สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

ไม่อยากให้แบตเตอรี่บวม อย่างพลาดวิธีป้องกันแบตบวมง่ายๆ

วิธีป้องกันแบตบวม

แบตเตอรี่โทรศัพท์ส่วนใหญ่เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อสร้างพลังงาน หากแบตเตอรี่มีอายุมาก อาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่สมบูรณ์แบบซึ่งอาจส่งผลให้เกิดก๊าซที่ทำให้แบตเตอรี่บวม นอกจากนี้ถ้าชั้นภายในของแบตเตอรี่เกิดความเสียหายหรือบกพร่องจะไม่สามารถรักษาการแยกที่เหมาะสมได้ อาจเกิดการรั่วไหลจนบวมและเกิดการไหม้ได้ โดยอากาศบวมเป็นผลมากจากการที่อนุภาคก๊าซเข้าไปจับชั้นอยู่ภายในของแบตเตอรี่ จนในที่สุดก็เจาะพังผืดที่แยกชั้นออกมา จับความชื้นในอากาศ จะทำให้เกิดปฏิกิริยากับเซลล์ทำให้แบตบวม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้คุณความต้องทราบถึงวิธีป้องกันแบตบวม เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณและทรัพย์สินได้

สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมหมดไว ใช้งานแปป ๆ ก็เกิดอาการเครื่องร้อน แบตเตอรี่บวมจนดันเครื่อง เป็นต้น โดยปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลให้โทรศัพท์ของคุณเครื่องพังได้ หรืออาจร้ายแรงจนเกิดไฟไหม้เครื่อง และเครื่องระเบิดได้ ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีป้องกันแบตบวมมาฝากทุกคน จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

วิธีป้องกันแบตบวมง่ายๆ ที่คุณไม่ควรพลาด

ใครที่กำลังเจอกับปัญหาแบตเตอรี่มือถือบวมหรือแบตบวมดันจอ หลังจากที่คุณได้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่บวมแล้ว ต่อไปมาดูวิธีป้องกันแบตบวม โดยหากคุณปฏิบัติตามวิธีการต่อไปนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดโอกาศการบวมของแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณ

  1. ทำให้แบตเตอรี่ของคุณเย็นอยู่เสมอ

ปกติแล้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเกลียดความร้อนที่สุด ดังนั้นคุณควรหลีกเลี่ยงการทิ้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิที่ร้อนเกินไป มิฉะนั้นอาจส่งผลให้เกิดอันตรายหรือทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายได้ ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แบตเตอรี่เย็น และเมื่อคุณไม่ได้ใช้โทรศัพท์หรือแบตเตอรี่สำรองให้เก็บไว้ในบริเวณที่เย็นและแห้ง

  1. ใช้สายชาร์จโทรศัพท์ที่ได้มาตรฐาน

การชาร์จไฟมากเกินไปอาจเป็นภัยร้ายแรงต่อสุขภาพแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณ และหากคุณใช้สายชาร์จแบตเตอรี่ที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่โทรศัพท์และอาจทำให้ ความเสียหายของทรัพย์สินตลอดจนชีวิตและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เช่น เกิดการช็อตและไฟรั่ว หรือทำให้แบตเตอรี่ที่เสียหาย จนทำก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ ทางที่ดีคุณควรเลือกใช้สายชาร์จที่มาพร้อมกับเครื่องหรือซื้อสายชาร์จที่ได้มาตรฐานมาใช้งาน เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

  1. เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่

หากคุณสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณไม่มีประจุเหลืออยู่อีกต่อไป คุณควรพิจารณาเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว หากคุณเคยใช้แบตเตอรี่โทรศัพท์ 5 ชั่วโมงและตอนนี้คุณเหลือเวลา 30 นาทีนั่น เป็นสัญญาณที่ว่าส่วนประกอบของแบตเตอรี่กำลังเสื่อมสภาพ ซึ่งการเปลี่ยนแบตเตอรี่จะทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานหลายชั่วโมงกลับคืนมา แต่ยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าแบตเตอรี่ปลอดภัย แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่อีกด้วย และคุณควรทราบถึงวิธีกําจัดแบตบวมด้วย เพื่อคุณจะได้นำแบตเก่าไปทิ้งได้อย่างถูกที่ถูกทาง

  1. อย่าเสียบปลั๊กชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้

คุณไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่ตลอดเวลาก็ได้ เพราะมันไม่เป็นผลดีสำหรับแบตเตอรี่แน่นอน มีแต่จะทำให้เกิดความร้อนเพิ่มขึ้นและแบตเตอรี่จะเกิดความเสียหายและทำงานไม่เต็มที่ นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเสียบปลั๊กชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้ไม่ได้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กทิ้งไว้ตลอดทั้งวันในทุก ๆวันก็ได้

วิธีตรวจสอบแบตเตอรี่บวม

หลังจากที่คุณรู้วิธีป้องกันแบตบวม แต่คุณจะรู้ได้ยังไงว่าแบตเตอรี่ของคุณเริ่มมีอาการแบตบวมหรือยัง ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า นอกเสียจากว่ามันบวมมากจนดันจอแล้ว มีวิธีง่ายๆที่สามารถช่วยให้คุณตรวจสอบแบตเตอรี่บวม ดังนี้

  1. ตรวจสอบอุปกรณ์

เมื่อแบตเตอรี่บวมมันจะขยายตัวและดันส่วนประกอบอื่น ๆ ของโทรศัพท์ออกไป บ่อยครั้งที่จอแสดงผลปุ่มหรือแทร็คแพดจะถูกดันออกจากแนวปกติ หรือหากเคสโทรศัพท์ของคุณไม่พอดีหรือมีช่องว่างใหม่ระหว่างส่วนประกอบ นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแบตเตอรี่ของคุณบวม

  1. ตรวจสอบด้วยกลิ่น

การตรวจสอบด้วยการดมกลิ่น หากคุณสังเกตเห็นหรือได้กลิ่นสารเคมีโลหะที่บริเวณโทรศัพท์ของคุณ ซึ่งมันอาจเป็นก๊าซจากแบตเตอรี่ที่ทำให้แบตเตอรี่บวมก็ได้

  1. ตรวจสอบแบตเตอรี่

หากอุปกรณ์ของคุณเปิดได้ง่ายโดยไม่รบกวนแบตเตอรี่ เช่น MacBook หรือ iPhone คุณสามารถเปิดอุปกรณ์และตรวจสอบแบตเตอรี่ด้วยสายตาเพื่อตรวจสอบหาอาการบวม หากแบตเตอรี่มีการพันหลวมหรือมีรอยยับมีลักษณะกลมมากกว่าสี่เหลี่ยมหรือดูเหมือนยกออกจากช่องใส่จนดันด้านหลังตัวเครื่องให้โก่งงอ หรือหน้าจอจนผิดสังเกต และอาจความร้อนมากกว่าปกติ แสดงว่าแบตเตอรี่บวมและประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องลดลง ควรได้รับการแก้ไขหรือรับการเปลี่ยนแบตใหม่

sa gaming

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

เมื่อแบต iphone บวม คุณควรปฏิบัติอย่างไร

แบต iphone บวม

แบต iphone บวม เป็นอีกหนึ่งในปัญหาน่ากลัวและอันตรายที่สุดที่อาจนำไปสู่การระเบิดได้ ดังนั้นทุกคนไม่ควรใช้งานมัน ยิ่งหากแบตเตอรี่โทรศัพท์ร้อนเกินจริง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแบตเตอรี่ iPhone ร้อนเกินจริงเกิดขึ้นเนื่องจากแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานมากเกินไปหรือใช้งานหนักมานาน ทำให้เกิดความเสียหายและมีสภาพที่เก่า 

อีกหนึ่งสัญญาณที่ส่งผลให้แบต iphone บวมคือสิ่งที่เรียกว่าแก๊สหมด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแบตเตอรี่ชาร์จไฟมากเกินไปก่อให้เกิดความเสียหายหรือเก่า สถานการณ์นี้เป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้แบตเตอรี่ของคุณหมดลงและปล่อยก๊าซออกมา ทำให้แบตเตอรี่พองขึ้น หากโทรศัพท์ iphone ของคุณเกิดความเสียหายหรือบวมขึ้นมาให้คุณลองปฏิบัติตามวิธีที่เรานำมาแนะนำในวันนี้ จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย

การตรวจสอบและวิธีจัดการเมื่อแบต iphone บวม

ในทางวิทยาศาสตร์แบตไอโฟนบวมเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีที่ปล่อยก๊าซออกมา ทำให้แบตเตอรี่พองขึ้น ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบได้ว่าแบต iphone บวมจริงหรือไม่? ด้วยความรู้สึกภายนอก โดยปกติแล้วหากโทรศัพท์ iphone ของคุณมีอาการแบตเตอรี่บวมจะดันจอด้านหน้าและทำให้หน้าจอเป็นสีขาว นอกจากนี้การแยกที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างตัวกล้องและหน้าจอยังเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่ของคุณบวมและหากถามว่าแบตเตอรี่บวม อันตรายไหม? แน่นอนว่าอันตรายเพราะมันอาจทำให้เกิดการระเบิดและเผาไหม้ได้

เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องยิ่งขึ้นให้คุณใช้เครื่องมือพิเศษและดำเนินการถอดด้านหลังของ iPhone จากนั้นตรวจสอบว่าแบตเตอรี่บวมหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามหากคุณไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้คุณก็ไม่ควรทำเพราะมันอันตรายมากอาจเสี่ยงต่อการระเบิดได้ ในกรณีที่คุณได้กลิ่นที่ผิดปกติหรือสัมผัสเครื่องแล้วมีความร้อนอย่างกะทันหันอย่าพยายามเปลี่ยนแบตเตอรี่เองโดยเด็ดขาดหากคุณยังไม่มีความชำนาญ

วิธีจัดการเมื่อแบตเตอรี่ iPhone เครื่องร้อนและแบตบวม

  1. ก่อนเริ่มซ่อมและเปลี่ยนแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ควรปฏิบัติ ดังนี้
  • ปล่อยให้แบตเตอรี่ iPhone เหลือน้อยจนเหลือ 0% เพราะแบตเตอรี่จะไม่มีพลังงาน ลดปัญหาการเผาไหม้
  • จัดให้ห้องมีอากาศถ่ายเท หากแบตเตอรี่มีควันพิษ เพื่อให้อากาศถ่ายเทหายใจได้สะดวก 
  • ควรสวมแว่นตาป้องกันเพื่อป้องกันดวงตาของคุณ และในขณะที่กำลังเปลี่ยนแบตเตอรี่ควรสวมถุงมือเพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีในแบตเตอรี่กระเด็นใส่มือของคุณ
  1. เตรียมถังทรายเพื่อป้องกันไฟไหม้ : วางแบตเตอรี่ iPhone บนพื้นผิวที่ทนไฟ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดคุณต้องมีถังทรายเสมอ เพื่อดับไฟหากเกิดไฟไหม้จากการจุดชนวนแบตเตอรี่ และคุณสามารถทำสิ่งนี้กลางแจ้งได้ แต่ไม่ควรทำ

ในสภาพอากาศเย็นและแห้ง เพราะหากลิเธียมในแบตเตอรี่สัมผัสกับความชื้นจะทำให้เกิดปฏิกิริยากับไอน้ำและก่อให้เกิดการระเบิดได้

  1. จัดการแบตเตอรี่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินจริงอย่างถูกต้อง : ในการถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่องและทำความสะอาด โดยใช้ตัวทำละลาย เช่น ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์หรืออะซิโตนที่มีความเข้มข้นสูง (ควรใช้ในปริมาณเล็กน้อยเนื่องจากตัวทำละลายเป็นสารไวไฟและยังมีอะซิโตนอยู่ อาจทำให้ชิ้นส่วนพลาสติกเสียหายได้) นอกจากนี้เครื่องมือในการถอดแบตเตอรี่ต้องเป็นพลาสติกและระวังอย่าให้แบตเตอรี่ทะลุเพราะอาจปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
  2. หลังจากถอดก้อนแบตเตอรี่ : เมื่อถอดแบตเตอรี่ออกจากอุปกรณ์แล้วคุณไม่ควรทิ้งลงในน้ำหรือไฟ เพื่อทำลายแบตเตอรี่เด็ดขาด ควรห่อด้วยกระดาษหรือถุงพลาสติกในถังขยะแล้วนำไปที่โรงงานรีไซเคิลหรือจุดทิ้งขยะอันตราย

การเคลมเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone

หากแบต iphone บวม แต่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้หรือหากคุณสงสัยว่าโทรศัพท์ iphone มีอาการแบตบวม คุณสามารถเปลี่ยนแบต iphoneได้ที่ Apple Store หรือผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจาก Apple เพราะสถานที่ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจะใช้ชิ้นส่วนแท้ของ Apple โดยตรง และถ้าโทรศัพท์ iphone ของคุณอยู่ในระยะการได้รับประกันของ Apple ค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแบตจะเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของ AppleCare โดยแบตเตอรี่ต้องเก็บประจุได้น้อยกว่า 80% ของความจุเดิม บริการซ่อมแซมโทรศัพท์ iphone ของคุณจะไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากไม่อยู่ในประกันค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่จะขึ้นอยู่กับรุ่น iPhone ของคุณ ซึ่งมีราคาการเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับ iPhone ดังนี้

  • iPhone X, iPhone XS, iPhone XS Max,iPhone XR, iPhone 11 Pro Max,iPhone 11 Pro, iPhone 11 จะมีราคาอยู่ที่ 2,300 บาท
  • iPhone SE (รุ่นที่ 2), iPhone SE,iPhone 6, iPhone 6 Plus,iPhone 6s, iPhone 6s Plus,iPhone 7, iPhone 7 Plus,iPhone 8, iPhone 8 Plus,และรุ่นอื่นๆ ทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์จะมีราคาอยู่ที่ 1,600 บาท

sa gaming

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำการสังเกตและวิธีแก้ไขปัญหาความร้อนที่ทำให้แบต Huawei บวม

แบต Huawei บวม

บนอินเทอร์เน็ตมีโพสต์และการสนทนามากมาย ซึ่งผู้คนได้แบ่งปันปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญเกี่ยวกับโทรศัพท์ Huawei โดยปัญหาใหญ่ที่สุดที่เราพบคือแบตเตอรี่หมดและความร้อนสูงเกินไป สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้แบต Huawei บวมได้ ดังนั้นเราจึงมีมีวิธีการสังเกตและวิธีแก้ไขปัญหาความร้อนของโทรศัพท์มาแบ่งปัน เพื่อเป็นแนวทางช่วยคุณแก้ปัญหาแบตบวมได้

วิธีการสังเกตความร้อนของโทรศัพท์ที่อาจทำให้แบต Huawei บวม

ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปัญหาแบต Huawei บวม เรามาดูวิธีการสังเกตว่าแบตเตอรี่ของโทรศัพท์คุณบวมจริงหรือไม่ ซึ่งแบตบวมเกิดจากหลายปัจจัย โดยคุณสามารถสังเกตด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  1. แก้ปัญหาความร้อนของโทรศัพท์ Huawei ให้แคบลง

ผู้คนจำนวนมากซื้อโทรศัพท์ Huawei และบางคนก็บ่นเกี่ยวกับปัญหาแบตเตอรี่และการชาร์จของ Huawei เป็นจำนวนมาก ความร้อนเป็นเรื่องปกติไม่ใช่ปัญหา เพราะสมาร์ทโฟนทุกเครื่องเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่เมื่อคุณเผชิญกับปัญหานี้ตลอดเวลาและคุณรู้สึกว่าโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นมากและอาจทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นอันตรายต่อคุณ ซึ่งอาการแบบนี้อาจส่งผลให้แบตบวมได้ง่าย

  1. ด้านหลังโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นหรือไม่?

หากคุณรู้สึกว่าด้านหลังของโทรศัพท์มือถือของคุณกำลังประสบปัญหาร้อนขึ้นหรือร้อนกว่าปกติ คุณต้องเข้าใจว่าปัญหานี่ไม่ได้เกิดจากโทรศัพท์ Huawei แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับแบตเตอรี่ของ Huawei โดยตรง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณอาจเกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้คุณอาจจะประสบปัญหาด้านหลังโทรศัพท์ร้อนเมื่อคุณชาร์จโทรศัพท์จากที่ชาร์จอื่น ๆ เราแนะนำให้ลองชาร์จโทรศัพท์ของคุณจากเครื่องชาร์จของแท้และที่ Huawei ให้มาเผื่อปัญหานี้จะหมดไป

  1. ฐานโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นหรือไม่?

สังเกตที่ด้านล่างที่เป็นที่เสียบสายชาร์จว่าร้อนขึ้นหรือไม่? หากร้อนขึ้นจริงคุณต้องเข้าใจว่านี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับที่ชาร์จ โดยที่ชาร์จ Huawei อาจมีความผิดปกติหรือคุณอาจให้ที่ชาร์จแบตที่ไม่ได้มาตรฐาน ในการแก้ไขปัญหาการชาร์จของ Huawei ด้วยการเปลี่ยนที่ชาร์จที่เหมาะสำหรับโทรศัพท์ของคุณ

  1. โทรศัพท์ Huawei ร้อนขึ้นบริเวณด้านหลังส่วนบนหรือไม่?

หากโทรศัพท์ Huawei ของคุณร้อนขึ้นบริเวณด้านหลังส่วนบนค ต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ปัญหาแบตเตอรี่เลย อาจมีปัญหากับลำโพงหรือหน้าจอ ดังนั้นแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยวิธีที่ระบุด้านล่างนี้

  • หากโทรศัพท์ร้อนขึ้นจากลำโพง

หากคุณรับรู้ว่าส่วนที่ให้ความร้อนคือลำโพง และนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาหลักเท่านั้น แต่อาจทำให้หูของคุณเกิดอันตรายได้ ซึ่งปัญหานี้จะยังคงมีอยู่เมื่อลำโพงของโทรศัพท์ของคุณทำงานผิดปกติ ดังนั้นคุณต้องรีบไปที่ศูนย์บริการ Huawei ที่ได้รับอนุญาตและทำการซ่อมแซมทันที

  • หากหน้าจอของโทรศัพท์ร้อนขึ้น

หากหน้าจอหรือจอแสดงผลของโทรศัพท์ Huawei ของคุณร้อนขึ้นและบางครั้งดูเหมือนว่าจะมีอุณหภูมิสูงมากคุณสามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเป็นปัญหากับโทรศัพท์ Huawei ของคุณเท่านั้น ดังนั้นคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้ไว้ด้านล่าง

การแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ร้อน

ตอนนี้คุณได้รู้วิธีการสังเกตความร้อนของโทรศัพท์ที่อาจทำให้แบต Huawei บวม ซึ่งปัญหานี้พบมากใน huawei nova 3iและคุณอาจพบว่าปัญหานี้เกิดจากตัวโทรศัพท์ที่ส่งผลให้แบตเตอรี่ร้อนขึ้น เพราะฉะนั้นมาดูวิธีแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ร้อนได้ตามที่ระบุด้านล่างนี้

  • ใช้แอปของบุคคลที่สามเพื่อถนอมแบตเตอรี่

เป็นทางเลือกที่ดีในการใช้แอปของบุคคลที่สาม เพื่อลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟนของคุณ ซึ่งเรามีแอปที่อยากจะแนะนำให้คุณรู้จักอย่าง greenify Greenify เป็นUtility อันดับ 1 ของ Lifehacker ในปี 2013 เป็นแอปพลิเคชัน Android ที่ผู้ใช้โทรศัพท์ Android หลายคนต่างชื่นชอบ แอปนี้ช่วยให้คุณระบุแอปที่คุณไม่ได้ใช้งานและทำให้แอปเหล่านั้นเข้าสู่โหมด Hibernate และป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ของคุณล้าหลังและถนอมแบตเตอรี่ เมื่อไม่มีแอปทำงานในพื้นหลังคุณจะเห็นอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Huawei เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

  • ทำให้โทรศัพท์ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น

สิ่งสำคัญที่ทำให้โทรศัพท์ Huawei ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น ต้องลบแอปและข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อใช้งาน ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้โทรศัพท์และโปรเซสเซอร์ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น เพราะมันจะช่วยให้โทรศัพท์ของคุณทำงานน้อยลงซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่ Huawei และปัญหาความร้อนสูงเกินไป 

  • เปลี่ยนการตั้งค่าบนโทรศัพท์ของคุณเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่

คุณสามารถปิดบริการระบุตำแหน่งเพื่อลดการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้ นอกจากนี้การปรับการตั้งค่า GPS ยังช่วยให้คุณใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้น โดยการไปที่การตั้งค่า> ตำแหน่ง> โหมดและคุณจะเห็น 3 ตัวเลือก ความแม่นยำสูงซึ่งใช้ GPS, Wi-Fi และเครือข่ายมือถือในการกำหนดตำแหน่งของคุณซึ่งจะใช้พลังงานค่อนข้างมากในการทำงาน หากคุณปิดการตั้งค่านี้จะช่วยลดการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ และคุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเป็นตัวเลือกการประหยัดแบตเตอรี่ได้ โดยไปที่การตั้งค่า> แอปพลิเคชัน> ทั้งหมด> บริการ Google Play ที่นี่แตะที่ปุ่มล้างแคช การดำเนินการนี้จะรีเฟรชบริการ Google Play และหยุดแคชที่กินแบตเตอรี่ของคุณ

จีคลับ

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีเพิ่มความเร็วหลัง อัพเดท Android แล้วเครื่องช้า

อัพเดท Android

สำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต Android อาจพบกับปัญหาเครื่องทำงานช้าลง เนื่องจากสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตของคุณนั้นมันประมวลผลอยู่ตลอดเวลา โดยการประมวลผลเหล่านี้อาจเกิดจากแอปพลิเคชันที่ยังทำงานอยู่ หรือไฟล์แคชที่มีอยู่ภายในเครื่อง ภาพวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ บนหน้าจอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ย่อมส่งผลทำให้เครื่องทำงานได้ช้าลง หรือในบางกรณีโทรศัพท์ Android มักจะช้าลงตามเวลาการใช้งาน ส่วนใหญ่เป็นเพราะฮาร์ดแวร์เสื่อมสภาพ อย่างไรก็ตามมีหลายกรณีที่ผู้ใช้ อัพเดท Android แล้วพบว่าประสิทธิภาพของทำงานช้าลงหลังจากอัพเดตระบบปฏิบัติการ (OTA) เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันว่าจะมีวิธีใดบ้างที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลของสมาร์ทโฟนให้ทำงานได้ดีขึ้น

วิธีการเพิ่มความเร็วโทรศัพท์หลังอัพเดท Android

ปัญหาโทรศัพท์ช้าหลัง อัพเดท Android นี้เกิดขึ้นกับโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งมีหลากหลายแบรนด์ เช่น Samsung Xiaomi Vivo Realme Oppo Vivo Huawei และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นวันนี้เราจะพูดถึงวิธีการเพิ่มความเร็วโทรศัพท์และสาเหตุที่เกิดขึ้นบนโทรศัพท์ Android จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย

  1. การอัพเดตระบบปฏิบัติการและแอปที่หนักพื้นที่ภายในโทรศัพท์

การอัพเดตระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่นล่าสุดอาจไม่ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับโทรศัพท์ของคุณมากนัก และอาจทำให้การอัพเดตช้าลง หรือผู้ให้บริการและผู้ผลิตอาจเพิ่มแอป bloatware เพิ่มเติมในการอัพเดต ซึ่งทำให้การทำงานในพื้นหลังต่าง ๆช้าลง 

วิธีแก้ไข : หากระบบปฏิบัติการของคุณดูเหมือนช้าคุณ ให้ลองติดตั้ง ROM แบบกำหนดเองที่ไม่มี bloatware และสกินของผู้ผลิต แต่โปรดจำไว้ว่านี่เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ใช้ขั้นสูงและมักจะมีปัญหามากกว่าที่มันคุ้มค่า หากแอปของคุณช้าให้ลองปิดการใช้งานแอปนั้น แล้วเลือกใช้แอป

  1. กระบวนการทำงานแอปพลิเคชันเบื้องหลังทำให้โทรศัพท์ทำงานช้าลงได้

หากคุณติดตั้งแอปเพิ่มเติม ในขณะที่คุณยังคงใช้งานโทรศัพท์อยู่ บางแอปที่เปิดขึ้นจะเริ่มต้นทำงานในพื้นหลังด้วย ซึ่งถ้าคุณติดตั้งแอปจำนวนมาก แอปเหล่านี้อาจใช้ทรัพยากร CPU และ RAM ทำให้มือถือของคุณทำงานช้าลง ในทำนองเดียวกันหากคุณใช้ภาพวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ จำนวนมากบนหน้าจอหลัก สิ่งเหล่านี้จะใช้ทรัพยากร CPU กราฟิกและหน่วยความจำจำนวนมาก และอาจส่งผลเสียต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่อีกด้วย

วิธีแก้ไข : ปิดการใช้งานวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ ให้ออกจากหน้าจอหลักและถอนการติดตั้งหรือปิดใช้งานแอปที่ไม่จำเป็น หากต้องการตรวจสอบว่าแอปใดกำลังทำงานพื้นหลังให้ไปที่เมนู Running Services ในการตั้งค่า หากคุณไม่ได้ใช้แอปที่กำลังทำงานอยู่เบื้องหลังให้ถอนการติดตั้ง ถ้าคุณไม่สามารถถอนการติดตั้งให้คุณเลือกปิดการใช้งานแอปนั้น

  1. พื้นที่เก็บข้อมูลทำให้ระบบปฏิบัติการของคุณทำงานได้

โซลิดสเตทไดรฟ์จะทำงานช้าลง เมื่อคุณจัดเก็บข้อมูลในหน่วยความจำจนเต็ม สิ่งนี้ทำให้ระบบปฏิบัติกา Android และแอปพลิเคชันทำงานช้าลงมาก ซึ่งหน้าจอการจัดเก็บในเมนูการตั้งค่าจะแสดงให้คุณเห็นว่าพื้นที่เก็บข้อมูลของอุปกรณ์ของคุณเต็มเพียงใดและแอปไหนใช้พื้นที่เท่าไร ไฟล์แคชอาจใช้พื้นที่เก็บข้อมูลค่อนข้างน้อย แต่หากปล่อยให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆโดยไม่ได้ตรวจสอบก็อาจทำให้พื้นที่หน่วยความจำเต็มได้ง่าย ดังนั้นการล้างไฟล์แคชจะสามารถใช้เพิ่มพื้นที่ว่างในดิสก์และทำให้โซลิดสเตทไดรฟ์ของคุณทำงานได้ดีขึ้นอย่างน้อยก็จนกว่าแคชเหล่านั้นจะเต็มอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วิธีแก้ไข : รูปภาพและวิดีโอที่คุณถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์ของคุณถือเป็นตัวการใหญ่ที่สุดที่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลค่อนข้างเยอะ ดังนั้นควรทำการสำรองข้อมูลและลบออกจากโทรศัพท์ของคุณบ่อย ๆ และคุณยังสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยใช้ google drive เก็บรูปภาพเหล่านั้น มิฉะนั้นก็ถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันและลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้คุณยังสามารถรีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงานและติดตั้งเฉพาะแอปที่คุณต้องการเพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่เหมือนใหม่ได้

ทำไมโทรศัพท์ Android ถึงช้าและไม่ตอบสนอง?

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมโทรศัพท์ Android เครื่องช้าและค้างไม่ตอบสนอง? และอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหาอัพเดท Android แล้วเครื่องทำงานช้า คือการรีเซ็ตโทรศัพท์ เป็นการตั้งค่าจากโรงงาน อย่างไรก็ตามการดำเนินการนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดออกจากอุปกรณ์ของคุณ ถ้าคุณไม่อยากให้ข้อมูลหายให้ทำการสำรองข้อมูลต่อรีเซ็ต

ดังนั้นหลังจากการอัพเดท Android ของคุณแล้วเครื่องช้า ต้องเช็คโทรศัพท์ Android ของคุณหรือทำการ Wipe Cache Partition เพื่อล้างข้อมูล Cache ที่เก็บไว้ในเครื่อง ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้โทรศัพท์ Android ของคุณย้ายแอปและไฟล์ระบบที่อัปเดตใหม่ไปยังพาร์ติชันแคช รับรองเลยว่าการทำเช่นนี้จะช่วยเร่งความเร็วของโทรศัพท์ Android ของคุณอย่างมาก

จีคลับ

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า หรือ เครื่องอืด

oppo

มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์มือถือของคุณอย่างเช่นโทรศัพท์ทำงานช้า และไม่สำคัญว่าจะเป็นเครื่องใหม่หรือไม่ เพราะเนื่องจากในเวลาไม่ช้าโทรศัพท์ของคุณอาจจะเต็มไปด้วยไฟล์และแอปพลิเคชัน ที่สามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์ได้ และวันนี้เราก็มีวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า มาฝากทุกคน ตามมาดูกันเลยค่ะ

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า

การที่โทรศัพท์ oppo ช้า อาจเกิดจากประสิทธิภาพโดยรวมของระบบไม่ดี ซึ่งในกรณีนี้ระบบทั้งหมดจะให้ความรู้สึกว่าทำงานช้าขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างเช่น เข้าแอปแล้วโทรศัพท์กระตุก ต้องใช้เวลานานในการเข้าสู่แกลเลอรีรูปภาพและโดยทั่วไปคุณจะสังเกตเห็นว่าโทรศัพท์ของคุณสูญเสียความลื่นไหล หากคุณปฏิบัติต้องวิธีที่เราแนะนำมันอาจจะช่วยทำให้โทรศัพท์เร็วขึ้น ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

  1. เพิ่มพื้นที่ว่างในดิสก์

เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานโทรศัพท์แย่ลง เนื่องจากพื้นที่ว่างเหลือน้อยลง

อาจมีปัญหาทำให้เกิดข้อบกพร่องด้านประสิทธิภาพ การเพิ่มพื้นที่ว่างเป็นวิธีแรก เพื่อดูว่าความลื่นไหลของระบบดีขึ้นหรือไม่ โดยการทำเช่นนี้เราสามารถไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่เก็บข้อมูลและใช้ตัวล้างอัตโนมัติ จากนั้นก็รีสตาร์ทมือถือและตรวจสอบว่าประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่

  1. ลดการใช้วิดเจ็ต

การใช้งานที่มากเกินไปของวิดเจ็ตหรือวอลล์เปเปอร์แบบไดนามิกจำเป็นต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรของเครื่องโทรศัพท์ ดังนั้นมันจึงลดประสิทธิภาพการทำงาน หากเรามีวิดเจ็ตหรือวอลล์เปเปอร์หลายรายการ จึงถือเป็นเรื่องปกติที่มือถือของคุณจะช้า ไม่ราบรื่น ดังนั้นคุณต้องลดการใช้วิดเจ็ตบางส่วนและให้ทดสอบว่าปัญหาหายไปหรือไม่

  1. รีบูตบ่อยๆ

เป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนแทบไม่ได้ทำ แต่มันสะดวกมาก การรีสตาร์ทมือถือเป็นระยะ ๆจะช่วยให้คุณสามารถกำจัดข้อเสียของแคชและเพิ่มประสิทธิภาพทำให้โทรศัพท์ทำงานได้เร็วขึ้น สำหรับโทรศัพท์ OPPO เราแนะนำให้รีสตาร์ทอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าประสิทธิภาพการทำงานยังคงที่ไม่ได้ลดลง

  1. เครื่องร้อนไหม?

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบนโทรศัพท์มือถือ อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงชั่วคราว ซึ่งอาจส่งผลให้โปรเซสเซอร์หรือองค์ประกอบฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เสียหายได้ โดยเครื่องโทรศัพท์ร้อนมักเกิดขึ้นบ่อย เช่นเมื่อคุณเล่นเกมที่มีความต้องการกราฟิกเป็นเวลานานหรือเมื่อเล่นและโหลดในเวลาเดียวกัน หรือโทรศัพท์ OPPO ของคุณใช้การนำทางด้วย GPS เป็นเวลานาน จะทำให้มือถือร้อนเกินไปหรือร้อนกว่าปกติ เมื่อเวลาผ่านไปโทรศัพท์ของคุณอาจทำงานช้าลงหรืออาจทำให้แบตเตอรี่บวมได้อีกด้วย วิธีแก้ไขที่ดีสุดคือปล่อยให้มือถือของคุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งหมายถึงการปิดเครื่องและรออย่างน้อย 10 นาที เพื่อให้ระบบกลับสู่อุณหภูมิปกติ จากนั้นคุณก็สามารถเปิดอุปกรณ์ได้และดูว่าประสิทธิภาพฟื้นตัวหรือไม่

  1. อัปเดตซอฟต์แวร์

การอัปเดตซอฟต์แวร์ถือเป็นการดำเนินการปรับปรุงซอฟต์แวร์ภายในเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบว่าคุณอัปเดตซอฟต์แวร์หรือยัง โดยไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่ระบบ จากนั้นไปที่การอัปเดตระบบ

  1. ถอดการ์ด microSD

การ์ด microSD เป็นองค์ประกอบที่สำคัญบนโทรศัพท์ แต่นั่นก็อาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประสิทธิการทำงานแย่ลง หากคุณมีรูปถ่ายหรือแอปพลิเคชันใน microSD และมันทำงานไม่ถูกต้องจะแสดงประสิทธิภาพของระบบทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย ขั้นตอนต่อไปคือการถอด microSD และทดสอบว่าปัญหานั้นได้รับการแก้ไขหรือไม่

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแอปพลิเคชัน

ในกรณีที่โทรศัพท์ oppo ช้า ซึ่งมันอาจเกิดจากความผิดปกติบางโปรแกรม ซึ่งคุณยังมีตัวเลือกมากมาย เพื่อให้ความล้มเหลวของโปรแกรมหายไปและทำให้โทรศัพท์ OPPO ของคุณกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

  1. ลบและติดตั้งแอพใหม่ เป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำคือลบและติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ เมื่อมันเกิดความล่าช้าหรือทำงานไม่ผิดปกติ หากเกิดขึ้นกับแอปพลิเคชันมากกว่าหนึ่งรายการ คุณก็ต้องทำเช่นเดียวกัน เมื่อติดตั้งใหม่เสร็จแล้วให้ตรวจสอบว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
  2. ปิดแอปเบื้องหลัง

เพื่อป้องกันไม่ให้แอปพลิเคชันหลายตัวทำงานในพื้นหลัง ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรและประสิทธิภาพการทำงานลดลงคุณจะต้องแตะที่เมนูแอปพลิเคชันล่าสุดและปิดทั้งหมดในครั้งเดียว นอกจากนี้คุณยังสามารถปิดทีละรายการ เพื่อดูว่าประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่

  1. ดาวน์โหลดและใช้แอปอย่างเป็นทางการ

ในหลาย ๆ ครั้งแอปที่ดาวน์โหลดนอก Google Play อาจมีการแก้ไขโค้ดแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นแอปที่ถูกต้อง 100% ก็ตาม สิ่งนี้อาจสามารถทำให้โทรศัพท์ใช้ทรัพยากรมากขึ้นและมือถือของคุณเริ่มช้าลง วิธีแก้ไขคือลบแอปและลบไฟล์ขยะเหล่านี้ที่ดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการและลองดาวน์โหลดแอปโดยตรงจาก Google Play

  • ล้างแคช

หน่วยความจำแคชเป็นข้อมูลชั่วคราวที่เก็บไว้ในหน่วยความจำโทรศัพท์เมื่อมีการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือของคุณ แต่ละแอปพลิเคชันมีไฟล์แคชของตัวเองและใช้พื้นที่เก็บข้อมูลบางส่วน การล้างแคชนั้นเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับระบบในการสร้างไฟล์แคชใหม่ในครั้งต่อไป หากต้องการล้างแคชของแอปพลิเคชันให้ไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่เก็บข้อมูล ต่อด้วยล้างที่เก็บข้อมูล จากมันไปที่ลบทั้งหมด

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า เครื่องอืด

ซัมซุง

หลายคนที่ใช้โทรศัพท์ซัมซุง อาจจะเคยประสบปัญหาเครื่องทำงานประมวลผลช้าลง หรือเครื่องอืดมาก ซึ่งโทรศัพท์ซัมซุงใช้ระบบปฏิบัติการ Android เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน อาจจะมีปัญหาเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเว็บไซต์ หรือ แอปพลิเคชันต่างๆ ก็ทำงานช้า ไม่ลื่นปรื๊ดเหมือนต้องซื้อมาใหม่ๆ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า ที่จะทำให้โทรศัพท์ของคุณทำงานได้ลื่นขึ้นเหมือนตอนซื้อมาใหม่ๆ

แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser)ของ Google Chrome ที่ติดตั้งอยู่ให้ระบบมือถือ Android จะถูกติดตั้งมาจากโรงงานแทบทั้งสิ้น ซึ่งระบบการทำงานของเว็บเบราว์เซอร์ ต่างๆ จะทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ที่คุณเคยเข้าใช้งานหรือการเยี่ยมชมเว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการ บุ๊กมาร์ก (เพื่อเป็นทางลัดในการเก็บเว็บไซต์ที่คุณเข้าชมบ่อยๆ โดยครั้งหน้าจะเข้าเว็บไซต์นี้ ก็ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์หาอีก) หรือจะเป็นแท็บล่าสุด ประวัติการเข้าชม ดาวน์โหลด การตั้งค่าต่างๆ เป็นต้น 

โดยระบบการทำงานที่กล่าวมานี้ จะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมาก จึงกินพื้นที่เก็บข้อมูลหน่วยความจำของโทรศัพท์ ทำให้คุณมีพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลในการใช้งานที่เหลือน้อยลง ยิ่งถ้าหากโทรศัพท์มือถือของคุณถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งมีการเก็บข้อมูลจำนวนมากขึ้น ดังนั้นคุณต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้ให้หมดไป เพื่อที่จะได้เพิ่มพื้นที่ของหน่วยความจำของโทรศัพท์ให้กลับมาเหมือนเดิม อีกทั้งยังช่วยทำให้โทรศัพท์ทำงานหนักน้อยลง เอาล่ะค่ะ เมื่อคุณรู้ปัญหาหลักๆแล้ว และวิธีการแก้ไขพื้นฐานแล้ว มาดูวิธีที่เรานำมาแนะนำกันเลยค่ะ

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า ให้เร็วแรง มีประสิทธิภาพที่ดีอยู่ตลอด

เมื่อคุณใช้โทรศัพท์มือถือไปเป็นเวลานาน อาจต้องเจอกับปัญหาโทรศัพท์ช้า อืด กระตุกไม่ลื่นไหล และต่อให้คุณใช้โทรศัพท์ซัมซุงรุ่นใหม่ ที่มีระบบประมวลผลที่รวดเร็ว จัดเต็มมาทุกฟังก์ชัน ถ้าหากขาดการดูแลที่เหมาะสมอาจทำให้ในอีกหลายปีข้างหน้าประสิทธิการทำงานลดลงอย่างเช่น เมมเต็ม เครื่องอืด และค้างได้ ซึ่งวันนี้เราก็มี 4 วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้าง่ายๆมาแนะนำทุกคน รับรองว่าโทรศัพท์ซัมซุงของคุณจะกลับมาลื่นปรื๊ดแน่นอนค่ะ จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย

  1. ล้างไวรัสด้วยแอปพลิเคชั่น

วิธีแรกนี้ถือเป็นวิธีขั้นพื้นฐานที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนต้องรู้ไว้ และนี้เป็นวิธีที่สามารถทำได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันนี้มีหลากหลายแอปให้โหลดผ่าน Playstore แต่หากคุณใช้ Samsung Galaxy S9 หรือ S9+ คุณไม่จำเป็นต้องโหลด เพราะโทรศัพท์ซัมซุงรุ่นนี้มีฟีเจอร์สำหรับสแกนไวรัสมัลแวร์ ด้วยวิธีเพียงไม่กี่ขั้นตอน โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปใหม่ เพียงเท่านี้โทรศัพท์ของคุณก็จะห่างไกลไวรัส และมัลแวร์

  1. ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น

หลายคนคงเคยประสบปัญหาเมมเต็ม เครื่องอืด ยิ่งบ่อยครั้งที่คุณใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ แล้ว ต้องเคยเจอกับปัญหาเหล่านี้ เนื่องจากคุณอาจไม่เคยลบ หรือเคลียพื้นที่แอปในเครื่อง ทำให้พื้นที่ความจำของโทรศัพท์โดนจำกัด ดังนั้นคุณควรเคลียไฟล์ หรือ แอปที่ไม่ได้ใช้งาน หรือเกมที่เลิกเล่นแล้วออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลของโทรศัพท์ให้เร็วแรง ทำงานได้เต็มที่อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ตลอด

  1. ลบประวัติการค้นหา google

วิธีนี้เป็นวิธีที่ใครหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทุกครั้งที่คุณทำการค้นหาข้อมูลบนแพลตฟอร์ม google ในโทรศัพท์ซัมซุง ระบบจะทำการเก็บข้อมูลไว้ใน History หรือการ log in เข้าเว็บต่างๆ จนก่อให้เกิดเป็นไฟล์ขยะในเครื่อง และอาจมีข้อมูลค้างอยู่ ทำให้กินพื้นที่ของเครื่องโดยไม่จำเป็น ซึ่งวิธีง่ายๆในการลบไฟล์ขยะและลบประวัติการค้นหานี้ สามารถทำเองได้ง่ายๆ ผ่านระบบในเครื่อง

  1. ล้างข้อมูลและเรียกคืนการตั้งค่าจากโรงงาน 

เมื่อคุณทำการล้างไวรัสและลบไฟล์ต่างๆแล้ว แต่โทรศัพท์มือถือยังคงค้างและประมวลผลช้าอยู่ ให้คุณลองใช้วิธีล้างข้อมูลและเรียกคืนการตั้งค่าจากโรงงาน เพื่อล้างแคช ลบขยะไฟล์ต่างๆ ที่ติดไวรัสอยู่ และไม่สามารถเอาออกได้ ด้วยวิธีดังนี้

  • สำรองข้อมูลโทรศัพท์ของคุณก่อนจากนั้นไปที่การตั้งค่า
  • แตะ “การจัดการทั่วไป” และเลือก “รีเซ็ต” 
  • กด “รีเซ็ตการตั้งค่า”

ซึ่งหลังจากล้างเครื่อง(รีเซ็ต)เสร็จ สมาร์ทโฟนของคุณก็จะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ หมดปัญหาเรื่องเครื่องช้าไปได้เลย 

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงค้าง ปิดเครื่องไม่ได้

หากคุณลองใช้วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้าแล้ว ทำให้โทรศัพท์เร็วขึ้น แต่หากโทรศัพท์ค้าง แล้วไม่สามารถทำอะไรได้ไม่ว่าจะเป็น กดที่หน้าจอไม่ได้ กดปุ่มปิดเครื่องค้างไว้ก็ไม่ทำงาน ทางเลือกสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำคือการเปิดฝากหลัง แล้วถอดก้อนแบตเตอรี่ออกมาจากตัวเครื่อง แล้วใส่ก้อนแบตเตอรี่เข้าไปใหม่ จากนั้นก็เปิดเครื่องใหม่ โดยมีวิธีการแก้ปัญหาดังนี้

  1. ในขณะที่หน้าจอยังติดอยู่ ให้คุณทำการ กดปุ่ม “Download Mode” ด้วยวิธี Volume Down+Home+Power พร้อมกันค้างไว้จนเครื่องสั่น ซึ่งโดยปกติแล้ววิธีนี้จะเอาไว้แฟลชรอมหรือรูทเครื่อง
  2. หลังจากเครื่องสั่นแล้ว บนหน้าจอจะขึ้นแจ้งว่าต้องการเข้า “Download Mode” หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ให้เรากดปุ่ม Volume Down หรือปุ่มลดเสียง เพื่อยกเลิกแล้วมือถือของคุณก็จะทำการรีสตาร์ทเครื่องอัตโนมัติ

ทางเข้า bet168

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

เตือน!!! อย่านำแบตบวม แช่ตู้เย็นเด็ดขาด

แบตบวม

แบตเตอรี่โทรศัพท์และแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กส่วนใหญ่เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อสร้างพลังงาน ซึ่งหากแบตประเภทนี้มีอายุการใช้งานมานาน อาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่สมบูรณ์แบบ ส่งผลให้เกิดก๊าซจำนานมากภายในแบตเตอรี่ ที่อาจทำให้เกิดการรั่วไหลจนบวมและเกิดการเผาไหม้ได้ โดยอาการบวมเป็นผลมาจากการที่อนุภาคก๊าซเข้าไปจับชั้นอยู่ภายในของแบตเตอรี่ จนในที่สุดก็เจาะพังผืดที่แยกชั้นออกมา จับความชื้นในอากาศ จะทำให้เกิดปฏิกิริยากับเซลล์ทำให้แบตบวม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการระเบิดขึ้นได้

เมื่อคุณทราบแล้วว่าแบตเตอรี่อุปกรณ์ของคุณมีอาการบวม วิธีแก้ไขเบื้องต้น คือ ปิดเครื่อง ห้ามชาร์จไฟ เพราะกระแสไฟที่ชาร์จจะถ่ายโอนไปที่ก้อนแบตที่มีสภาพการใช้งานไม่เต็มร้อย อาจส่งผลให้ตัวเครื่องมีความเสี่ยงสูงจนเกิดอาการไหม้ หรือระเบิดเลยก็ได้ และควรนำเครื่องไปเปลี่ยนแบตใหม่ โดยให้เลือกเปลี่ยนจากศูนย์บริการที่ผ่านการรับรองจาก มอก. และอีกหนึ่งความเชื่อที่ไม่ควรทำคือ ไม่ควรนำแบตบวม แช่ตู้เย็น เพื่อยืดอายุการใช้งานเด็ดขาด เพราะมันเป็นวิธีการที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งวันนี้เราก็มีอันตรายจากการนำแบตบวมไปแช่ตู้เย็นและวิธีการปฏิบัติหากเกิดแบตบวม จะเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

อันตรายจากการนำแบตบวม แช่ตู้เย็น

หากแบตเตอรี่อุปกรณ์ของคุณมีอาการแบตบวม ควรนำแบตไปเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรนำแบตบวม แช่ตู้เย็นเด็ดขาด และไม่ควรเจาะแบตบวม เพื่อให้หายบวม เพราะเสี่ยงจะทำให้เกิดอันตรายได้ แล้วการนำแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กที่เสื่อมคุณภาพไปแช่เย็น จะทำให้นำกลับมาใช้ได้หรือไม่? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่แบบรีชาร์จ ที่ใช้กับโน้ตบุ๊ก หรือแบตเตอรี่ปกติทั่วไป หากนำไปแช่เย็น มันจะขยายตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดการระเบิด หรือชิ้นส่วนที่อยู่ภายในแบตเสียหาย ที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการลุกไหม้ได้ บางเหตุการณ์ถึงขั้นไฟไหม้บ้านเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม คุณสามารถนำแบตเตอรี่สำรองไปเก็บไว้ในตู้เย็นได้ แต่ต้องไม่ใช่ช่องแช่แข็ง การนำแบตเตอรี่สำรองไปแช่ตู้เย็นไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม แต่มันเป็นการช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานได้นานขึ้น เพราะความร้อนเป็นศัตรูตัวฉกาจของแบตเตอรี่ ดังนั้น การลดความร้อนจึงเป็นการยืดอายุของแบตเตอรี่ไปโดยปริยาย 

หากแบตเตอรี่โทรศัพท์บวมควรปฏิบัติอย่างไร?

เมื่อคุณทราบแล้วว่าไม่ควรนำแบตบวม แช่ตู้เย็น ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมวิธีการปฏิบัติหากอุปกรณ์ของคุณเกิดอาการแบตบวม และมีลักษณะดันจอ ควรปฏิบัติดังนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่นการระเบิดและเผาไหม้

  1. อย่าชาร์จหรือใช้แบตเตอรี่บวม

เมื่อคุณสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่บวมหรือมีโอกาสเกิดอันตรายใด คุณควรหยุดใช้อุปกรณ์นั้นทันที เมื่อแบตเตอรี่ถึงจุดเสียหายจนแบตเตอรี่บวม นี่ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนว่ากลไกความปลอดภัยทั้งหมดในแบตเตอรี่ออฟไลน์ การชาร์จแบตเตอรี่ที่บวมเป็นการขอให้มันกลายเป็นลูกบอลระเบิดจากก๊าซไวไฟที่เป็นพิษ

  1. ถอดแบตเตอรี่ออก

เมื่อพูดถึงการถอดแบตเตอรี่มีกฎที่สำคัญอย่างหนึ่งคืออย่าทำให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้นโดยการบีบอัด เพราะจะทำให้เกิดปัญหาหรือทำลายปลอกด้านนอกของแบตเตอรี่ หรือหากคุณเจาะแบตเตอรี่ที่บวมอาจก่อให้เกิดสิ่งการระเบิดเนื่องจากสารประกอบภายในจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและความชื้นในอากาศ

หากอุปกรณ์ของคุณสามารถเปิดเคสหรือแผงอุปกรณ์ เพื่อถอดแบตเตอรี่ออกได้อย่างง่ายดาย การทำเช่นนี้ถือเป็นประโยชน์สูงสุด เพราะจะป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่ที่ขยายออกไป ทำอุปกรณ์ภายในเสียหายและจะป้องกันไม่ให้ ขอบคมภายในช่องใส่แบตเตอรี่ทะลุชั้นป้องกันรอบ ๆ แบตเตอรี่

เมื่อคุณถอดแบตเตอรี่ออกแล้วคุณควรทำ 2 อย่างทันที ขั้นแรก คือให้หุ้มหน้าสัมผัสของแบตเตอรี่ (หากมีการสัมผัส) ด้วยเทปไฟฟ้า ขั้นที่ 2 คือเก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่แห้งและเย็นห่างจากสิ่งไวไฟจนกว่าคุณจะสามารถนำมันไปยังสถานที่กำจัดได้อย่างปลอดภัย

หากอุปกรณ์ของคุณไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ออกได้อย่างง่ายดาย คุณควรนำอุปกรณ์ไปยังสถานบริการร้านแบตเตอรี่เฉพาะทาง หรือผู้รีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ได้รับอนุญาต ควรหาคนที่มีเครื่องมือ / ทักษะเพื่อช่วยเปิดอุปกรณ์ของคุณและถอดแบตเตอรี่ที่เสียหายออก

แม้ว่าคุณจะไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง ควรนำอุปกรณ์ทั้งเครื่องไปเก็บไว้ในที่แห้งและเย็นเพื่อลดการเสื่อมสภาพของเซลล์แบตเตอรี่และเก็บให้ห่างจากสิ่งที่ติดไฟได้

  1. ทิ้งแบตเตอรี่ที่ศูนย์รีไซเคิลที่ได้รับอนุญาต

ไม่ว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือจะได้รับความเสียหายหรือไม่ ก็ไม่ควรทิ้งเหมือนขยะทั่วไป เพราะแบตเตอรี่ไม่ใช่แค่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม แต่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนใหม่เอี่ยมก็ยังเป็นอันตรายจากไฟไหม้หากมีการเจาะหรือลัดวงจรในถังขยะหรือรถบรรทุกขยะ

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
News วิธีดูแลรักษา สอนใช้ แนะนำแอปฯ

แนะนำ Power Bank แบตเตอรี่สำรองพกพาสะดวกที่ดีที่สุดประจำปี 2020

Power Bank

อุปกรณ์ Power Bank แบบพกพาเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะเพียงแค่แบตเตอรี่ของโทรศัพท์ อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวัน คนที่ต้องออกจากบ้านควรพกแบตเตอรี่สำรองติดตัวไปด้วยเสมอ โดยเฉพาะคนที่ติดสมาร์ทโฟนอย่างหนัก หรือมีการใช้งานมือถือต่อเนื่องตลอดเวลา หากคุณมีแบตเตอรี่สำรองพกติดตัวไปด้วยจะยิ่งอุ่นใจยิ่งขึ้น ไม่ว่าแบตเตอรี่จะหมดตอนไหนคุณก็พร้อมชาร์จพลังงานตลอดเวลา

แบตเตอรี่สำรอง หรือ Power Bank ที่พกพาสะดวกีขายตามท้องตลาดมากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งอาจทำให้หลายคนสับสน ไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อตัวไหนดีละ และความจุที่มีจะเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ และวันนี้เราก็ได้รวบรวม 5 อันดับ Power Bank ความจุเยอะ พกพาสะดวก และน่าใช้ที่สุดในปี 2020 มาฝากทุกคนเพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเราได้ยกตัวอย่างผลการทดสอบอุปกรณ์ชาร์จมาฝากทุกคนอีกด้วย

5 อันดับ Power Bank ความจุเยอะ พกพาสะดวก และน่าใช้ที่สุดในปี 2020

หากคุณเป็นคนที่พยายามรักษาแบตเตอรี่โทรศัพท์ให้อยู่เต็ม 100% อยู่เสมอหรือกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมด ซึ่งในบางวันแบตเตอรี่ 100 % อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้นคุณควรมี Power Bank สักเครื่องติดตัวไว้เวลาออกนอกบ้าน และในวันนี้เราก็มีสุดยอด Power Bank ที่มีความจุเยอะพกพาสะดวก มาฝากทุกคน รับรองว่ารุ่นที่เรานำมาแนะนำไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน

  1. Anker PowerCore 10000: เริ่มกันที่แบตเตอรี่สำรองที่พกพาสะดวกขนาดกะทัดรัดมีน้ำหนัก 6.4 ออนซ์ ที่มีความจุถึง 10,000mAh ซึ่งเพียงพอที่จะชาร์จโทรศัพท์ได้ถึง 2 เครื่อง ด้วยความที่มีขนาด 3.6 x 2.3 x 0.9 นิ้ว ทำให้ไม่ว่ากระเป๋าขนาดใหญ่หรือกระเป๋าใบเล็กก็สามารถพกพา Power Bank นี้ได้สบายไม่กินพื้นที่ของกระเป๋า
  2. Anker PowerCore 20100: เป็นเครื่องชาร์จแบบพกพาที่ใช้เวลาในการชาร์จที่เร็วขึ้น (ทั้ง iPhone 8 Plus และ Galaxy S8) มีความจุสูงถึง 20100mAh มีน้ำหนักอยู่ที่12.6 ออนซ์ และขนาด 6.6 x 2.4 x 0.9 นิ้ว ถ้าเทียบกับความจุเท่านี้ถือว่ารุ่นนี้มีขนาดที่พกพาสะดวก ซึ่งโดยเฉลี่ย Galaxy S8 ใช้เวลา 95 นาทีในการชาร์จเต็ม และ iPhone 8 Plus ใช้เวลา 98 นาทีในการชาร์จเต็ม
  3. Poweradd Slim 2: พาวเวอร์แบงค์แบบพกพามีขนาดเล็กมากพอดีกับฝ่ามือของคุณเนื่องจากมีพลังงานมากกว่าอุปกรณ์ขนาดใกล้เคียงกันถึง 33% และความเร็วในการชาร์จนั้นเร็วพอ ๆ กับยี่ห้อที่เป็นคู่แข่ง และมีความจุ 5000mAh อีกทั้งมีน้ำหนัก 4.4 ออนซ์ และมีขนาด 3.9 x 1.3 x 1.2 นิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นคุณสามารถจับคู่กับกระเป๋าหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ของคุณได้เนื่องจาก Poweradd Slim 2 นี้มีเฉดสีเมทัลลิกสีดำ สีฟ้า สีเขียว สีชมพูและสีแดง ถูกใจสาวกสายแฟชั่นแน่นอน ซึ่งได้มีการทดลองชาร์จกับ Galaxy S8 พบว่าภายใน 15 นาทีจะได้แบตเตอรี่ 12% และใน 60 นาทีได้แบตเตอรี่ 55% ส่วน iPhone 8 Plus พบว่าภายใน15 นาทีจะได้แบตเตอรี่ 15 % และใน60 นาที ได้แบตเตอรี่ 55 %
  1. Jackery Bolt: เป็นแบตเตอรี่สำรองที่มีพอร์ต Lightning เหมาะสำหรับ iPhone มีความจุ 6000mAh และมีน้ำหนัก 6 ออนซ์ มีขนาด: 5.5 x 3.7 x 1.2 นิ้ว ทำให้พกพาใส่กระเป๋าได้สะดวก Bolt ได้มีการทดลองชาร์จกับ Galaxy S8 พบว่าภายในเวลา 1 ชั่วโมง ได้แบตเตอรี่ 81% และ iPhone 8 Plus ชารจ์ภายในเวลา 1 ชั่วโมง ได้แบตเตอรี่ 63% ซึ่งทั้ง 2 เป็นอัตราที่เร็วที่สุดสำหรับอุปกรณ์ชาร์จอื่นๆ นอกจากนี้สายชาร์จ Lightning และ micro USB ในตัวยังเป็นประโยชน์ที่ดีช่วยให้คุณไม่ต้องพกพาของคุณเองด้วย
  2. Anker PowerCore+ mini: เครื่องชาร์จแบบพกพาขนาดเล็กที่มีสีสันสวยงาม มีความจุอยู่ที่ 3350mAh มีน้ำหนัก 2.8 ออนซ์ และมีขนาด 3.7 x 0.9 x 0.9 นิ้ว เป็นมิตรกับกระเป๋าพกพาสะดวก ที่มาพร้อมกับโทนสีเมทัลลิกที่ทำให้เครื่องชาร์จนี้ดูดีขึ้น และจากการทดสอบการชาร์จ พบว่าภายใน 15 นาที iPhone 8 Plus และ Galaxy S8 ได้แบตเตอรี่เพียง 9% เท่านั้น แต่ถือว่ารุ่นนี้พกพาสะดวกที่สุด แถมมีสีสันที่สวยงามถูกใจสายแฟชั่นแน่นอน

วิธีเลือก Power Bank แบบพกพาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

การเลือกหาความจุของ Power Bank สำหรับคุณควรจะเลือกที่เป็นตัวเลข 4 ถึง 5 หลักโดยมีหน่วยเป็น mAh ตามหลังเพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าอุปกรณ์ชาร์จนี้เหมาะกับคุณมากแค่ไหน หากคุณเป็นคนที่ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์และอุปกรณ์อื่น ๆ อยู่ตลอดเวลาให้เลือกใช้แบตเตอรี่สำรองที่มีพลังงานความจุอย่างน้อย 10,000mAh และสำหรับอุปกรณ์พิเศษแต่ละเครื่องที่คุณชาร์จให้เพิ่มอย่างน้อย 5,000 mAh

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
วิธีดูแลรักษา

เมื่อแบตเตอรี่โทรศัพท์บวม ควรปฏิบัติอย่างไร

เมื่อแบตเตอรี่โทรศัพท์บวม ควรปฏิบัติอย่างไร

   เมื่อคุณสังเกตเห็นว่ามีโทรศัพท์ของคุณแบตเตอรี่โทรศัพท์บวม นั้นถือเป็นสัญญาณเตือนให้คุณรู้ว่าควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้แล้ว เพราะหากคุณยังเปลี่ยนไว้แบบนั้นมันอาจส่งผลอันตรายต่อคุณและโทรศัพท์ขอคุณได้ ซึ่งแบตเตอรี่เป็นที่ชิ้นส่วนสำคัญสำหรับโทรศัพท์ ที่จำเป็นต้องมีการดูแลรักษาอย่างดี เพราะมีอายุการใช้งานจำกัด หากแบตเริ่มเสื่อมสภาพ ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายขึ้นได้ อย่างเช่น เครื่องพัง หน้าจอ ปุ่มกดเสียหาย ไปจนถึงตัวเครื่องไหม้หรือระเบิดได้ แล้วสาเหตุที่ทำให้แบตโทรศัพท์เกิดอาการบวมเกิดจากอะไร และมีวิธีปฏิบัติอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบและคำแนะนำมาฝากทุกคน จะมีอะไรบ้างตามเรามาดูกันเลยค่ะ

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์บวมเป็นเรื่องทางเคมี

   แบตเตอรี่โทรศัพท์บวมมีสาเหตุเกิดจากเรื่องทางเคมี โดยเว็บไซต์ iFixit ได้ให้คำตอบว่าโดยทั่วไปแล้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนต้องอาศัยปฏิกิริยาทางเคมีในการชาร์จ ดังที่หลายๆคนอาจเคยเรียนจากวิชาเคมีในโรงเรียน ซึ่งหากปฏิกิริยาทางเคมีไม่ได้ใช้รีเอเจนต์ที่มีอยู่จนหมดมันจะสร้างผลพลอยได้แทนและบางครั้งผลพลอยได้เหล่านั้นก็ไม่เป็นที่ต้องการ ดังนั้นหากคุณชาร์จแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนผิดปกติกระบวนการนี้จะสร้างก๊าซแทนที่จะชาร์จเพียงอย่างเดียว ก๊าซนี้จะก่อตัวขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและเนื่องจากแบตเตอรี่ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนาจึงขยายตัว แทนที่จะระบายออก โดยขั้นตอนนี้จะทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้แบตเตอรี่ได้รับก๊าซมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเป็นสาเหตุที่แบตเตอรี่โทรศัพท์ดันหน้าจอออกจากตัวเครื่อง และหากคุณชาร์จต่อไป ในที่สุดแบตเตอรี่ก็อาจจะระเบิดได้ ซึ่งเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับ Samsung Galaxy Note 7 เมื่อปี 2559 หลายๆคนคงจำได้เพราะช่วงนั้นเป็นข่าวดังมาก

วิธีปฏิบัติเมื่อแบตโทรศัพท์ของคุณบวม

   อันตรายที่เกิดจากแบตเตอรี่เสื่อมหรือบวม เริ่มจากทำให้ส่วนอื่น ๆ ของเครื่องเสียหาย เช่นหน้าจอ ฝาหลังโก่งและงอ ปุ่มกดใช้งานไม่ได้ เพราะแบตเตอรี่บวมจนดันส่วนประกอบภายใน ถ้าคุณยังใช้งานต่อโอกาสสูงที่ตัวเครื่องจะไหม้หรือระเบิดได้ หากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ควรหยุดใช้โทรศัพท์เครื่องนั้นโดยด่วน และสิ่งแรกที่คุณควรทำกับเมื่อแบตเตอรี่โทรศัพท์บวมคือคุณไม่ควรชาร์จโทรศัพท์ จากนั้นให้วางไว้ในที่แห้งและเย็น และทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

    1.อย่าชาร์จหรือใช้งานโทรศัพท์

   เมื่อคุณสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์บวมหรือถูกเสียหายในทางใดทางหนึ่ง สิ่งแรกเลยคือคุณควรหยุดใช้อุปกรณ์นั้นทันที หรือปิดเครื่องและเหนือสิ่งอื่นใดอย่าชาร์จแบตอุปกรณ์นั้นเด็ดขาด เมื่อแบตเตอรี่ถึงจุดที่น่ากลัวมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย ให้คุณนึกภาพแบตเตอรี่บวมที่กลไกความปลอดภัยทั้งหมดในแบตเตอรี่ออฟไลน์ไปแล้ว การชาร์จแบตเตอรี่ที่บวมก็เหมือนกับการถูกปล่อยให้อยู่กับลูกระเบิดของแก๊สไวไฟที่เป็นพิษในห้องนั่งเล่นของคุณนั่นแหละ

    2.ส่งร้านซ่อมเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่

   การเปลี่ยนแบตเตอรี่ ถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยให้เลือกใช้แบตเตอรี่จากศูนย์บริการของแบรนด์นั้น ๆ หรือเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน ยี่ห้อที่มีชื่อเสียงไว้ใจได้ ผ่านการรับรองจาก มอก. อย่านำก้อนแบตเตอรี่ไปห่อหนังสือพิมพ์แล้วแช่ตู้เย็นเด็ดขาด หรืออย่าเจาะแบตเตอรี่เพื่อให้หายบวม เพราะมันเป็นวิธีที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง มันไม่ได้ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ แต่มันจะยิ่งสร้างความเสี่ยงให้กับคุณถ้าหากยังนำก้อนแบตที่บวมมาใช้งานอยู่ ทางที่ดีควรเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่โทรศัพท์ก้อนใหม่ตามที่แนะนำ เพราะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายขณะใช้งานมือถือ แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานโทรศัพท์อีกด้วย

    3.ทิ้งแบตเตอรี่ที่ศูนย์รีไซเคิลที่ได้รับอนุญาต

   หลายคนคงสงสัยว่าแบตเตอรี่ที่เสียหายแล้วควรนำไปทิ้งที่ไหน? ซึ่งแบตเตอรี่นั้นเป็นสิ่งที่อันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และคุณไม่ควรหลุมฝังกลบอย่างยิ่ง เพราะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนรุ่นใหม่ในปัจจุบันยังเป็นอันตรายที่ทำให้เกิดไฟไหม้ได้หากมีการเจาะทะลุหรือย่อในถังขยะหรือรถบรรทุกขยะ 

คุณควรกำจัดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนรุ่นใหม่ที่ใช้แล้วหรือได้รับความเสียหายผ่านศูนย์รีไซเคิลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ในการค้นหาศูนย์รีไซเคิลใกล้บ้านของคุณสามารถหาได้ในอินเตอร์เน็ต หรือโทรไปยังศูนย์กำจัดสารอันตรายในเขตที่อยู่อาศัยของคุณ โดยให้บางพื้นที่จะมีถังขยะแยกที่มีสัญลักษณ์ให้ทิ้งขยะที่เป็นอันตรายซึ่งคุณสามารถเลือกทิ้งในถังขยะนั้นได้

ฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
วิธีดูแลรักษา

โทรศัพท์ทำงานลื่นปรื๊ดได้ง่ายๆ ด้วยเคล็ดลับทั่วไปที่ช่วยเร่งความเร็วเมื่อโทรศัพท์ช้า

โทรศัพท์ทำงานลื่นปรื๊ดได้ง่ายๆ

หากโทรศัพท์ที่ทำงานช้าเป็นปัญหาที่หน้าเบื่อสำหรับคุณ ซึ่งอาจเป็นเพราะหลายแอปพลิเคชันกินทรัพยากรเครื่องโดยมากเกินไป โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่มีการรับ-ส่งภาพและวิดีโอ เพราะแอปเหล่านี้เป็นแอปที่คนส่วนใหญ่ใช้งานเป็นประจำ และจำนวนข้อมูลก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้งาน แต่ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร วันนี้เราก็มีเคล็ดลับง่ายๆที่ใช้โดยทั่วไปในการช่วยเร่งความเร็วเมื่อคุณรู้สึกว่าโทรศัพท์ช้า เป็นวิธีง่ายๆสำหรับอุปกรณ์ iOS และ Android 

อย่าทนกับโทรศัพท์ที่ช้ากันเลยค่ะ มาดูสิ่งที่เรานำมาเสนอในวันนี้กันดีกว่าเพราะมันจะช่วยเพิ่มความเร็วให้โทรศัพท์ของคุณในเวลาอันรวดเร็วแน่นอนค่ะ

วิธีเพิ่มความเร็วเมื่อโทรศัพท์ช้าง่ายๆที่คุณก็ทำได้

แม้จะมีความแตกต่างระหว่างโทรศัพท์ iOS และ Android แต่การทำงานที่สำคัญของทั้ง 2 ระบบก็มีความคล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีเคล็ดลับทั่วไปบางประการที่จะช่วยให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ช้าของคุณได้ในเวลาอันรวดเร็ว

     1.ล้างแคชของโทรศัพท์

หากคุณใช้โทรศัพท์เพื่อท่องอินเทอร์เน็ตมากกว่าใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายความว่าเว็บเบราว์เซอร์ในโทรศัพท์ของคุณไม่ว่าจะเป็น Chrome, Safari หรือ Opera กำลังจัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก การล้างแคชจะช่วยประหยัดพื้นที่เก็บข้อมูลและเพิ่มความเร็วเบราว์เซอร์ของโทรศัพท์ได้อีกด้วย

     2.อัปเดตระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์

คุณอาจได้ยินบางคนบ่นเกี่ยวกับการอัปเดตระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ชอบดีไซน์ใหม่หรือพวกเขารำคาญที่อาจจะใช้พื้นที่เก็บข้อมูลในโทรศัพท์มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการอัปเดตของ Android หรือ iOS ในแต่ละครั้งจะมาพร้อมกับการปรับปรุงความเร็วและคุณสมบัติด้านความปลอดภัยรวมถึงการแก้ไขข้อบกพร่องที่สามารถช่วยเพิ่มความเร็วได้

  • วิธีอัปเดต iOS บน iPhone หรือ iPad ให้แตะการตั้งค่า > ทั่วไป > อัปเดตซอฟต์แวร์ นอกจากนี้คุณยังสามารถเปิดการอัปเดตอัตโนมัติซึ่งจะอัปเดต iOS เมื่อเสียบโทรศัพท์ของคุณและชาร์จระหว่างช่วงเวลา 02.00 น. ถึง 05.00 น.
  • วิธีอัปเดต Android เริ่มต้นโดยการไปที่การตั้งค่า > เกี่ยวกับโทรศัพท์ / อุปกรณ์ > Software Update  เพียงแค่นี้โทรศัพท์ของคุณจะค้นหาการอัปเดต หากมีการอัปเดตคุณจะได้รับแจ้งให้ติดตั้ง นอกจากนี้คุณยังสามารถกำหนดเวลาการอัปเดตในภายหลังหรือเปิดการอัปเดตอัตโนมัติได้อีกด้วย

     3.ลบแอปที่ไม่ได้ใช้งาน

การลบแอปที่ไม่ใช้งานเป็นวิธีทําให้โทรศัพท์เร็วขึ้นที่ชัดเจนที่สุด เพราะแอปเหล่านั้นกินพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้โทรศัพท์ของคุณทำงานช้า อีกทั้งยังทำให้โปรเซสเซอร์ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากคุณไม่ได้ใช้แอปก็ควรเพิ่มพื้นที่ว่างให้โทรศัพท์โดยการลบมันออก

  • วิธีลบแอปบน iPhone มี 2 วิธีเพียงแค่กดแอปที่คุณต้องการลบค้างไว้และเมื่อแอปเริ่มเต้นไปมาบนหน้าจอของคุณให้แตะ “x” ที่มุมบนซ้าย หรือการแตะไปที่การตั้งค่า > ทั่วไป > ที่เก็บข้อมูล iPhone > เลือกแอป > ลบแอป
  • วิธีลบแอปบนโทรศัพท์ Android คุณอาจไม่สามารถลบแอปทั้งหมดบนโทรศัพท์ Android ของคุณได้ แต่คุณสามารถปิดใช้งานแอปเหล่านั้นเพื่อไม่ให้แสดงในรายการแอปของคุณได้ โดยไปที่การตั้งค่า > แอปและการแจ้งเตือน เลือกแอปที่คุณต้องการถอนการติดตั้ง หรือแตะดูแอปทั้งหมดหรือข้อมูลแอปหากไม่พบ จากนั้นแตะถอนการติดตั้ง หรือการปิดใช้งานแอปจะเป็นไปตามกระบวนการเดียวกัน

     4.ปิดแอปที่ไม่จำเป็น

ถึงแม้ว่าทั้ง Apple และ Google ต่างอยู่เบื้องหลังแอปต่างๆ ซึ่งจะไม่ขัดขวางประสิทธิภาพของโทรศัพท์ของคุณ แต่อย่างไรก็ตามหากยังมีแอปที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เช่น แอปที่กำลังระบุตำแหน่งของคุณ อาจส่งผลต่อความเร็วของโทรศัพท์ได้

  • วิธีปิดแอปบน iOS กดปุ่มโฮม 2 ครั้งจากนั้นปัดขึ้นบนแอปที่คุณต้องการปิด
  • วิธีปิดแอปบน Android วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยแตะปุ่มภาพรวม (โดยปกติจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทางขวาของปุ่มโฮมบนซัมซุง จะอยู่ทางซ้าย) > จากนั้นคุณจะเห็นรายการแอปที่เปิดอยู่ > ลากแอปออกจากหน้าจอหรือแตะ “X” ที่มุมบนของหน้าต่างแอป

สาเหตุหลักที่ทำให้โทรศัพท์ตอบสนองช้า 

มันเป็นความเบื่อหน่ายที่สุดหากโทรศัพท์ช้า แต่โทรศัพท์ก็เหมือนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กในกระเป๋าของคุณ เพราะหากมันช้า อาจเกิดจากหลายๆปัจจัย โทรศัพท์ก็เหมือนกันซึ่งปัจจัยส่วนใหญ่ที่ทำให้โทรศัพท์ตอบสนองช้า ไม่ว่าจะเป็นแอปไม่ตอบสนองบ้าง โทรศัพท์อืดบ้าง โดยสาเหตุหลักๆที่เราพบจะเป็นการใช้แอปหรือโปรแกรมมากเกินไปทำให้มีพื้นที่จัดเก็บน้อย หรืออาจจะเป็นเพราะใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย แบตเตอรี่เก่า และรวมเป็นถึงเครื่องทำงานหนักจนร้อนเกินไปทำให้โทรศัพท์มือถือของคุณทำงานช้าและมีอายุการใช้งานที่น้อยลง

สมัครเล่นเกมส์ออนไลน์ได้เงินจริง

HILO-88.COM
HILO-88.COM