Google Play Music ก็คือ เป็นบริการที่ช่วยให้คุณสามารถอัปโหลดไฟล์เพลงของคุณเองไปยังแอปได้ ในขณะที่ YouTube Music ทำไม่ได้ แต่ในปัจจุบันสิ่งนี้จะเปลี่ยนไปเมื่อ YouTube Music ได้เปิดตัวฟีเจอร์อัปโหลดเพลง และยังสามารถเพิ่มแทร็กส่วนตัวได้ถึง 100,000 แทร็กในคลังของคุณ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 50,000 เพลงเมื่อเทียบกับ Google Play Music นี่ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า Google Play Music ถึงช่วงที่ต้องบอกลาโลกนี้ในอีกไม่นานแล้ว

Google Play Music ประกาศปิดตัว ก่อนถ่ายโอนเนื้อหาไปที่ YouTube Music

ในที่สุด Google ก็ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการจากไปของแอป Google Play Music และถ่ายโอนเนื้อหาไปที่แอป YouTube Music โดยในปี 2560 Google กล่าวว่าในที่สุดจะรวม Google Play Music เข้ากับบริการสตรีมมิ่งเพลงของ YouTube หรือที่เรียกว่า YouTube Red การย้ายครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนเกี่ยวกับการสตรีมเพลงของ Google แต่ต้องใช้เวลาเกือบสามปีกว่าจะเป็นจริง YouTube Red เป็นสตรีมมิ่งแบบเสียเงินของทาง YouTube ค่ะ

Google Play Music จะปิดตัวภายในปี 2020 โดย Google กล่าวในการโพสต์บล็อกว่า “เราต้องการให้ทุกคนมีเวลาถ่ายโอนเนื้อหาและคุ้นเคยกับ YouTube Music ดังนั้นเราจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนที่ผู้ใช้จะไม่สามารถเข้าถึง Google Play Music ได้อีกต่อไปในปีนี้”

บริษัท กล่าวว่าได้สร้างวิธีที่ “ง่ายดาย” สำหรับผู้ใช้ในการถ่ายโอนไลบรารีเพลงและเพลย์ลิสต์ไปยัง YouTube Music ตอนนี้คุณสามารถดาวน์โหลดแอป YouTube Music บนโทรศัพท์และคลิกปุ่มโอนภายในอินเทอร์เฟซ จากนั้นแอปจะอัปโหลดสินค้าที่คุณซื้อและอัลบั้มเพลย์ลิสต์ รวมถึงการตั้งค่าทั้งหมดของคุณในโปรไฟล์ Google Play Music 

Google กล่าวว่ากระบวนการนี้อาจใช้เวลาไม่กี่วินาทีหรือ2-3วัน แต่เมื่อเสร็จแล้วคำแนะนำเพลงของคุณจะปรากฏในแอป YouTube Music โดยผู้ใช้ Google Play Music ทุกคนจะได้รับอีเมลพร้อมคำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีเริ่มถ่ายโอนประวัติและเนื้อหา Google Play Music แบบเต็มรูปแบบตลอดจนพอดแคสต์ไปยังบ้านหลังใหม่ ซึ่งรวมถึงข้อมูลการเรียกเก็บเงิน “สมาชิก Google Play Music Unlimited จะได้รับสิทธิ์ระดับเทียบเท่ากับของ YouTube Music Premium หรือ YouTube Premium โดยอัตโนมัติตามระดับสิทธิของการสมัครสมาชิกปัจจุบันในราคาเดียวกัน” Google กล่าว

สำหรับพอดแคสต์ บริษัทต้องการให้ผู้ใช้ทดลอง ใช้แอปGoogle Podcasts ซึ่งคุณสามารถใช้นันเพื่อโอนการสมัครรับข้อมูลพอดคาสต์ของคุณผ่านทางหน้าเว็บนี้ได้ ในวันที่ประกาศ บริษัท Google ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้ยาก แต่ Google กล่าวต่ออีกว่า YouTube Music มีคุณลักษณะขั้นสูงบางอย่างที่เหนือกว่าบริการเก่า เช่นเพลย์ลิสต์แบบขยายและคุณลักษณะการค้นหาอัจฉริยะซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณค้นหาเพลงใหม่ในไลบรารีระบบคลาวด์ของ YouTube ได้อย่างง่ายดาย

บาคาร่า

Categories
News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

GameClub บริการสมัครสมาชิกเกมคลาสสิคในราคาเดียวกับ Apple Arcade

GameClub

เทคโนโลยีมือถือมีการเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยในแต่ละปี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะสูญเสียเกมมือถือเก่าๆ แต่ครั้งนี้ถึงเวลาส่องแสงให้กับเกมมือถือเก่า ๆ กันแล้วด้วยการเรียกคืนเกมเหล่านี้สำหรับอุปกรณ์ Android และ iOS ที่ทันสมัยและนำเสนอในแพ็คเกจที่ยอดเยี่ยมและยืดหยุ่นอย่าง GameClub ที่ให้บริการสมัครสมาชิกเกมคลาสสิคเก่าๆมากมาย 

การเล่นเกมบนมือถืออาจไม่ได้มีประวัติการเริ่มเล่นยาวนานเท่ากับเกมคอนโซลหรือPC แต่หลังจากผ่านไปกว่าทศวรรษ นับตั้งแต่เปิดตัว Apple App Store การเล่นเกมบนโทรศัพท์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายตั้งแต่นั้นมาบางครั้งก็แย่ลง ตัวอย่างเช่น นักพัฒนายังคงนำเกมเก่าบางเกมออกเนื่องจากรูปแบบธุรกิจเปลี่ยนไปใช้กลไกแบบเล่นฟรี

บริการสมัครสมาชิกที่ให้เข้าถึงเกมจำนวนมากได้ไม่ จำกัด ด้วยค่าบริการรายเดือนเพียงครั้งเดียวแสดงถึงแนวโน้มเชิงบวกไม่กี่อย่างในเกมมือถือสมัยใหม่ 

Curated Mobile Game ได้เปิดตัว GameClub หนึ่งในบริการสมัครสมาชิกที่ให้เข้าถึงเกมจำนวนมากได้อย่างไม่จำกัด ด้วยค่าบริการรายเดือนเพียงครั้งเดียวดช่วยให้ความหวังของการเล่นเกมคลาสสิคเก่าๆกลับมามีชีวิตชีวาขึ้น และการสมัครสมาชิกสามารถทำได้ทั้งแบบ Android และiOS ทำให้คุณสามารถค้นหาและเพลิดเพลินไปกับเกมมือถือเก่า ๆ ได้อย่างเต็มที่

GameClub แหล่งรวบรวมเกมเก่าสุดคลาสสิคมากมาย

เกมบนมือถือมีมาหลายปีแล้วและในช่วงเวลานั้นได้มีเกมที่ยอดเยี่ยมมากมายหายไปเพราะผู้เผยแพร่ไม่ได้อัปเดตฮาร์ดแวร์ใหม่ มันเป็นสถานการณ์น่าเศร้า เพราะเกมคลาสสิกจำนวนมากเป็นเกมระดับพรีเมียมแต่ไม่สามารถอยู่รอดได้ ในขณะเดียวกันเกมมือถือในปัจจุบันก็ถูกครอบงำโดยเกมเล่นฟรี ซึ่งหลังจากเปิดตัว Apple Arcade ก็ได้มีการนำเสนอเกมมือถือระดับพรีเมี่ยมใหม่ให้กับสมาชิก แต่เกมมือถือเก่าๆที่ถูกลืมล่ะ?

GameClub ได้จัดหาและเผยแพร่เกมมือถือรุ่นเก่าหรือพอร์ตมือถือของPCและเกมคอนโซลอีกครั้ง ในบริการสมัครสมาชิกเดียว เรียกง่ายๆว่า Criterion Channel ไลบรารีของ GameClub มีทั้งเกม Android และ iOS โดยบริการนี้จะมีเกมกว่า 125 เกมให้เลือกเล่นกันและจะมีเกมใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาทุกเดือน เช่น iBlast Moki 2, Gravity Hook, Mikey Shorts หากเกมที่คุณชื่นชอบหายไป คุณสามารถส่งคำร้องขอได้และทีมงานจะดูว่าพวกเขาทำอะไรได้บ้าง 

ด้วยการที่ GameClub ให้บริการผู้เล่นเกมย้อนยุคเฉพาะกลุ่ม โดยโฟกัสไปที่ความวินเทจนั้นหมายความว่าคอลเลกชันไม่สามารถแข่งขันกับ Apple Arcade ได้ หากพูดถึงเกมมือถือสมัยใหม่ที่ทันสมัยน่าตื่นเต้นและล้ำสมัยที่ Apple ให้เงินสนับสนุน

GameClub มีอะไรบ้างแล้วทำงานอย่างไร?

GameClub มีไลบรารีที่ได้รับการดูแล แต่แอปก็ยังมีเครื่องมือที่ช่วยให้แน่ใจว่าคุณจะสนุกกับเกมที่เล่น เมื่อคุณดาวน์โหลดแล้วสร้างบัญชีเป็นครั้งแรกแอปจะแสดงแบบทดสอบให้คุณทำเป็นการเลื่อนแบบ Tinder ซึ่งจะช่วยให้ GameClub พิจารณาได้ว่าคุณชอบเกมแนวไหนและประเภทใดที่คุณไม่ชอบ จากนั้นจะให้บริการชุดคำแนะนำชุดแรกของคุณ

จากตรงนั้นคุณสามารถเรียกดูผ่านอินเทอร์เฟซที่ลื่น เพื่อค้นหาเกมแต่ละเกมหรือดูหมวดหมู่ต่างๆเช่น เกมสำหรับครอบครัวหรือเกมใหม่ๆ เกมแต่ละเกมมีแท็กเช่น “เล่นด้วยมือเดียว” หรือ ” การสนับสนุนคอนโทรลเลอร์ ” เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อทำการค้นหา ไอคอนสีสันสดใสขนาดใหญ่แสดงให้เห็นถึงเกมในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นภาพหน้าจอหรือวิดีโอที่เล่นในเมนู 

GameClub ติดตามเกมที่คุณเล่น แม้ว่าคุณจะไม่สามารถถ่ายโอนบันทึกข้อมูลได้ แต่อย่างน้อยแอปก็รู้ว่าคุณเล่นเกมอะไรล่าสุด และเมื่อเข้าแอปอีกครั้งแอปจะถามว่าคุณต้องการเล่นเกมต่อหรือไม่ การเล่นเกมใน GameClub คุณสามารถแชร์เกมที่ชื่นชอบบนแอปโซเชียลมีเดีย เช่น facebook และ Instagram ได้

ราคาและแพลตฟอร์ม

หลังจากทดลองใช้ฟรีหนึ่งเดือน GameClub มีค่าใช้จ่าย 4.99$ หรือราว ๆ 150 บาทต่อเดือน ซึ่งราคานี้เท่ากันกับ Apple Arcade แต่แตกต่างกันที่ Apple Arcade ทำงานแค่บนอุปกรณ์ iOS เท่านั้น 

GameClub สามารถแบ่งกันเล่นกับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวได้สูงสุดถึง 12 คน และสนับสนุนการเล่นข้ามแพลตฟอร์มทั้ง iOS และ Android รวมไปถึงค่าสมาชิกเดือนแรกจะฟรี ไม่เสียค่าใช่จ่าย ใครที่ชื่อชอบการเล่นเกมคลาสสิกสมัยก่อน หรือตั้งแต่เกมยุค 90 ไม่ควรพลาดต้องลองไปสมัครบริการนี้มาใช้งานดูนะคะ

ทางเข้า bet168

Categories
News วิธีดูแลรักษา สอนใช้ แนะนำแอปฯ

แนะนำ Power Bank แบตเตอรี่สำรองพกพาสะดวกที่ดีที่สุดประจำปี 2020

Power Bank

อุปกรณ์ Power Bank แบบพกพาเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะเพียงแค่แบตเตอรี่ของโทรศัพท์ อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวัน คนที่ต้องออกจากบ้านควรพกแบตเตอรี่สำรองติดตัวไปด้วยเสมอ โดยเฉพาะคนที่ติดสมาร์ทโฟนอย่างหนัก หรือมีการใช้งานมือถือต่อเนื่องตลอดเวลา หากคุณมีแบตเตอรี่สำรองพกติดตัวไปด้วยจะยิ่งอุ่นใจยิ่งขึ้น ไม่ว่าแบตเตอรี่จะหมดตอนไหนคุณก็พร้อมชาร์จพลังงานตลอดเวลา

แบตเตอรี่สำรอง หรือ Power Bank ที่พกพาสะดวกีขายตามท้องตลาดมากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งอาจทำให้หลายคนสับสน ไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อตัวไหนดีละ และความจุที่มีจะเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ และวันนี้เราก็ได้รวบรวม 5 อันดับ Power Bank ความจุเยอะ พกพาสะดวก และน่าใช้ที่สุดในปี 2020 มาฝากทุกคนเพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเราได้ยกตัวอย่างผลการทดสอบอุปกรณ์ชาร์จมาฝากทุกคนอีกด้วย

5 อันดับ Power Bank ความจุเยอะ พกพาสะดวก และน่าใช้ที่สุดในปี 2020

หากคุณเป็นคนที่พยายามรักษาแบตเตอรี่โทรศัพท์ให้อยู่เต็ม 100% อยู่เสมอหรือกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมด ซึ่งในบางวันแบตเตอรี่ 100 % อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้นคุณควรมี Power Bank สักเครื่องติดตัวไว้เวลาออกนอกบ้าน และในวันนี้เราก็มีสุดยอด Power Bank ที่มีความจุเยอะพกพาสะดวก มาฝากทุกคน รับรองว่ารุ่นที่เรานำมาแนะนำไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน

  1. Anker PowerCore 10000: เริ่มกันที่แบตเตอรี่สำรองที่พกพาสะดวกขนาดกะทัดรัดมีน้ำหนัก 6.4 ออนซ์ ที่มีความจุถึง 10,000mAh ซึ่งเพียงพอที่จะชาร์จโทรศัพท์ได้ถึง 2 เครื่อง ด้วยความที่มีขนาด 3.6 x 2.3 x 0.9 นิ้ว ทำให้ไม่ว่ากระเป๋าขนาดใหญ่หรือกระเป๋าใบเล็กก็สามารถพกพา Power Bank นี้ได้สบายไม่กินพื้นที่ของกระเป๋า
  2. Anker PowerCore 20100: เป็นเครื่องชาร์จแบบพกพาที่ใช้เวลาในการชาร์จที่เร็วขึ้น (ทั้ง iPhone 8 Plus และ Galaxy S8) มีความจุสูงถึง 20100mAh มีน้ำหนักอยู่ที่12.6 ออนซ์ และขนาด 6.6 x 2.4 x 0.9 นิ้ว ถ้าเทียบกับความจุเท่านี้ถือว่ารุ่นนี้มีขนาดที่พกพาสะดวก ซึ่งโดยเฉลี่ย Galaxy S8 ใช้เวลา 95 นาทีในการชาร์จเต็ม และ iPhone 8 Plus ใช้เวลา 98 นาทีในการชาร์จเต็ม
  3. Poweradd Slim 2: พาวเวอร์แบงค์แบบพกพามีขนาดเล็กมากพอดีกับฝ่ามือของคุณเนื่องจากมีพลังงานมากกว่าอุปกรณ์ขนาดใกล้เคียงกันถึง 33% และความเร็วในการชาร์จนั้นเร็วพอ ๆ กับยี่ห้อที่เป็นคู่แข่ง และมีความจุ 5000mAh อีกทั้งมีน้ำหนัก 4.4 ออนซ์ และมีขนาด 3.9 x 1.3 x 1.2 นิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นคุณสามารถจับคู่กับกระเป๋าหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ของคุณได้เนื่องจาก Poweradd Slim 2 นี้มีเฉดสีเมทัลลิกสีดำ สีฟ้า สีเขียว สีชมพูและสีแดง ถูกใจสาวกสายแฟชั่นแน่นอน ซึ่งได้มีการทดลองชาร์จกับ Galaxy S8 พบว่าภายใน 15 นาทีจะได้แบตเตอรี่ 12% และใน 60 นาทีได้แบตเตอรี่ 55% ส่วน iPhone 8 Plus พบว่าภายใน15 นาทีจะได้แบตเตอรี่ 15 % และใน60 นาที ได้แบตเตอรี่ 55 %
  1. Jackery Bolt: เป็นแบตเตอรี่สำรองที่มีพอร์ต Lightning เหมาะสำหรับ iPhone มีความจุ 6000mAh และมีน้ำหนัก 6 ออนซ์ มีขนาด: 5.5 x 3.7 x 1.2 นิ้ว ทำให้พกพาใส่กระเป๋าได้สะดวก Bolt ได้มีการทดลองชาร์จกับ Galaxy S8 พบว่าภายในเวลา 1 ชั่วโมง ได้แบตเตอรี่ 81% และ iPhone 8 Plus ชารจ์ภายในเวลา 1 ชั่วโมง ได้แบตเตอรี่ 63% ซึ่งทั้ง 2 เป็นอัตราที่เร็วที่สุดสำหรับอุปกรณ์ชาร์จอื่นๆ นอกจากนี้สายชาร์จ Lightning และ micro USB ในตัวยังเป็นประโยชน์ที่ดีช่วยให้คุณไม่ต้องพกพาของคุณเองด้วย
  2. Anker PowerCore+ mini: เครื่องชาร์จแบบพกพาขนาดเล็กที่มีสีสันสวยงาม มีความจุอยู่ที่ 3350mAh มีน้ำหนัก 2.8 ออนซ์ และมีขนาด 3.7 x 0.9 x 0.9 นิ้ว เป็นมิตรกับกระเป๋าพกพาสะดวก ที่มาพร้อมกับโทนสีเมทัลลิกที่ทำให้เครื่องชาร์จนี้ดูดีขึ้น และจากการทดสอบการชาร์จ พบว่าภายใน 15 นาที iPhone 8 Plus และ Galaxy S8 ได้แบตเตอรี่เพียง 9% เท่านั้น แต่ถือว่ารุ่นนี้พกพาสะดวกที่สุด แถมมีสีสันที่สวยงามถูกใจสายแฟชั่นแน่นอน

วิธีเลือก Power Bank แบบพกพาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

การเลือกหาความจุของ Power Bank สำหรับคุณควรจะเลือกที่เป็นตัวเลข 4 ถึง 5 หลักโดยมีหน่วยเป็น mAh ตามหลังเพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าอุปกรณ์ชาร์จนี้เหมาะกับคุณมากแค่ไหน หากคุณเป็นคนที่ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์และอุปกรณ์อื่น ๆ อยู่ตลอดเวลาให้เลือกใช้แบตเตอรี่สำรองที่มีพลังงานความจุอย่างน้อย 10,000mAh และสำหรับอุปกรณ์พิเศษแต่ละเครื่องที่คุณชาร์จให้เพิ่มอย่างน้อย 5,000 mAh

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
Featured News สอนใช้

แนะนำแล็ปท็อปปี 2020 ที่ดีที่สุด พกพาง่าย มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ดีเยี่ยมสำหรับนักออกแบบ

แนะนำแล็ปท็อปปี 2020 ที่ดีที่สุด

เราเชื่อว่านักออกแบบทุกคนต่างต้องการแล็ปท็อปที่ดีที่สุดและพกพาได้พร้อมแบตเตอรี่ที่ดีเยี่ยมใช้งานได้ยาวนานสำหรับการออกแบบกราฟิก เพื่อเรียกใช้โปรแกรมต่างๆ เช่น Photoshop หรือ Adobe Premiere Pro ในขณะที่ทำงานระหว่างการพูดคุยการประชุมหรือการทำงานระหว่างเดินทาง 

เหนือสิ่งอื่นใดการซื้อแล็ปท็อปสำหรับงานออกแบบไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อ คุณควรต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่คุณเลือกสอดคล้องกับการทำงานออกแบบหรือไม่ และแล็ปท็อปที่ดีที่สุดสำหรับนักออกแบบต้องผสมผสานไปด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงานออกแบบ มีรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและบางเบาพกพาง่าย

แล็ปท็อปที่ดีที่สุดสำหรับนักออกแบบกราฟิกปี 2020

นี่คือสุดยอด 4 แล็ปท็อปแห่งปี 2020 ที่เหมาะสำหรับนักออกแบบกราฟิกที่เรานำมาแนะนำในวันนี้จะมีรุ่นไหนบ้างตามมาดูกันเลย

  1. MacBook Pro: เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์จาก Apple มีจอแสดงผลสูงสุด 16 นิ้วด้วยความละเอียด 3072 x 1920 ใช้โปรเซสเซอร์ 2.8 Ghz Intel Core i7 หรือ 2.4Ghz Intel Core i9 มี RAM สูงสุดถึง 32GB โดยมีพื้นที่จัดเก็บ 256GB SSD หรือสูงสุด 8TB SSD นอกจากนี้ยังใช้การ์ดแสดงผล AMD Radeon Pro 555 หรือ AMD Radeon Pro 5500 แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของ MacBook Pro คือความขาดแคลนตัวเลือกพอร์ตที่มีให้ ซึ่งคุณจะได้รับพอร์ต Thunderbolt 3 จำนวน 4 พอร์ต (ซึ่งเข้ากันได้กับการเชื่อมต่อ USB-C) 
  2. Microsoft Surface Laptop 3: ในขณะที่แล็ปท็อป Surface รุ่นก่อนหน้าไม่มีอะไรที่ดึงดูดนักออกแบบมากนัก แต่แล็ปท็อปรุ่น 3 ที่ใหม่กว่ากลับน่าสนใจมากขึ้น โดยรุ่นนี้มีขนาดจอแสดงผล 15 นิ้ว ความละเอียด 2496 x 1664 ใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 5 3580U หรือ AMD Ryzen 7 3780U มี RAM 8GB ถึง 16GB และมีพื้นที่จัดเก็บ 128GB ถึง 1TB SSD พร้อมการ์ดแสดงผล AMD Radeon Vega 9 และ RX Vega 11 นอกจากนี้ยังสามารถใช้ปากกา Surface บนจอแสดงผลได้ (จำหน่ายแยก) และบางมีสไตล์ไม่เหมือนใคร
  3. Dell XPS 15: XPS 15 ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับแล็ปท็อปขนาด 14 นิ้วทั่วไป แต่มีหน้าจอขนาด 15.6 นิ้วที่แทบจะไม่มีกรอบและกรอบบางมาก เป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมของ Dell ซึ่งบรรจุส่วนประกอบและเทคโนโลยีล่าสุดทั้งหมดไว้ในแพ็คเกจขนาดเล็กนี้ ซึ่งรุ่นนี้มีความละเอียด 1920 x 1080 หรือ 3840 x 2160 ใช้โปรเซสเซอร์ 8 Intel Core i5 ถึง i7 อีกทั้งมีRAM 8GB ถึง 32GB มีพื้นที่จัดเก็บ 128GB SSD ถึง 1TB SSD และการ์ดแสดงผล Nvidia GeForce GTX 1650
  4. HP Spectre x360: HP อ้างว่า Spectre x360 นี่เป็นแล็ปท็อปที่น่าประทับใจมากจากแบรนด์ย่อย ‘prosumer’ ของ HP มันไม่ได้เพรียวบางเหมือนของ Dell หรือ Lenovo แต่มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีถึง 17.5 ชั่วโมง อีกทั้งยังพ่นสไตลัสได้ฟรีซึ่งแตกต่างจาก Surface Book 2 ซึ่ง x360 มีจอแสดงผลขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 3840 x 2160 พร้อมทั้งใช้โปรเซสเซอร์ Intel Core i7-1065G7 มี RAM 16GB มีพื้นที่เก็บข้อมูล 512 GB และมีกราฟิกการ์ด Intel UHD Graphics 620

ข้อสังเกตแล็ปท็อปที่สำหรับการออกแบบกราฟิก

เมื่อคุณจะซื้อแล็ปท็อป โดยเฉพาะรุ่นพรีเมี่ยม เรื่องสเปคและคุณสมบัติถือเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งมีข้อสังเกตหลักๆดังนี้

  1. โปรเซสเซอร์: เนื่องจากนักออกแบบมีแนวโน้มที่จะใช้โปรแกรมที่ต้องใช้แล็ปท็อปที่มีประสิทธิภาพสูง ในการสร้างสรรค์งานค่อนข้างเยอะ จึงควรจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพ คุณอาจเรียกโปรเซสเซอร์ ว่า CPU (หน่วยประมวลผลกลาง) หรือว่าชิป AMD และ Intel 
  2. RAM: นักออกแบบควรเลือก RAM ในปริมาณที่เหมาะสมอย่างน้อย 8GB แต่ 16GB ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด RAM ย่อมาจากหน่วยความจำ พูดง่ายๆก็คือมันช่วยให้แล็ปท็อปของคุณสามารถทำงานให้เสร็จได้เร็วขึ้น 
  3. พื้นที่เก็บข้อมูล: พื้นที่เก็บข้อมูลมี 2 ประเภทที่ใช้ในแล็ปท็อประดับพรีเมียม ได้แก่ Harddisk Drive (HDD) และ Solid state drive (SSD) HDD เป็นรุ่นเก่า แต่ก็ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ล้าสมัย มักจะมีราคาถูกกว่าและมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมากกว่า SSD ในราคาเดียวกัน SSDs เป็นรุ่นใหม่ และมีราคาแพงมาก ช่วยให้คอมพิวเตอร์อ่านและเขียนข้อมูลได้เร็วขึ้นมาก ด้วย SSD แล็ปท็อปของคุณจะบูตได้เร็วขึ้นและเรียกใช้และเปิดโปรแกรมได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือมีพื้นที่เก็บข้อมูลน้อยลงมากเมื่อใช้ SSD
  4. การ์ดจอ: การ์ดแสดงผลหรือ GPU นั้นคล้ายกับโปรเซสเซอร์ แต่ทำงานในลักษณะที่แตกต่างกันเล็กน้อย การ์ดแสดงผลดีกว่าในเรื่องการแสดงสิ่งต่างๆบนหน้าจอ 
  5. ขนาดหน้าจอ: หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นมีประโยชน์ในการสร้างสรรค์ผลงานมาก โดยขนาดหน้าจอควรมีอย่างน้อย13 นิ้วโดยที่ 15 นิ้วหรือ 16 นิ้วถือว่ากำลังพอดี

สมัครบาคาร่า

Categories
Featured News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

แนะนำแท็บเล็ตแห่งปี 2020 เหมาะสำหรับเด็ก สร้างความบันเทิงให้กับลูก ๆ ของคุณ

แนะนำแท็บเล็ตแห่งปี 2020

ผู้ปกครองทุกคนคงทราบดีว่าแท็บเล็ต เป็นสื่อการเรียนการสอนแทนตัวหนังสือ เพราะง่ายต่อการเรียนรู้ของเด็กและสร้างความบันเทิงให้ลูก ๆ ของคุณ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคุณจะเห็นว่าแท็บเล็ตที่วางขายในท้องตลาดนั้นมีจำนวนมากมายหลากหลายแบรนด์ให้เลือกซื้อ โดยแต่ละแบรนด์ก็มีดีไซน์และประสิทธิภาพการใช้งานที่แตกต่างกันไป

 ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้คุณสามารถเปรียบเทียบแต่ละแบรนด์ได้ เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อ แต่ก็กลายเป็นปัญหาหนักใจให้คุณเหมือนกันเพราะแต่ละแบรนด์ต่างก็มีจุดเด่นที่ต่างกันทำให้คุณไม่ทราบว่าควรเลือกซื้อแท็บเล็ตแบบไหนดีที่จะเหมาะกับลูกของคุณ และวันนี้เราก็มีแท็บเล็ตแห่งปี 2020 ที่เหมาะสำหรับเด็กมาแนะนำทุกคน เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อแท็บเล็ต

แท็บเล็ตที่ดีที่สุดและเหมาะสำหรับเด็ก 

แท็บเล็ต” ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่กำลังเรียนรู้และกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาใช้งานแท็บเล็ต เพื่อการเรียนรู้ทางออนไลน์ และสร้างความบันเทิง ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีสำหรับยุคสมัยที่รวมทุกอย่างไว้ในอินเตอร์เน็ต ส่วนข้อดีที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การพกพาที่ง่ายกว่าโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์นั่นเอง แถมแท็บเล็ตบางรุ่นก็สามารถโทรได้ เหมือนโทรศัพท์อีกด้วยจะมีแท็บเล็ตรุ่นไหน แบรนด์ไหมบ้างที่แหมาะสำหรับลูกของคุณไปติดตามกันเลย

1. Apple iPad 10.2

เป็นอีกหนึ่ง แท็บเล็ต ที่เหมาะสำหรับเด็กโตหรือวัยรุ่นที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ความบันเทิงไปจนถึงการเรียนรู้ทางออนไลน์ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีและมีหน้าจอขนาดใหญ่ iPad 10.2 ค่อนข้างคุ้มค่าตามมาตรฐานของ Apple มีขนาดหน้าจอ 10.2 นิ้ว ระบบปฏิบัติการ iOS แถมยังมีส่วนลดสำหรับนักเรียนด้วย โดยราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 10,900 บาท

2. iPad Mini

iPad Mini ของ Apple เปิดตัวในปี 2019 เป็นแท็บเล็ตแบบพกพาที่ดีที่สุด โดยมีขนาดหน้าจอ 7.9 นิ้ว ฟอร์มแฟคเตอร์ที่เล็กกว่า iPad 10.2 ทำให้เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับมือเด็ก แต่มีราคาที่สูงกว่า ระบบปฏิบัติการ iOS เหมาะสำหรับเด็กโตพกพาไปโรงเรียน แถมยังมีส่วนลดสำหรับนักเรียนด้วย โดยราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 13,900บาท

3. Apple iPad 9.7 

iPad 9.7 เป็นแท็บเล็ตรุ่นคลาสสิกจาก Apple ถือเป็น iPad ที่ราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับคุณสมบัติการใช้งาน ขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้ว เข้ากันได้ดีกับปากกา Stylus สำหรับวาด, เขียน, ระบาย และรีทัชรูปภาพ ระบบปฏิบัติการ iOS มีน้ำหนักเบาและพกพาง่าย ด้วยความที่รุ่นนี้มีและหน้าจอขนาดใหญ่ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกอย่างตั้งแต่แอพไปจนถึงสตรีมมิ่ง นอกจากนี้ยังทนทานต่อการกระแทกและมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 10+ ชั่วโมง โดยมีราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 11,500 บาท 

4. Lenovo Tab 4 10

Lenovo Tab 4 10 เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้แท็บเล็ตหน้าจอขนาดใหญ่ ด้วยระบบบัญชีที่เป็นมิตรกับเด็กโดยเฉพาะที่ตกแต่งแท็บเล็ตด้วยอินเทอร์เฟซที่มีสีสันและใช้งานง่ายมากขึ้นและเคสเฉพาะที่มีจำหน่ายด้วย ทำให้แท็บเล็ตรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับเด็กๆ ซึ่งมีขนาดหน่วยความจำ 32GB อาจไม่มากเกินไป แต่มีช่องเสียบการ์ด Micro SD ทำให้คุณสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้ ระบบปฏิบัติการ Android โดยมีราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 7,499 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ถูกที่สุดในบรรดาแท็บเล็ตที่เรานำมาแนะนำ

5. Huawei MediaPad M6 Turbo 8.4

ยุคนี้ของดีจากจีนมีหลากหลายอย่าง Huawei ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สร้างภาพลักษณ์ที่น่าสนใจจนได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติที่ราคาถูก อึด และทน แถมถ่ายรูปสวย ซึ่งแท็บเล็ตรุ่น MediaPad M6 Turbo 8.4 โดยมีจุดเด่นอยู่ที่มาตรฐานของระบบเสียงชื่อดัง Harman Kardon และเทคโนโลยี Huawei Histen ที่ให้พลังเสียง Hi-Res ที่ช่วยตอบโจทย์ด้วยความบันเทิง นอกจากนี้การชาร์จแบตเตอรี่ยังรวดเร็ว ส่วนไฮไลท์สำคัญคือมีท่อระบายความร้อนกับฟีเจอร์ GPU Turbo เพิ่มความสนุกในการเล่นเกมได้ต่อเนื่อง ซึ่งแท็ตเล็ตตัวนี้จะเน้นไปในเรื่องสื่อบันเทิง ที่จะตอบโจทย์สำหรับเด็กๆ ในการดูหนังฟังเพลง เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงระบบที่รองรับกับเกมอีกด้วย

บาคาร่า

Categories
Featured News สอนใช้

นักวิเคราะห์กล่าว iPhone 12 มีความเป็นที่นิยมมากกว่า iPhone 11

iPhone 12 มีความเป็นที่นิยมมากกว่า iPhone 11

Wave7 ได้ทำการสำรวจร้านค้าผู้ให้บริการในสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับ iPhone 12 ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งลดราคา iPhone 11 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ลงด้วย ซึ่งอาจทำให้ใครหลายคนลังเลว่าควรจะซื้อ iPhone 12 นี้เลยหรือจะซื้อ iPhone 11 ใช้ไปก่อนเพื่อรอ iPhone รุ่นใหม่ที่น่าสนใจกว่านี้ แต่เมื่อเอาสเปคมาเทียบ iPhone 12 มีการอัพเกรดจาก iPhone 11 ในส่วนของหน้าจอที่ดีขึ้นและวัสดุที่ทนทานขึ้น นอกเหนือจากนั้นเป็นการอัพเกรดซอร์ฟแวร์มากกว่า ดังนั้นเราจึงได้นำเอาข้อมูลที่นักวิเคราะห์ได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับ iPhone 12 ที่มีความเป็นที่นิยมมากกว่า iPhone 11 มาฝากทุกคนซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของใครหลายๆคนก็ได้ค่ะ

ทำไม iPhone 12 ถึงได้รับความนิยมมากกว่า iPhone 11 

Wave7 ได้ทำการสำรวจร้านค้าตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาพบว่า 81% ของร้านค้าที่สำรวจบอกว่า 5G เป็น “ปัจจัยหลัก” ในการขายช่วงแรกที่ iPhone 12 ได้วางขาย Wave7 ทำรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับร้านค้าผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายของสหรัฐอเมริกา จากการศึกษาล่าสุดพบว่า 62% ของร้านค้าตัวแทนกล่าวว่าความสนใจในรุ่น iPhone 12 นั้นกระแสดีกว่าความสนใจของรุ่น iPhone 11 เมื่อปีที่แล้วอีก 43% กล่าวว่ายอดขาย iPhone 12 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการเปิดตัว iPhone 11 ในปี 2019 และมีเพียง 30% เท่านั้นที่บอกว่ายอดขายในช่วงต้นลดลงเมื่อเทียบกับปี 2019 การศึกษาครั้งนี้ได้เสร็จสิ้นเมื่อปลายเดือนตุลาคม อีกทั้ง iPhone 12 ยังมีราคาที่ถูกกว่า iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จึงทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้น

การเปิดตัวครั้งนี้ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Apple เพิ่มขึ้นถึง 6 เปอร์เซ็นต์ที่ Verizon ยกตัวอย่างเช่น Verizon 27% ของโทรศัพท์ที่รายงานว่าขายในเดือนตุลาคมเป็นรุ่น iPhone 12 ในขณะที่มีเพียง 11% เท่านั้นที่เป็น iPhone 12 Pro Jeff Moore Principal ของ Wave7 ทวีตว่า “เป็นเรื่องยากที่จะหารุ่น iPhone 12 Pro ในสต็อกของเดือนตุลาคม”

5G ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้คนสนใจ iPhone 12 มากขึ้น

ผลการสำรวจที่น่าตกใจที่สุดสำหรับการสำรวจครั้งนี้คือจำนวนผู้ซื้อ iPhone 12 ต่างก็สนใจเครือข่ายไร้สาย 5G ซึ่งตามที่รายงานพบว่า 5G ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับผู้ซื้อ iPhone มากนักเพราะส่วนใหญ่ 5G ของ Verizon และ AT&T ที่มีอยู่ทั่วประเทศมักจะมีผลลัพธ์ที่ช้ากว่าเครือข่าย 4G Verizon โดย 5G คือใช้ได้เฉพาะกับคนไม่กี่ล้านคนของอเมริกัน ในขณะที่ 5G ระดับกลางของ T-Mobile ที่มีการปรับปรุงการเชื่อมต่อและมีการครอบคลุมมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศมากเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อผู้ซื้อ iPhone โดยร้านค้าตัวแทนประมาณ 85% ของ Verizon และ T-Mobile กล่าวว่าการรวม 5G เป็นปัจจัยสำคัญในการขาย iPhone 12 

ทำไม iPhone 12 ถึงได้รับความนิยมมากกว่า iPhone 11 ทั้งๆที่มีราคาที่แพงกว่า

จากการเปรียบเทียบสเปค iPhone 12 มีการอัพเกรดจาก iPhone 11 ในส่วนของหน้าจอ iPhone 12 สามารถแสดงผลความละเอียดได้สูงกว่าและมีความคมชัดกว่า นอกจากนี้ด้วยความที่เป็นจอ OLED ทำให้สามารถทำความสว่างได้สูงกว่าอีกด้วย ส่งผลให้สามารถมองมือถือกลางแจ้งได้ดียิ่งขึ้น และใช้วัสดุอะลูมิเนียมกับCeramic Shield ที่เพิ่มทนทานขึ้น

อีกทั้ง iPhone 12 รองรับเครือข่าย 5G มีชิปประมวลผล A14 Bionic ที่เหนือกว่า แต่หากคุณเป็นคนที่อยากได้ไอโฟนราคาไม่แรงมาก ไม่ได้ใช้งานหนัก ๆ รวมถึงไม่ได้ใส่ใจ 5G มากนัก iPhone 11 ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะถึงแม้จะเป็นรุ่นเก่าแต่ชิป Apple A13 Bionic ก็แรงสุด ๆ อยู่ดี อีกทั้งกล้องที่มีก็ไม่ได้ต่างไปจาก iPhone 12 มากนัก

แต่สำหรับใครที่อยากได้ของใหม่จริง ๆ อยากได้เล่นฟีเจอร์ใหม่ ๆ ต้องการใช้ 5G iPhone 12 ถือเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณอยากใช้ของใหม่แต่ก็อยากประหยัดเงินอีกนิดเราขอแนะนำ iPhone 12 mini เพราะสเปคภายในทุกอย่างเหมือนกันหมด ต่างกันที่ขนาดหน้าจอและขนาดตัวเครื่องเท่านั้น

ในส่วนของเรื่องราคาถึงแม้ iPhone 12 จะที่ราคาในไทยเริ่มต้นที่ 29,900 บาท ซึ่งสูงกว่า iPhone 11 แต่ iPhone 12 ทุกรุ่นก็ยังได้รับความนิยมมากกว่า โดยปัจจัยหลักมาจากการที่เป็น iPhone เครื่องแรกที่ใช้สัญญาณเครือข่าย 5G นอกจากนี้ยังมีสเปคที่มีประสิทธิภาพมากกว่า วัสดุที่ใช้ในการผลิตมีความคงทนสูง อีกทั้งมีการดีไซน์ที่คล้ายกับ iPhone 4 แต่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้ผู้บริโภคจึงยินดีที่จะเสียเงินซื้อของที่แพง เพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า

สมัครบาคาร่า

HILO-88.COM
HILO-88.COM