สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้คุณสามารถดูและกู้คืนโพสต์ที่ถูกลบในแอปได้ 

Instagram

ล่าสุด Instagram ได้เปิดตัวฟีเจอร์ “ลบล่าสุด”ที่จำเป็นต่อผู้ใช้อย่างมาก เนื่องจากฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณสามารถกลับไปดูหรือกู้คืนโพสต์ที่ถูกลบล่าสุดในแอปพลิเคชันได้ ซึ่งคุณลักษณะนี้รองรับการใช้งานในโทรศัพท์ทั้งระบบ Android และ iOS ดังนั้นทุกคนจึงมีโอกาสที่จะสามารถเข้าถึงคุณลักษณะนี้ได้ 

Instagram เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย สำหรับการแชร์รูปภาพ/วิดีโอที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบและกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยผู้ใช้งาน 1 พันล้านรายต่อเดือน ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้แอป Instagram เติบโตอย่างต่อเนื่อง คือการให้บริการตามวัตถุประสงค์ของการตลาดด้วยเนื้อหาภาพ และองค์กรต่าง ๆ ก็ใช้ประโยชน์จาก Instagram เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าสถานการณ์ทั่วไปที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เผชิญคงจะเป็นการกู้คืนรูปภาพ Instagram ที่สูญหายหรือไม่? หากคุณเผลอลบรูปภาพหรือวิดีโอ Instagram ของคุณโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือบางครั้งแฮกเกอร์อาจจะทำการลบเนื้อหาของคุณเมื่อพวกเขาเหล่านั้นสามารถเข้าถึงบัญชีของคุณ และจนถึงตอนนั้นคุณจะไม่มีทางกู้คืนรูปภาพและวิดีโอกลับคืนมาได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน แล้วคุณจะกู้คืนได้อย่างไร? 

Instagram เผยว่าฟีเจอร์ “ลบล่าสุด” จะช่วยให้คุณจัดการกับเนื้อหาบน Instagram ของคุณได้ง่าย ๆ และเราเชื่อว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ผู้ใช้หลายคนต้องการ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่คุณสามารถตรวจสอบและกู้คืนเนื้อหาที่ถูกลบในแอป Instagram ของคุณได้ นอกจากนี้ Instagram ยังเพิ่มการป้องกันเพื่อช่วยป้องกันแฮกเกอร์ไม่ให้บุกรุกบัญชีของคุณและลบโพสต์ที่คุณแชร์ ซึ่งบทความนี้ได้เราจะให้คำแนะนำทีละขั้นตอนสำหรับการกู้คืนรูปภาพหรือวิดีโอบน Instagram ของคุณที่สูญหายหรือถูกลบ

Instagram

วิธีกู้คืนรูปภาพและวิดีโอ Instagram ที่ถูกลบหรือสูญหาย 

สำหรับผู้ใช้งาน Instagram ตอนนี้คุณสามารถลบหรือ กู้คืนรูปภาพและวิดีโอ บน Instagram ของคุณอย่างถาวรได้อย่างง่ายดายจากโฟลเดอร์ที่เพิ่งลบล่าสุดไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, วิดีโอ, วิดีโอ IGTV และเรื่องราวทั้งหมดที่คุณเลือกลบออกจากฟีดของคุณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกย้ายไปยังโฟลเดอร์ที่เพิ่งลบล่าสุด เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกลบได้ในภายหลัง โดยมีขั้นตอนได้กู้คืนง่าย ๆ ดังนี้

  1. ติดตั้งหรืออัปเดต Instagram เวอร์ชันล่าสุดจาก Google Play หรือ App Store 
  2. เปิดแอป Instagram แล้วไปที่หน้าโปรไฟล์ส่วนตัวของคุณ
  3. แตะเมนูเส้นสามขีดที่มุมขวาบนและแตะไปที่เมนูการตั้งค่า 
  4. แตะไปที่มนูบัญชี จากนั้นเลื่อนหาเมนู “ลบล่าสุด” แล้วแตะมัน
  5. เนื้อหาที่ถูกลบล่าสุดของคุณจะแสดงบนหน้าจอโดยด้านซ้ายจะเป็นโพสต์ที่ถูกลบ และด้านขวาจะเป็นสตอรี่ที่ถูกลบ
  6. แตะที่โพสต์ที่คุณต้องการกู้คืน จากนั้นแตะที่ไอคอนสามจุดที่ด้านบนขวา แล้วแตะกู้คืน หากต้องการกู้คืนสตอรี่ให้แตะที่สตอรี่ที่คุณต้องการกู้คืน จากนั้นแตะที่ไอคอนสามจุดที่ด้านล่างขวา แล้วแตะกู้คืน นอกจากนี้คุณสามารถลบโพสต์อย่างถาวรได้ เพียงแค่แตะไปที่ลบ
  7. เพียงเท่านี้โพสต์/สตอรี่บน Instagram ที่ถูกลบของคุณก็จะถูกกู้คืน
Instagram

สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการกู้คืนรูปภาพ/วิดีโอ

อย่างไรก็ตาม คุณลักษณะกู้คืนเนื้อหาลบล่าสุดของ Instagram นี้มีของจำกัดที่คุณควรทราบคือ รูปภาพ วิดีโอ ม้วนฟิล์ม วิดีโอ IGTV และเรื่องราวที่คุณเลือกลบจะถูกลบออกจากบัญชีของคุณทันที และจะถูกย้ายไปยังโฟลเดอร์ที่เพิ่งลบล่าสุด ส่วนสตอรี่ Instagram ที่ถูกลบและไม่ได้อยู่ในไฟล์เก็บถาวรของคุณแต่จะอยู่ในโฟลเดอร์นานถึง 24 ชั่วโมง หากคุณไม่ทำการกู้คืน มันจะถูกลบโดยอัตโนมัติใน 30 วันต่อมา 

แล้วไฟล์เก็บถาวรอะไร? Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ “เก็บโพสต์ถาวร” ในปี 2560 ซึ่งมันจะอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถซ่อนรูปภาพและเรื่องราวไม่ให้คนอื่นเห็นได้ และยังช่วยให้สามารถกู้คืนรูปภาพที่ ‘ลบ’ จากอัลบั้มเก็บถาวรได้ด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว ความจริงแล้วมันคือที่จัดเก็บรูปภาพของคุณชั่วคราว หากคุณลบสิ่งใดออกจากโฟลเดอร์เก็บถาวรก็จะไม่สามารถรับประกันการกู้คืนรูปภาพของคุณได้ ดังนั้นคุณควรตรวจสอบในอัลบั้มเก็บถาวรสำหรับการกู้คืนเสียก่อน

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

เว็บตรงฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

Categories
News

Galaxy Watch รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Samsung จะเปิดตัวปีนี้ในงาน Galaxy Unpacked พร้อมเผยรูปลักษณ์ใหม่ที่ร่วมออกแบบกับ Google

Galaxy Watch

ยังคงเป็นที่จับตามองสำหรับใครหลาย ๆ คนกับงาน Galaxy Unpacked งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ตระกูล Galaxy ของ Samsung ที่จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 11 สิงหาคม 2021 ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Mobile World Congress 2021 โดยรอบนี้ซัมซุงเตรียมขนเอาฮาร์ดแวร์สุดพิเศษไม่ว่าจะเป็น Galaxy Z Fold 3, Galaxy Z Flip 3, Galaxy Buds 2 และ Galaxy Watch รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งนาฬิกา Galaxy รุ่นใหม่ล่าสุดของ Samsung นี้มีระบบปฏิบัติการและอินเทอร์เฟซใหม่ที่ถูกออกแบบโดย Google ที่เรียกว่า “One UI Watch” 

โดยตัวเอกหลัก ๆ ของงานรอบนี้คงจะหนีไม่พ้น Galaxy Z Fold 3 พี่ใหญ่ของสมาร์ทโฟนจอพับได้ เชื่อกันว่าเป็นตัวตายตัวแทนของมือถือ Galaxy Note ที่จะมาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ทั้งด้านในด้านนอก และขับเคลื่อนด้วย Snapdragon 888 พ่วงกับ RAM 12GB กล้องหน้า-หลังทั้งหมด 5 ตัว มีเลนส์ Ultra-Wide ซึ่งคาดว่าจะมีราคาที่น่าจะถูกกว่า Galaxy Z Fold 2 รุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย

สำหรับคืออินเทอร์เฟซของ Galaxy Watch ที่ Samsung ร่วมออกแบบกับ Google ยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัด แต่มีข่าวลือว่า การออกแบบ Galaxy Watch รุ่นใหม่ล่าสุดจะมีรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายกับการออกแบบGalaxy Watch Active 2 และอาจถูกเรียกว่า Galaxy Watch 4

การประกาศร่วมมือออกแบบ Galaxy Watch รุ่นใหม่ระหว่าง Samsung และ Google 

เมื่อต้นปีนี้ Google และ Samsung ได้ประกาศความร่วมมือกันในการออกแบบนาฬิกา Google Wear และ Galaxy Watch รุ่นใหม่ของ Samsung ซึ่งนี้จะเป็นอุปกรณ์เครื่องแรกที่ได้รับซอฟต์แวร์ นาฬิการุ่นอื่น ๆ ที่ใช้ซอฟต์แวร์ One UI Watch ใหม่ โดยอินเทอร์เฟซ One UI จะเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ที่จับคู่ไว้ในทันทีและจะเชื่อมต่อกับการตั้งค่าหลักของโทรศัพท์มากขึ้น เช่นเดียวกับ Apple Watch 

ในการดูรูปลักษณ์ของ One UI Watch ครั้งแรกนั้นจะดูคล้าย ๆ กับ Google มาก แต่คุณสมบัติที่แสดงออกมานั้นค่อนข้างตรงไปตรงมาไม่ว่าจะเป็นแอปนาฬิกาโลกที่ซิงค์ระหว่างโทรศัพท์กับนาฬิกา และการตั้งค่ามาตรฐานสากล เช่น Do Not Disturb ที่จะปรากฏบนนาฬิกาและโทรศัพท์พร้อมกัน

Galaxy Watch

ซอฟต์แวร์ One UI Watch มีความพิเศษอย่างไรบ้าง

จากข้อมูลข้างต้น Galaxy Watch รุ่นใหม่ล่าสุดของ Samsung อาจมีชื่อเรียกว่า Galaxy Watch 4 ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ One UI Watch โดยสามารถดาวน์โหลดแอปต่าง ๆ ได้ผ่าน Google Play โดยมีแอป Wear OS ให้โหลดมากมาย ซึ่งการประกาศของ Samsung ในครั้งนี้ยืนยันว่า Adidas Running, Golfbuddy Smart Caddie, Strava, Swim.com, Calm, Sleep Cycle, Spotify, YouTube Music และ Google Maps ยังคงเป็นแอปที่ได้รับการรองรับ นอกจากนี้ซัมซุงยังยืนยันด้วยว่าแพลตฟอร์มใหม่นี้จะรองรับ eSIM พร้อมการเชื่อมต่อ LTE เช่นเดียวกับ Galaxy Watch 3 ดังนั้นนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดเหล่านี้จะสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโทรศัพท์ของคุณ

Sameer Samat ของ Google ได้กล่าวถึง Galaxy Watch เรือนใหม่ในงานแถลงข่าวของ Samsung ว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น พร้อมประสิทธิภาพที่เร็วขึ้น และแอปที่หลากหลายจาก Google มาสู่ประสบการณ์สวมใส่แบบใหม่” 

อย่างไรก็ตามแอปบางตัวของ Samsung จาก Galaxy Watch รุ่นก่อนหน้านี้จะพร้อมให้ใช้งานผ่าน Google Play แต่สำหรับ One UI Watch ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีแอปใดบ้าง โดยซัมซุงซัมซุงยังแสดงซอฟต์แวร์การออกแบบหน้าปัดสำหรับนักพัฒนาหรือผู้ชื่นชอบหน้าปัดด้วย แต่เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาถึงความสามารถของนักออกแบบจากวิดีโอตัวอย่างของ Samsung นอกจากนี้ซัมซุงยังเปิดเผยอีกว่าเจ้าของนาฬิกาที่ใช้ Tizen เช่น Galaxy Watch 3 และ Active 2 รุ่นปัจจุบันจะยังไม่หยุดการพัฒนา โดยมีการรับประกันการอัปเดตซอฟต์แวร์และรองรับแพลตฟอร์มดังกล่าวภายใน 3 ปีหลังจากวันที่เปิดตัวครั้งแรกของผลิตภัณฑ์

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

เว็บตรงไม่มีขั้นต่ำ

Categories
สอนใช้

วิธีตามหา iPhone ของคุณ กรณีสูญหาย/ถูกขโมย ด้วยฟีเจอร์ Find My iPhone ของ Apple

iPhone

คุณเคยทำโทรศัพท์ iPhone หายหรือไม่? ที่เราต้องตั้งคำถามแบบนี้ เพราะสมัยนี้ต้องยอมรับเลยว่าโทรศัพท์เป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญสำหรับใครหลายคน ๆ เช่น รูปภาพ รายชื่อเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว ข้อความสำคัญ ตารางงาน ไปจนถึงเอกสารลับเกี่ยวกับองค์กร หรือธุรกิจของคุณ หากโทรศัพท์ของคุณหายหรือถูกขโมย มันคงกลายเป็นฝันร้ายหรือทำให้คุณเกิดความกังวลอย่างหนัก เพราะนั่นหมายความว่าข้อมูลส่วนตัวของคุณอาจจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เผลอ ๆ อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ 

สำหรับใครที่ใช้ iPhone แล้วไม่ทราบวิธีค้นหาหรือลบข้อมูลก่อนที่ iPhone ของคุณจะตกไปอยู่ในมือของบุคคลที่ไม่หวังดี วันนี้เราก็มีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้คุณตามหา iPhone ของคุณได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้ฟีเจอร์ Find My iPhone ของ Apple ซึ่งขอบอกเลยว่าฟีเจอร์นี้ใช้งานง่ายมาก ๆ แถมยังมีประโยชน์ในกรณีที่ iPhone ของคุณสูญหาย หรือถูกขโมย ช่วยให้คุณสามารถดูตำแหน่งของ iPhone ด้วยเสียงบนโทรศัพท์เพื่อช่วยให้คุณค้นหาหรือเตือนผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้ ที่สำคัญยังสามารถทำเครื่องหมายระบุว่า iPhone ได้สูญหายแล้วทำการล็อกเครื่องจากระยะไกลเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัว และถ้าเกิดเหตุจำเป็นอาจจะต้องลบข้อมูลทั้งหมดบน iPhone ของคุณ หากคุณต้องการเปิดใช้งานฟังก์ชันทั้งหมดนี้ สิ่งแรกที่คุณต้องทำเลยคือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Find My iPhone บน iPhone ของคุณก่อน

วิธีการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Find My iPhone สำหรับค้นหา iPhone ของคุณ

Apple ได้แนะนำแอป Find My ครั้งแรกใน iOS 13 สำหรับผู้ใช้โทรศัพท์ iPhone โดยจุดเด่นที่ทำให้แอป Find My เป็นที่น่าสนใจคือการรวมตัวกันระหว่างฟีเจอร์ Find My iPhone กับ Find My Friends ให้มาอยู่ในแอปพลิเคชันเดียวกัน และรองรับการทำงานบนอุปกรณ์ iPhone, iPad, Mac รวมถึงบนเว็บไซต์ด้วย หากคุณต้องการเปิดฟีเจอร์ Find My iPhone เพื่อค้นหาตำแหน่ง iPhone ของคุณ สามารถทำตามขั้นตามด้านล่างได้ง่าย ๆ ดังนี้

iPhone

วิธีเปิดใช้งานฟีเจอร์ Find My iPhone 

  1. ไปที่การตั้งค่าบน iPhone ของคุณ
  2. แตะที่เมนู Apple ID ซึ่งจะเป็นตัวเลือกแรกที่คุณจะเห็นในหน้าจอการตั้งค่า จากนั้นเลื่อนลงหาตัวเลือก “ค้นหาของฉัน”
  3. แตะที่ที่ตัวเลือก “ค้นหา iPhone ของคุณ” จากนั้นหน้าจอจะปรากฏตัวเลือก 3 ตัวเลือก คือค้นหา iPhone ของฉัน , ค้นหาเครือข่ายของฉัน และส่งตำแหน่งที่ตั้งล่าสุด (ระบบจะส่งตำแหน่งที่ตั้งของ iPhone ของคุณไปที่ Apple โดยอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยมาก) ให้คุณทำการกดเปิดให้งานให้หมด
  4. เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว คุณก็จะสามารถค้นหา iPhone ของคุณในกรณีที่สูญหาย หรือถูกขโมยได้ และสามารถลบข้อมูลทั้งหมดบน iPhone ของคุณได้โดยการลงชื่อเข้าใช้งาน icloud.com/find

วิธีดูตำแหน่ง iPhone ที่สูญหายบนแผนที่

  1. เข้าลิงก์ icloud.com/find แล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วย Apple ID เมื่อระบุรหัสผ่านเบราว์เซอร์เรียบร้อยแล้ว ระบบจะเริ่มค้นหา iPhone ของคุณโดยอัตโนมัติ
  2. ภายในไม่กี่วินาที ตำแหน่งของ iPhone ของคุณจะปรากฏในแผนที่บนหน้าจอ
  3. หากพบว่าอุปกรณ์อยู่ในพื้นที่ที่ไม่รู้จัก เราขอแนะนำให้คุณอย่าพยายามกู้คืน iPhone ของคุณ แต่ให้ไปติดต่อกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจจะขอหมายเลขซีเรียลหรือรหัส IMEI ของอุปกรณ์ของคุณได้ 
iPhone

วิธีการเปิดเสียงบน iPhone เมื่อสูญหาย

  1. ต่อจากวิธีดูตำแหน่ง iPhone ที่สูญหายบนแผนที่ เมื่อคุณรู้ตำแหน่งโทรศัพท์ของคุณแล้ว คุณจะสามารถเห็นอุปกรณ์ทั้งหมดได้ที่ด้านบนของแผนที่ แล้วคลิกเลือก “iPhone ของคุณ”
  2. ให้เลือกรุ่น iPhone ของคุณที่สูญหาย จากนั้นหน้าจอจะปรากฏกล่องข้อมูลที่แสดงรูปภาพ iPhone ของคุณ ชื่อโทรศัพท์ แบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ ฯลฯ
  3. ให้ คลิกที่ส่งเสียง สิ่งนี้จะทำให้ iPhone ของคุณสั่นและส่งเสียงบี๊บดังขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าโทรศัพท์ของคุณจะอยู่ในโหมดปิดเสียงหรือไม่ก็ตาม คุณสมบัตินี้มีประโยชน์อย่างมาก ในกรณีที่คุณวาง iPhone ของคุณผิดที่ในห้องหรือสถานที่ใกล้เคียงทำให้หา iPhone ไม่เจอ คุณสามารถติดตามเสียงปิ๊บและค้นหาได้ง่าย ๆ และเสียงจะหยุดเมื่อคุณปลดล็อกโทรศัพท์

วิธีการลบข้อมูลบน iPhone ของคุณ กรณีที่ไม่สามารถตามกลับมาได้

หากคุณค้นหาตำแหน่งที่ตั้ง iPhone ของคุณได้แล้ว แต่มีเหตุที่ไม่สามารถตามกลับคืนมาได้ เราขอแนะนำให้คุณรีบทำการ ลบข้อมูลทั้งหมดบน iPhone ของคุณ เพื่อไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณรั่วไหล โดยสามารถทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

วิธีลบข้อมูลทั้งหมดบน iPhone ของคุณ

  1. เมื่อคุณรู้ตำแหน่งโทรศัพท์ของคุณจาก icloud.com/find แล้ว ให้เลือกรุ่น iPhone ของคุณที่สูญหายจากด้านบนของแผนที่ จากนั้นหน้าจอจะปรากฏกล่องข้อมูลที่แสดงรูปภาพ iPhone ของคุณ ชื่อโทรศัพท์ แบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ ฯลฯ แล้วให้คลิกที่ปุ่ม “ลบ iPhone”
  2. จากนั้นหน้าจอจะปรากฏข้อความป๊อปอัปที่ขอให้คุณยืนยัน โปรดทราบว่าการอนุญาตนี้จะลบเนื้อหาและการตั้งค่าทั้งหมดออกจาก iPhone ของคุณ แต่คุณควรทราบว่าคุณจะไม่สามารถติดตามหรือระบุ iPhone ที่ถูกลบได้ จากนั้นคุณคลิกที่ลบ เพียงเท่านี้ข้อมูลทั้งหมดบน iPhone ของคุณจะถูกลบทิ้งทั้งหมด
Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อต เว็บตรง ฝากถอน ไม่มี ขั้นต่ำ

Categories
วิธีดูแลรักษา สอนใช้

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 แบตเตอรี่หมดเร็วและช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 

Xiaomi Mi 11

คุณภาพของแบตเตอรี่โทรศัพท์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของคุณ ซึ่งแน่นอนว่าในปัจจุบันสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ จะใส่ความจุแบตเตอรี่มาให้อย่างจัดเต็ม โทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ก็เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ Xiaomi ที่ให้ความจุแบตเตอรี่มากถึง 4600 mAh แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คุณอาจสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่ในโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ของคุณหมดเร็วเกินไป ซึ่งปัญหานี้อาจเกิดจากหน้าจอ AMOLED 120hz อันทรงพลัง, วิดีโอ 8K, ชิป 5G และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วอาจแก้ไขได้ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ในบทความนี้ เราจะแนะนำเคล็ดลับการประหยัดแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพที่อาจช่วยปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ใน Xiaomi Mi 11 ของคุณ 

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 แบตเตอรี่หมดเร็ว

คุณพบว่าโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ของคุณมีปัญหา แบตเตอรี่หมดเร็ว หรือไม่? โทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ถือเป็นอีกหนึ่งโทรศัพท์ที่มีคุณสมบัติที่มากมาย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานของคุณ อาจส่งผลทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ลดลง แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ดังนี้

Xiaomi Mi 11

1. ตรวจสอบแอปพลิเคชันที่ใช้แบตเตอรี่มากที่สุด 

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดสำหรับปัญหาแบตเตอรี่ในโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 หมดเร็ว คือการใช้งานแอป เนื่องจากแอปบางตัวใช้แบตเตอรี่มากจนทำให้แบตหมดเร็วกว่าที่ควร เราแนะนำให้ลบแอปนั้นออกเพื่อลดการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้ 

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “แบตเตอรี่และประสิทธิภาพ”
  • แตะที่ “สถิติการใช้แบตเตอรี่” จากนั้นหน้าจอจะแสดงรายการแอปโดยละเอียดและการใช้งานแบตเตอรี่ หากคุณสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในการใช้งานแบตเตอรี่ คุณสามารถเลือกที่จะเพิ่มประสิทธิภาพแอป จำกัดกิจกรรมในพื้นหลังเพื่อจำกัดการใช้แบตเตอรี่ได้

2. ลบแอปที่คุณไม่ค่อยได้ใช้งาน

หากคุณมีแอปบนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 ที่ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน เราขอแนะนำให้ ลบแอป นั้นทิ้ง เนื่องจากแอปเหล่านั้นบางตัวมักทำงานในพื้นหลัง โดยเฉพาะแอปที่ใช้ข้อมูลมือถือและจะทำให้แบตเตอรี่หมด คุณสามารถลบแอปเหล่านั้นได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “แอป”
  • แตะที่ “จัดการแอป”
  • แตะที่ “ไอคอนถอนการติดตั้ง” ที่ด้านบนซ้าย
  • เลือกแอปที่คุณต้องการลบแล้วแตะที่ปุ่ม “ถอนการติดตั้ง” ที่ด้านล่างของหน้าจอ
  • แตะที่ “ตกลง” เพื่อยืนยันการถอนการติดตั้ง

3. เปิดโหมดประหยัดแบตเตอรี่

โหมดประหยัดแบตเตอรี่บนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 จะช่วยให้คุณยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของโทรศัพท์ได้โดยการปิดหรือจำกัดกิจกรรมพื้นหลังบางอย่าง, เอฟเฟกต์ภาพ และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่อาจใช้พลังงานมากขึ้น หากคุณต้องการเปิดโหมดประหยัดพลังงาน ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “แบตเตอรี่และประสิทธิภาพ”
  • แตะที่ “ประหยัดแบตเตอรี่” และสลับเป็น “เปิด”
  • แตะที่ “ประหยัดแบตเตอรี่อัลตร้า” และสลับ “เปิด” สำหรับการประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น

4. จำกัดกิจกรรมแอปพื้นหลัง

คุณรู้หรือไม่ว่าแอปพลิเคชันบางตัวบนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 จะยังคงทำงานในพื้นหลัง แม้ว่าคุณไม่ได้ใช้งานอยู่ ซึ่งอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เราแนะนำให้ลองจำกัดกิจกรรมพื้นหลังสำหรับแอปเพื่อ ประหยัดแบตเตอรี่ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “แบตเตอรี่และประสิทธิภาพ”
  • แตะที่ “แอปประหยัดแบตเตอรี่”
  • แตะที่แอปที่คุณต้องการจำกัดกิจกรรมพื้นหลัง
  • จากนั้นแตะที่ “จำกัดกิจกรรมพื้นหลัง” แล้วแตะที่ “ตกลง” เพื่อยืนยันการจำกัดกิจกรรมพื้นหลัง

5. ปิด Location, WiFi & Bluetooth Scanning เมื่อไม่ได้ใช้งาน

บริการเหล่านี้บนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 เมื่อเปิดใช้งานจะมีการตรวจสอบการเชื่อมต่อที่สิ้นเปลืองพลังงานและอาจทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ลดลง หากต้องการปิด ให้ปัดหน้าจอลงเพื่อแสดงแผงการตั้งค่าด่วนแล้วแตะไอคอนที่เกี่ยวข้องเพื่อปิดใช้งาน หรือทำตามขั้นตอนดังนี้ 

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “ตำแหน่ง”
  • แตะที่ “การเข้าถึงตำแหน่ง” และสลับ “ปิด”
  • แตะที่ Wi-Fi และบลูทูธ และสลับ “ปิด”บริการทั้งสอง 

6. ลดอัตราการรีเฟรชหน้าจอ

Xiaomi Mi 11 รองรับอัตราการ รีเฟรชหน้าจอ สูงถึง 120Hz พร้อมกับให้ประสบการณ์การรับชมที่ราบรื่นยิ่งขึ้น แต่สิ่งนี้ต้องแลกมาด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ลดลง เราแนะนำให้ลองลดขนาดลงเพื่อลดอัตราการรีเฟรชเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “จอแสดงผล”
  • แตะที่ “อัตราการรีเฟรช”
  • เลือกอัตราการรีเฟรชที่มีอยู่ตามความต้องการของคุณ 

7. เปิดใช้งานโหมดมืด 

คุณสามารถเปิดใช้งานโหมดมืดบนโทรศัพท์มือถือ Xiaomi Mi 11 ของคุณได้เพื่อลดการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ เนื่องจากการที่จอแสดงผลมีความมืดกว่าปกติจะการใช้งานแบตเตอรี่น้อยลง ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ หากคุณต้องการ เปิดใช้งานโหมดมืด ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

  • ไปที่ “การตั้งค่า”
  • แตะที่ “จอแสดงผล”
  • แตะที่ “โหมดมืด” แล้วสลับเป็น “เปิด”

8. จำกัดการแจ้งเตือนแอป

หากคุณได้รับการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์ Xiaomi Mi 11 จำนวนมาก การแจ้งเตือนเหล่านั้นอาจส่งผลต่อปัญหาแบตเตอรี่ของคุณ เราแนะนำให้ ปิดการแจ้งเตือนแอป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแอปที่ส่งการแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่องซึ่งไม่สำคัญ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  • แตะค้างที่ไอคอนแอปที่คุณต้องการปิดการแจ้งเตือน
  • คลิกถัดไปที่ “ข้อมูลแอป”
  • จากนั้นแตะที่ “การแจ้งเตือน”
  • จากนั้นแตะที่ “แสดงการแจ้งเตือน” และสลับเป็น “ปิด”
Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

Sponsor: HILO-88.COM เว็บพนันออนไลน์ อันดับ1 บริการ เกม ไฮโลไทยได้เงินจริง เล่นได้เท่าไหร่ ถอนได้ไม่อั้น

Categories
วิธีดูแลรักษา สอนใช้

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ Vivo ทำงานช้าเกินไป ให้กลับมาเร็วแรงเหมือนใหม่

Vivo

หากถามว่าสมาร์ทโฟนแบรนด์ไหนที่ครองตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย? ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลายคนคงจะนึกถึงอยู่เพียง 2 แบรนด์ นั่นคือ Apple และ Samsung แต่ในปัจจุบันได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ มากมาย รวมถึง Vivo แบรนด์สมาร์ทโฟนอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ด้วยดีไซน์การออกแบบที่มีความเรียบง่าย และดูหรูหราเมื่ออยู่ในมือของคุณ พร้อมทั้งมีสีสันที่สวยงาม ใส่สเปกมาให้แบบจัดเต็มมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่ครบถ้วนเช่นเดียวกับอุปกรณ์ Android อื่น ๆ ในตลาด แต่อย่างไรก็ตามสมาร์ทโฟน Vivo ก็ยังมีปัญหาบางอย่างที่ผู้ใช้งานหลายคนร้องเรียนและต้องการวิธีแก้ไข ซึ่งปัญหาหนึ่งในนั้นก็คือ โทรศัพท์ทำงานช้าเกินไป ดังนั้นในบทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีการแก้ปัญหาโทรศัพท์ Vivo ทำงานช้าเกินไป ให้กลับมาใช้งานได้เหมือนของใหม่แกะกล่อง

Vivo

วิธีการแก้ปัญหาโทรศัพท์ Vivo ทำงานช้าขณะใช้งาน 

คุณเคยหรือไม่? เล่นเกมในสมาร์ทโฟน Vivo อยู่ดี ๆ แล้วเครื่อง ทำงานช้า ซึ่งเป็นปัญหาด้านประสิทธิภาพที่อาจเกิดขึ้นกับใครหลาย ๆ คน โดยปัญหานี้อาจเกิดจากแอปพื้นหลังบางแอปที่ทำให้โปรเซสเซอร์ของคุณทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้พื้นที่แรมของโทรศัพท์ถูกใช้ไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว สำหรับการแก้แก้ปัญหาโทรศัพท์ วีโว่ ทำงานช้าให้กลับมาราบรื่นเหมือนใหม่ สิ่งแรกที่คุณสามารถทำได้คือการบังคับให้โทรศัพท์รีสตาร์ท แต่หากไม่ได้ผลให้ลอง Recovery นอกจากนี้คุณควรทราบว่าโทรศัพท์ที่ใช้ระบบ Android 8 และเวอร์ชันที่สูงกว่าขึ้นไปจะไม่สามารถดาวน์เกรดเพื่อใช้เวอร์ชันที่ต่ำกว่าได้ ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบเวอร์ชันปัจจุบันของคุณได้โดยการไปที่ การตั้งค่า > การอัปเดตระบบ เพียงเท่านี้คุณก็จะรู้แล้วว่าโทรศัพท์ของคุณใช้ Android เวอร์ชันไหน 

วิธีการบังคับให้โทรศัพท์รีสตาร์ท

  1. การบังคับให้โทรศัพท์รีสตาร์ทให้ไปที่กดปุ่มพาวเวอร์พร้อมกับกดปุ่มลดเสียงค้างไว้ 30 วินาที เพื่อบังคับให้โทรศัพท์รีสตาร์ท
  2. สำหรับโทรศัพท์ที่ไม่ใช่รูปแบบเต็มหน้าจอ ให้กดปุ่มพาวเวอร์ค้างไว้ 30 วินาที ก็จะสามารถบังคับโทรศัพท์ให้รีสตาร์ทได้แล้ว

วิธีการ Recovery สำหรับโทรศัพท์ Vivo Fullview Display

  1. ก่อนอื่นให้ทำการปิดโทรศัพท์ของคุณ จากนั้นกดปุ่มเปิด/ปิดและปุ่มเพิ่มระดับเสียงค้างไว้พร้อมกัน จนกว่าหน้าจอจะปรากฏโลโก้ vivo เพื่อเข้าสู่โหมด Fastboot จากนั้นเลือกโหมดการกู้คืน (Recovery mode) โดยใช้ปุ่มลดระดับเสียงและกดเข้าโดยปุ่มเปิด/ปิด
  2. แตะล้างข้อมูล (Wipe data) > ล้างข้อมูล (Wipe data) > ป้อนรหัสผ่านของหน้าจอล็อกจากนั้นเลือก Reboot system เพื่อรีบูตโทรศัพท์ของคุณ

วิธีการ Recovery สำหรับโทรศัพท์ Vivo ที่มีหน้าจอแสดงผลอัตราส่วน 16:9

  1. ปิดเครื่องโทรศัพท์ของคุณ จากนั้นกดปุ่มเปิด/ปิดและปุ่มเพิ่มระดับเสียงค้างไว้พร้อมกัน จนกระทั่งหน้าจอจะปรากฏโลโก้ vivo เพื่อเข้าสู่โหมดการกู้คืน (Recovery mode)
  2. จากนั้นแตะล้างข้อมูล (Wipe data) > ล้างข้อมูล (Wipe data) > ล้างข้อมูล (Wipe data) จากนั้นเลือก Reboot system เพื่อรีบูตเครื่องโทรศัพท์ของคุณ (สำหรับ Funtouch OS 2.0 และรุ่นที่เวอร์ชันต่ำกว่า) เลือกโหมดการกู้คืน (Recovery mode) โดยใช้ปุ่มลดระดับเสียงและกดเข้าโดยปุ่มเปิด/ปิด หลังจากนั้นเลือกล้างข้อมูล (Wipe data) รีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้น (Factory reset) > ล้างข้อมูล (Wipe data) > ล้างข้อมูล (Wipe data) แล้วเลือกรีบูตระบบเดี๋ยวนี้เพื่อรีบูตเครื่องใหม่

คุณควรทราบว่าขั้นตอนการ Recovery นี้จะเป็นการล้างข้อมูลภายในโทรศัพท์ของคุณ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ เป็นต้น ดังนั้นคุณควรทำการสำรองข้อมูลที่สำคัญของคุณไว้ก่อนและตรวจสอบให้แน่ใจว่าโทรศัพท์ของคุณมีปริมาณแบตเตอรี่ที่เพียงพอประมาณ 30% ขึ้นไป

Vivo

วิธีการแก้ปัญหาโทรศัพท์ทำงานช้าในขณะเล่นเกม

สำหรับผู้ใช้งานที่ชื่นชอบเล่นเกมบนโทรศัพท์ Vivo แล้วเคยประสบปัญหา เล่นเกม อยู่ดี ๆ แล้วเครื่องโทรศัพท์มือถือเกิดอาการช้า หรือค้างบ่อยให้คุณลองทำตามวิธีดังต่อไปนี้

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเกมที่คุณเล่นถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ และดาวน์โหลดมาจาก Play Store หรือ V-Appstor
  • หากคุณกำลังเล่นเกมออนไลน์ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าความเร็วของเครือข่ายมีความแรงและเสถียรดีหรือไม่
  • ปิดแอปที่กำลังทำงานเบื้องหลังอยู่ทั้งหมดก่อนเริ่มเล่นเกม
  • ลองเข้าไปที่ i Manager > การจัดการพื้นที่ หรือแอปล้างข้อมูลภายนอก เช่น Clean Master เพื่อล้างขยะจำพวกแคช
  • ตรวจสอบการอัปเดตโทรศัพท์และเกมของคุณให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
  • ลองปิดการใช้งานสวิตช์การเริ่มต้นอัตโนมัติของแอปที่ไม่ได้ใช้งานบ่อย ให้ไปที่การตั้งค่า > การตั้งค่าเพิ่มเติม > การจัดการการอนุญาต (แอปพลิเคชัน) > เริ่มต้นอัตโนมัติ สำหรับการปิดแอปที่เริ่มต้นทำงานโดยอัตโนมัติ Funtouch OS 2.6 และเวอร์ชันที่ต่ำกว่า ให้ไปที่ i Manager > การจัดการแอป > ตัวจัดการเริ่มต้นอัตโนมัติ ปิดแอปที่ทำงานเริ่มต้นโดยอัตโนมัติเหล่านั้น
  • โหมดพลังงานต่ำจะช่วยประหยัดกำลังไฟโดยการลดประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์ให้น้อยลง จึงไม่ควรเปิดโหมดพลังงานต่ำ และตรวจสอบแน่ใจว่าปริมาณของแบตเตอรี่มีเพียงพอในขณะเล่นเกม
  • เนื่องจากข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ โทรศัพท์บางรุ่นอาจไม่สามารถเล่นเกมที่มีคุณภาพสูงได้อย่างราบรื่น ดังนั้นคุณควรเลือกเล่นเกมที่โทรศัพท์ของคุณรับไหวจะได้เล่นเกมได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด
Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

Sponsor: hilo-88.com

HILO-88.COM
HILO-88.COM