How to ทำอย่างไรถ้าแล็ปท็อปของคุณค้าง

แล็ปท็อป ถือเป็นเครื่องมือเทคโนโลยีที่หลายๆคนเลือกใช้งาน เพราะเป็นอุปกรณ์ ที่เพิ่มความสะดวกสบายแถมยังพกพาสะดวก แล้วแล็ปท็อปของคุณทำงานช้าหรือค้างระหว่างใช้งานอยู่หรือไม่? หากคอมพิวเตอร์ของคุณตอบสนองช้าหรือค้าง เราขอนำเสนอวิธีการกู้คืนจากปัญหาที่เกิดขึ้นและแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต

วิธีแก้ปัญหาและป้องกันไม่ให้แล็ปท็อปค้าง

1. ให้เวลาสักครู่เพื่อรอเครื่องประมวลผล หากคุณกำลังทำงานที่ต้องใช้ CPU มากเป็นพิเศษบางครั้งสิ่งต่าง ๆอาจค้างไปชั่วขณะทำให้คุณคิดว่าแล็ปท็อปของคุณค้างอย่างถาวร ให้รอสักครู่เพราะเครื่องอาจกำลังประมวลผลอยู่
2. กำจัดโปรแกรมที่ก่อให้เกิดปัญหา หาก Windows ไม่กู้คืน (หรือเริ่มค้างอีกครั้งหลังจากกู้คืน) ให้กดคำสั่งผสมนี้บนแป้นพิมพ์ : Ctrl + Alt + Delete แล้วเลือกตัวเลือกจัดการงานจากหน้าจอ จากนั้นคุณสามารถรีสตาร์ทโปรแกรมเพื่อทำงานต่อได้ และหากไม่ได้ผล คุณอาจต้องถอนการติดตั้งโปรแกรมนั้น
3. ตรวจสอบตัวจัดการงานของเบราว์เซอร์ของคุณ บางครั้งแล็ปท็อปของคุณทำงานได้ดี แต่เบราว์เซอร์อาจติดขัดในบางหน้า Windows อาจแจ้งให้คุณทราบว่าเบราว์เซอร์ของคุณไม่ตอบสนอง แต่ถ้าคุณต้องการทราบเกี่ยวกับสาเหตุคุณอาจต้องเจาะลึกลงไปใน Chrome ให้กด Shift + Esc เพื่อดูตัวจัดการงานของ Chrome
4. Reboot หากกด Ctrl + Alt + Delete ไม่ทำงานแสดงว่าโน๊ตบุ๊คค้าง และวิธีแก้ปัญหาที่จะทำให้คอมพิวเตอร์กลับมาทำงานอีกครั้งคือการฮาร์ดรีเซ็ต กดปุ่มเปิด / ปิดค้างไว้จนกว่าคอมพิวเตอร์ของคุณจะปิดจากนั้นกดปุ่มเปิด / ปิดอีกครั้งเพื่อ boot การเริ่มเครื่องใหม่อีกครั้งหนึ่ง
5. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ หากคุณยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการค้างได้ เราขอแนะนำให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของ Windows ซึ่งเป็นเครื่องมือรายงานข้อผิดพลาดที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักซึ่งฝังอยู่ในการตั้งค่าของ Windows เปิดเมนูเริ่มค้นหา ‘ความน่าเชื่อถือ’ แล้วคลิกตัวเลือก ‘ดูประวัติความน่าเชื่อถือ’ ที่ปรากฏขึ้นจะเห็นกราฟความน่าเชื่อถือของพีซีของคุณตลอดเวลาพร้อมบันทึกข้อขัดข้องและปัญหาอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการอัปเดตและแอปพลิเคชันที่ติดตั้งใหม่ มีตัวเลือกในการดูรายละเอียดทางเทคนิคหรือตรวจสอบฐานข้อมูลของ Microsoft เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา รายละเอียดเหล่านี้
6. ระวังความร้อนสูงเกินไป ความร้อนที่มากเกินไปมักจะทำให้แล็ปท็อปค้างเปิดไม่ได้ และหากอุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียสขึ้นแสดงว่าคอมพิวเตอร์ของคุณร้อนเกินไป
7. ทดสอบแรมของคุณ หน่วยความจำที่ไม่ดีอาจเป็นตัวการของเครื่องทำงานช้าได้ ดังนั้นหากคุณสงสัยว่าอาจมี RAM stick ที่ล้มเหลวก็ถึงเวลาเรียกใช้การทดสอบ เปิดเมนูเริ่มและค้นหาเครื่องมือวินิจฉัยหน่วยความจำของ Windows มันจะรีบูตแล็ปท็อปและทดสอบหน่วยความจำเพื่อแจ้งให้คุณทราบหากพบปัญหา หากการทดสอบทั้งหมดออกมาว่าคุณมี RAM ไม่เพียงพอให้กด Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิดตัวจัดการงานในครั้งถัดไปที่คุณประสบปัญหาและคลิกแท็บประสิทธิภาพ หากหน่วยความจำของคุณเต็มอาจถึงเวลาอัปเกรด

หากทุกอย่างไม่ได้ผลให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญ

ถ้าดูเหมือนวิธีที่เราแนะนำข้างต้น ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แล็ปท็อปของคุณอาจมีปัญหาที่ฮาร์ดแวร์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง และหากเครื่องของคุณยังอยู่ในระยะประกันโปรดติดต่อผู้ผลิตเพื่อขอรับบริการ หากเมนบอร์ดเสีย หรือโน๊ตบุ๊คค้างจอดํา ซึ่งคุณก็สามารถแก้ไขได้ผู้ผลิตอาจเปลี่ยนใหม่ให้ฟรี แต่ถ้าประกันหมดอายุไปนานแล้วให้หาร้านซ่อมที่ดีในพื้นที่ของคุณและดูว่าพวกเขาสามารถวินิจฉัยปัญหาได้หรือไม่ คุณอาจจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมแซมนั้น

การชาร์จโทรศัพท์ข้ามคืนทิ้งไว้ในขณะนอนหลับเป็นผลเสียถึงขั้นเป็นอันตรายหรือไม่? มีคำถามมากมายเกี่ยวกับแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ มีการถกเถียงกันจำนวนมาก เนื่องจากบางคนกลัวว่าแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนจะ “ใช้งานเกินกำลัง” ซึ่งความกังวลดังกล่าวดูเหมือนจะค่อนข้างสมเหตุสมผลเนื่องจากเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา Galaxy Note 7s ของ Samsung เกิดไฟลุกขึ้นเบื้องต้นเกิดจากปัญหาแบตเตอรี่ แต่ตามที่เราได้ติดตามข่าวมานั้นอธิบายได้ว่าเกิดข้อบกพร่องในเรื่องของการผลิต และวันนี้เราขอนำเสนอเรื่องราวความจริงของการชาร์จโทรศัพท์ iPhone หรือ Android โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสียบปลั๊กค้างคืน

การชาร์จโทรศัพท์ข้ามคืนจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพจริงหรือ?

สิ่งหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนเห็นพ้องต้องกันเมื่อมีคำถามเกี่ยวกับการชาร์จโทรศัพท์ข้ามคืนนั้นคือ สมาร์ทโฟนฉลาดพอที่จะไม่ปล่อยให้เกิดการโอเวอร์โหลด ซึ่งมันมีชิปป้องกันภายในทำให้สมาร์ทโฟนมีการตัดวงจรกระแสไฟฟ้า เมื่อมีการชาร์จจนเต็ม แต่อาจเกิดปัญหาได้หากสมาร์ทโฟนเจอความร้อน หรืออยู่ในอุณหภูมิที่สูง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแนะนำให้นำเคสออกจากโทรศัพท์ก่อนชาร์จ เพื่อระบายความร้อนจากตัวเครื่องในขณะที่ชาร์จ และอย่าวางโทรศัพท์ที่ชาร์จอยู่ไว้ใต้หมอนเด็ดขาด

          อาการชาร์จแล้วเครื่องร้อนอาจเกิดจากสายชาร์จเสีย หรือหากคุณใช้สายชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน (เช่นสาย Lightning ของ iPhone ควรได้รับการรับรอง MFi ) อาจเป็นปัญหาได้ สายไฟและขั้วต่ออาจไม่ตรงตามข้อกำหนดสำหรับโทรศัพท์ของคุณ

ควรชาร์จแบตเตอรี่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม

แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่เกลียดสองสิ่งนี้ นั้นก็คือ ความเย็นจัดและความร้อนสูง เมื่อคุณชาร์จแบตเตอรี่ไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพและหมดเร็วขึ้น ภายในของสมาร์ทโฟนทุกเครื่องไม่ชอบความร้อนและความชื้น เพราะมันมีระบบคอมพิวเตอร์อยู่ในนั้น ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์กับอากาศร้อนและความชื้น เป็นเสมือนศัตรูตัวฉกาจของกันและกันมาหลายทศวรรษแล้ว

          ในเรื่องของอุณหภูมิที่เหมาะสมนั้น Apple ได้กล่าวไว้ว่าการชาร์จ iPhone ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส หรือ 95 องศาฟาเรนไฮต์ จะทำให้แบตเตอรี่เสียหายถาวร เช่นเดียวกันกับสมาร์ทโฟนสมัยใหม่ทุกรุ่น หากคุณจะชาร์จโทรศัพท์ข้ามคืนคุณควรเลือกสถานที่ที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้สมาร์ทโฟนของคุณเครื่องร้อนเกินไป

สรุปส่งท้าย การชาร์จโทรศัพท์ข้ามคืนทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์มีอายุการใช้งานน้อยลง ?

จากข้อมูลข้างต้น จะทำให้ทราบว่า การชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้ามคืน จะไม่ส่งผลเสียต่อตัวสมาร์โฟนและแบตเตอรี่ เนื่องจากสมาร์ทโฟนจะมีการตัดวงจรกระแสไฟฟ้า เมื่อมีการชาร์จจนเต็ม แต่อย่างไรก็ตามการที่จะชาร์จแบตเตอรี่ทั้งคืนนั้น ผู้ชาร์จควรจะนำเคสออกจากโทรศัพท์ก่อนชาร์จ เพื่อเป็นการระบายความร้อนจากตัวเครื่องในขณะที่ชาร์จ ควรเลือกใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน และควรชาร์จในที่ที่มีอุณภูมิที่เหมาะสม

    ปัจจุบันมีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ออกมาจำหน่ายอย่างมากมายซึ่งโทรศัพท์มือถือที่เราใช้อยู่แน่ใจหรือว่าจะสามารถใช้ต่อไปได้อีกในอนาคตหรือไม่เพราะทุกอย่างย่อมมีการอัพเดทและมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาบางครั้งเราไม่อยากซื้อโทรศัพท์ใหม่แต่ด้วยความเสถียรของโทรศัพท์เราเองจำเป็นต้องเลือกซื้อโทรศัพท์ใหม่แต่จะทำอย่างไรกับโทรศัพท์เก่าของเราดีล่ะวันนี้เรามีวิธีการจัดการโทรศัพท์เก่าที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่ใช่เพียงแค่ทิ้งแต่มาทำให้เกิดประโยชน์กันมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ

นำโทรศัพท์รุ่นเก่าของเราไปขาย

    ในเมื่อเราซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่มาแล้วโทรศัพท์รุ่นเก่าของเราหากจะเอาไว้เฉยๆก็คงจะเป็นการสร้างภาระรวมถึงสร้างขยะให้แก่ตนเองเพราะเราคงไม่นำโทรศัพท์รุ่นเก่ากลับมาใช้งานแล้วทางที่ดีเราควรนำโทรศัพท์รุ่นเก่าของเราไปขายตามร้านรับโทรศัพท์มือสองหรือการนำโทรศัพท์ไปแลกกับศูนย์เพื่อที่จะได้ส่วนลดในการซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่อีกด้วยปัจจุบันมีการแจกจ่ายโปรโมชั่นนี้อย่างมากมายเรียกได้ว่าคุ้มค่าสุดๆไปเลย   

นำโทรศัพท์ที่ไม่ใช้แล้วไปบริจาค

    โทรศัพท์รุ่นเก่าของเราหากไม่ใช้แล้วแต่ยังมีอีกหลายคนที่ต้องการโทรศัพท์แต่ไม่มีเงินหรือปัจจัยที่มากพอในการซื้อโทรศัพท์เรายังสามารถนำโทรศัพท์รุ่นเก่าของเราไปบริจาคให้แก่ผู้ที่ต้องการรับบริจาคได้อีกด้วยนอกจากจะเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของเราแล้วยังเพิ่มมูลค่าทางจิตใจให้กับเราได้อีกด้วย 

เก็บโทรศัพท์มือถือของเราไว้เป็นเครื่องสำรอง

    ในกรณีที่โทรศัพท์มือถือของเรายังมีการใช้งานได้อยู่แต่ยังเสียดายไม่อยากขายรวมถึงใช้มานานมีความผูกพันบางอย่างการนำโทรศัพท์มือถือไว้เป็นเครื่องสำรองก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกันเพราะปัจจุบันการติดต่องานสื่อสารทางโทรศัพท์มีด้วยกันหลายทางอาจจะใช้โทรศัพท์รุ่นเก่าไว้โทรหรือติดต่องานก็ยอมได้เช่นกัน

การนำโทรศัพท์มือถือไปประยุกต์ใช้

    สำหรับการประยุกต์ใช้โทรศัพท์มือถือของเรานั้นต้องบอกไปก่อนเลยว่าต้องเป็นคนที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในด้านนี้พอสมควร อุปกรณ์ภายในโทรศัพท์มือถือหากคนที่ใช้งานเป็นจะทราบว่า ภายในเครื่องโทรศัพท์มือถือนั้นสามารถนำไปประกอบเป็นเทคโนโลยีอื่นได้อย่างมากมายดังนั้นแล้วถ้าไม่ให้เป็นการสูญเสียมูลค่าของโทรศัพท์มือถือนั้นเรานำมาประยุกต์ใช้เพื่อจะได้เกิดไอเดียใหม่สำหรับการใช้งานสิ่งของอื่นๆ

    จะเห็นได้ว่าโทรศัพท์ของเราถ้าเรารู้วิธีที่จะจัดการกับเครื่องเก่าเราก็สามารถเพิ่มมูลราคาได้ง่ายแล้วไม่จำเป็นต้องทิ้งหรือเก็บไว้ให้เสียประโยชน์เราสามารถทำได้แม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้งานแล้วสุดท้ายแล้วการเลือกใช้ประเภทไหนต้องดูความเหมาะสมของตัวเราเช่นกัน

    ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ได้มีการพัฒนาในเรื่องของความจุสำหรับแบตเตอรี่มากขึ้นมีการรองรับเทคโนโลยีสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานด้วยความเร็วสูงมากขึ้นเพราะโดยปกติแล้วแบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือทั่วไปมักจะมีระยะเวลาการใช้งานได้ประมาณหนึ่งวันเท่านั้นซึ่งถ้าเกิดมีการใช้งานค่อนข้างเยอะในแต่ละวันแบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือก็จะหมดเร็วเช่นกัน ซึ่งที่สำคัญสำหรับปัญหาแบตเตอรี่คือเราไม่สามารถแกะออกมาเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เองหากแบตเตอรี่ในโทรศัพท์ของเรามีปัญหาซึ่งปัญหาของแบตเตอรี่อาจมีด้วยกันหลายสาเหตุเช่นการชาร์จแบตไม่เข้าซึ่งนั่นถือเป็นสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้โทรศัพท์ของเราจะไม่สามารถใช้งานได้วันนี้เราจึงมีวิธีแก้ไขสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ไม่เข้าในเบื้องต้นมาฝากทุกคนกันค่ะ

เช็คสายชาร์จว่ามีปัญหาหรือไม่  

    สาเหตุแรกในการเกิดปัญหาการชาร์จแบตเตอรี่ไม่เข้ามักเกิดขึ้นที่สายชาร์จเราจำเป็นต้องเช็คว่าสายชาร์จของเรานั้นคงอยู่ในสภาพดีและสมบูรณ์อยู่หรือไม่เพราะอุปกรณ์ที่เรียกว่าสายชาร์จนั้นเป็นอุปกรณ์ที่พังง่ายที่สุดซึ่งจะเกิดจากการหักจากการเสียบเข้าออกอยู่บ่อยบ่อยดังนั้นหากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ไม่เข้าดูแล้วแนะนำว่าให้ลองเปลี่ยนสายชาร์จดูเสียก่อน

ช่องเสียบ USB มีปัญหา

    เมื่อมีการชาร์จแบตเตอรี่ในหลายหลายครั้งแล้วแน่นอนว่าการเสียบเข้าออกบ่อยบ่อยจะทำให้เกิดการเสียดสีกันระหว่างปกรณ์ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหลักที่อาจทำให้USBเกิดการเสียหายได้รวมไปถึงการพยายามเสียบสายชาร์จแบบไม่ถูกด้านจนทำให้ช่องเสียบนั้นพังขึ้นมาปัญหาเหล่านี้เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองจึงจำเป็นต้องนำส่งเข้าศูนย์          

แบตเตอรี่ของโทรศัพท์เรานั้นเสื่อมสภาพ

    โทรศัพท์มือถือรุ่นที่เก่าอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่ของเรานั้นเสื่อมสภาพลงเช่นกันเพราะพังค้างการใช้งานในระยะเวลานานอาจทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ได้เร็วยิ่งขึ้นไม่มีวิธีแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรมแต่สิ่งที่จะแก้ไขในเบื้องต้นได้นั่นคือเราชาร์จแบตเตอรี่ให้เป็นเวลาไม่ควรชาร์จไปเล่นไป นอกจากจะทำให้มีโอกาสแบตเตอรี่เสื่อมได้เร็วขึ้นแล้วยังทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ของเรานั้นช้าลงไปอีกทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่ของเราเกิดการชาร์จไม่เข้าหรือเสื่อมนั่นเองการจะดูแลรักษาโทรศัพท์มือถือให้คงทนอยู่ต่อไปได้ในระยะยาวจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงการใช้งานโทรศัพท์มือถือนั้นๆ และสิ่งที่สำคัญในการใช้งานโทรศัพท์มือถือจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ได้รับรองมาตรฐานหรืออุปกรณ์ที่เป็นของแท้เท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในอนาคตอันใกล้ได้

    โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆมีระบบการกันน้ำได้เป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่ทำมือถือตกน้ำแต่ยังคงมีอีกหลายรุ่นก่อนที่ยังไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้ซึ่งถ้าหากว่าใครหลายคนถ้าพี่จะทำน้ำหกทรายหรือตกน้ำก็อาจทำให้โทรศัพท์ของเรานั้นเกิดความเสียหายในเบื้องต้นได้ซึ่งไม่ว่ามือถือของเราจะแข็งแรงหรือมี ความทนทานมากแค่ไหนแต่หากไม่ได้ออกแบบมาเพื่อกันน้ำก็ไม่สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยทางนี้จะทำให้น้ำเข้าไปสู่วงจรเทคโนโลยีต่างๆจนเกิดการช็อตของระบบโทรศัพท์มือถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนั้นหากเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้โทรศัพท์มือถือของเราตกน้ำยังพอมีวิธีการแก้ไขเบื้องต้นอยู่บ้างเช่นเดียวกันและเราก็สามารถปฏิบัติตามได้ไม่ยากวันนี้เราจึงมีวิธีการแก้ปัญหาสำหรับโทรศัพท์มือถือตกน้ำเบื้องต้นมาฝากทุกท่านกันค่ะ          

    หากโทรศัพท์มือถือโดนน้ำให้รีบนำตัวเครื่องออกจากน้ำโดยเร็วทันทีเมื่อนำตัวเครื่องออกมาแล้วให้เช็คอุปกรณ์แต่ไม่ควรกดปุ่มเปิดปิดเครื่องโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดการลัดวงจรทำให้แผนการควบคุมโทรศัพท์มือถือเกิดความเสียหายได้และให้รีบถอดส่วนประกอบต่างๆของมันคือออกจากกันได้อย่างรวดเร็วเช่นซิมการ์ด เพื่อลดความเสียหายของตัวโทรศัพท์มือถือได้ไหนเบื้องต้น        

    นำมือถือตั้งไว้ในแนวตั้งถ้าหากกรณีที่โทรศัพท์มือถือของท่านไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ออกได้หลังจากนั้นแล้วใช้การสลัดน้ำออกจากโทรศัพท์มือถือด้วยระยะของแรงที่พอดีและนำกระดาษทิชชูหรือผ้าที่ไม่มีคนมาซับบริเวณน้ำที่เกาะอยู่ตามจุดต่างๆทำให้แห้งเท่าที่จะทำได้หรือมีการใช้พัดลมในการช่วยเปล่าได้สิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาดคือใช้ไดเป่าผมเป่าโทรศัพท์มือถือเพราะจะทำให้เกิดความร้อนสูงและเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ได้ รวมถึงไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือของเราที่โดนน้ำไปตากแดดเพียงหวังให้โทรศัพท์มือถือแห้งเร็วขึ้นเพราะความร้อนจากแสงแดดมีความร้อนที่สูงมากเกินไปที่ไม่เหมาะกับมือถือและอุปกรณ์ของโทรศัพท์มือถือของเรานั่นเอง

    เมื่อทำตามขั้นตอนดังกล่าวที่ผ่านไปข้างต้นได้แล้วให้ท่านตรวจเช็คดูอีกว่าโทรศัพท์มือถือรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆปราศจากน้ำและความชื้นหลังจากนั้นประกอบตัวเครื่องให้เรียบร้อยและทิ้งไว้สักพักระยะเวลาประมาณหนึ่งถึง 2 ชั่วโมงจึงนำไปเปิดเครื่องเพื่อตรวจสอบอาการผิดปกติอื่นๆหากลองใช้งานดูแล้วไม่พบปัญหาใดใดก็สามารถใช้งานได้ตามปกตินั้นเองแต่ทางที่ดีนั้นเราจำเป็นต้องนำไปเช็คกับทางร้านว่าโทรศัพท์ของเรามีความเสียหายในบริเวณไหนเพิ่มเติมอีกหรือไม่เพื่อเป็นการใช้งานโทรศัพท์มือถือได้ในระยะยาวต่อไป

                ไม่ว่าจะเป็นแบตมือถือ หรือการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าผู้ผลิตก็กำลังหาวิธีที่จะทำให้ได้อย่างรวดเร็ว สำหรับมือถืออาจทำได้ตามต้องการแล้ว แต่รถยนต์ไฟฟ้ายังอยู่ในการพยายามอยู่ เนื่องจากการชาร์จเร็วนั้นทำให้ประหยัดเวลาไปได้เป็นอันมาก จึงกลายเป็นจุดขายของแต่ละค่ายที่ต่างก็นำมาใช้ในการโฆษณา ใครทำได้เร็วกว่าดีกว่าก็จะคว้ายอดขายไปครอง สำหรับผู้ผลิตบางรายนั้นก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าที่จะเดินหน้าเต็มตัว

                เนื่องจากยังพบว่าการชาร์จเร็วชาร์จไวนั้นยังมีข้อต้องระวังอีกมากมาย โดยเฉพาะกับตัวแบตเตอร์รี่เอง และอาจรวมไปถึงตัวเครื่องด้วย จึงยังต้องขอศึกษาอีกเล็กน้อยในรายละเอียด ในขณะเดียวกันผู้ผลิตบางรายก็กล้าพอที่จะออกมายอมรับแล้วว่า การชาร์จเร็ว ชาร์จไว้ดังกล่าวนั้นทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติจริง โดยเฉพาะกับแบตเตอรี่ที่มีความจุระหว่า 4,000-4,500 mAh กับการชาร์จโดยใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีก็ยิ่งจะทำให้เกิดความเสื่อมได้เร็วยิ่งขึ้น

                เรื่องดังกล่าวได้รับการยอมรับ และสนับสนุนโดยเว็บไซต์ DDsn.it ซึ่งเป็นเว็บที่มีชื่อเสียงในการทดสอบการใช้งานของแบตเตอรี่มือถือและเป็นที่ยอมรับของวงการ IT เมื่อได้ทดลองกับแบตเตอรี่ขนาด 65W ทั้งหมดถึง 200 กว่าครั้ง ผลปรากฏว่าความจุของแบตจาก 100% จะลดลงเหลือ 85% เท่านั้นซึ่งหมายความว่าในการชาร์จแต่ละครั้งไม่สามารถที่จะเก็บพลังงานได้สูงสุด หรือ 100% เต็มนั่นเอง

                การชาร์จแบตแต่ละครั้ง จะเริ่มตั้งแต่ 0-100% นับเป็น 1 รอบ แต่ถ้าเริ่มที่ 50-100% ก็จะนับเป็น 0.5 รอบ การชาร์จแบตวันละ 1 ครั้งถือเป็นเรื่องปกติ 1 ปีก็จะต้องชาร์จกันถึง 365 ครั้ง จะเห็นว่าความจุจะลดลงเรื่อย ๆ แบตบางอันอาจลดลงเหลือแค่ 80% เท่านั้น เรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการแบตมือถือนั้นมีความเสื่อมลงด้วยเหตุจากการใช้งาน แต่ถ้ายิ่งมีการชาร์จเร็วขึ้นสก็จะยิ่งเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเลือกแบบไหน ระหว่างการชาร์จเร็ว หรือการใช้ตามปกติซึ่งก็มีผลที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

                เนื่องจากการชาร์จแบบธรรมดาจะมีผลทำให้แบตเสื่อมได้เช่นกันแต่อาจช้ากว่าการชาร์จเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แล้วละว่าจะเลือกแบบไหน แต่มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ชาร์จแบตตอนกลางคืนว่าไม่จำเป็นต้องชาร์จเร็วก็ได้ เลือกชาร์จช้าหน่อยจะดีกว่า เพราะไม่ได้รีบร้อนที่จะไปไหน เพราะก็ต้องใช้ในวันรุ่งขึ้นอยู่แล้ว และยังไม่ทำให้แบตเสื่อมเร็วอีกด้วย การชาร์จเร็วอาจทำในเวลาเร่งรีบบางครั้งบางคราวจะดีกว่า

    โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญของคนเมืองส่วนใหญ่ไปแล้ว เนื่องจากชีวิตประจำวันของคนเราเปลี่ยนไป ต้องติดต่อธุรกิจกันตลอดเวลานั่นเอง เพราะนอกจากจะโทรพูดคุยกันปกติแล้ว มือถือยังสามารถทำอะไรได้อีกหลายอย่างเช่น ส่งข้อความ ดูดคุยทางแชท เฟสบุ๊ค ไลน์ และอื่น ๆ ดังนั้นจึงต้องมีการดูแลรักษาให้คงสภาพการใช้งานให้นานที่สุด เนื่องจากมือถือแต่ละเครื่องนั้นมีราคาที่สูง และไม่อาจที่จะใช้งานทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ได้ มาดูกันซิว่าการรักษาสภาพมือถือให้อยู่กับเราได้นานที่สุดต้องทำอย่างไร

ข้อปฏิบัติในการดูแลรักษาสภาพมือถือให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    ต้องไม่ใช้งานมือถือในขณะที่กำลังชาร์ตไฟ เนื่องจากที่เครื่องกำลังเพิ่มกระแสไฟด้วยการชาร์จแบต ฯ อยู่นั้นระบบจะทำงานหนักมากกว่าขณะตัวเครื่องปกติถึง 40 เท่า ดังนั้นการใช้งานขณะนั้นทำให้แบต ฯ ต้องเพิ่มพลังงานให้สูงขึ้นซึ่งอาจเป็นการเกินกำลังของแบต ฯ ที่จะรับไหวจึงทำให้ตัวเครื่องและแบต ฯ เสื่อมสภาพได้เร็วยิ่งขึ้น

            ไม่ควรใช้อุปกรณ์เสริมที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่เป็นไปตามมาตรฐานจากโรงงาน หลายท่านเลือกใช้อุปกรณ์เสรีมที่ราคาถูกจึงเป็นการเสี่ยงโดยใช้เหตุ ที่จะทำให้มือถือของท่านเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด

    ปิดการทำงานของแอปพลิเคชั้นที่ไม่ได้ใช้งานให้หมด เครื่องจะได้ไม่ทำงานหนักเกินไป เนื่องจากแอปพลิเคชั่นเหล่านี้มักจะมีข้อความเตือนเข้ามาอยู่บ่อย ๆ ทำให้เครื่องต้องทำงานหนักยิ่งถ้าเข้ามาพร้อมกับที่ท่านกำลังใช้งานปกติอยู่ก็ยิ่งทำให้เครื่องต้องโหลดหนักยิ่งขึ้นไปอีก

    อย่าให้มือถือต้องโดนความร้อน เพราะความร้อนจะเป็นอันตรายอย่างมาก ใด้หลีกเลี่ยงให้ห่าง เช่น การทิ้งมือถือไว้ในรถที่จอดอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งจะทำให้มือถือเสี่อมสภาพได้เร็วกว่าปกติ และมีอายุการใช้งานที่สั้นลง ๆ

    แม้ว่ามือถือรุ่นใหม่ ๆ จะได้รับการออกแบบให้มีความคงทนกว่าเดิม แต่การใช้งานก็ควรต้องระมัดระวังด้วย เพราะถ้าอยู่ในสภาพผิดปกติก็มิอาจที่จะใช้งานได้ เช่นถ้ามือถือตกน้ำ หรืออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อน หนาวมากเกินไปก็คงไม่เข้าที ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงได้ก็จะเป็นการดีที่สุด การใช้งานในสภาพปกตินาน ๆ ก็อาจทำให้เครื่องผิดปกติได้เช่นกัน ยิ่งถ้าอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด หรือใช้งานกลางแจ้งที่มีแสงแดดที่แรงมากในเวลากลางวัน ถ้าหลบเข้าที่ล่มได้จะเป็นการดีกว่า มือถือของท่านจะได้ทำงานได้อย่างปกติขึ้น

    มือถือเป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคที่ต้องระวังในการใช้งาน โดยเฉพาะแบต ฯ ที่ให้พลังงานไม่ควรถอด ๆ ใส่ ๆ ถ้าไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงเด็กเพราะถ้าเด็กเอาไปเล่นอาจทำตกให้เกิดความเสียหายได้เร็วขึ้น

ผู้สนับสนุน: https://hilo-88.com/

วิธีป้องกันเบื้องต้นสำหรับการป้องกันโทรศัพท์มือถือหาย

                โทรศัพท์มือถือนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนในยุคปัจจุบันกันหมดแล้วซึ่งไม่สามารถกลับมาในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือกันได้แล้วแต่หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นโทรศัพท์มือถือของเราหล่นหายหรือถูกขโมยเราสามารถตามโทรศัพท์มือถือกลับมาได้อย่างไรบ้างซึ่งวันนี้เรามีบทความเกี่ยวกับวิธีป้องกันเบื้องต้นสำหรับการป้องกันโทรศัพท์มือถือหาย จะทำให้คุณตามหาโทรศัพท์มือถือที่หล่นหายของคุณได้ง่ายมากขึ้น

จำเป็นต้องลงทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องในโทรศัพท์ของคุณ

 สาเหตุที่จำเป็นต้องลงทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องในโทรศัพท์จะช่วยให้เข้าถึงบริการหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆได้ง่ายมากขึ้นซึ่งการลงทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องนั้นจะทำให้ทราบว่าโทรศัพท์เครื่องนี้เจ้าของเครื่องเป็นใครและทำให้ง่ายต่อการตามหาเมื่อทำโทรศัพท์หายง่ายมากยิ่งขึ้น โดยหากที่ใครยังไม่ลงยังไม่เป็นเจ้าของเครื่องขอสามารถลงทะเบียนในเครื่องได้เลยทันทีในโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นแล้วลงทะเบียนเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือย่อมดีและปลอดภัยกว่าแน่นอน

เปิดใช้งานระบบ GPS ทุกครั้ง

สำหรับการเปิดใช้งานระบบ GPS จะทำให้เราสามารถติดตามโทรศัพท์มือถือของเราที่หายไปใดนายมากยิ่งขึ้นเนื่องจากจะสามารถบอกตำแหน่งที่ตั้งโทรศัพท์ของเราที่อยู่ณขณะนั้นได้ซึ่งปัจจุบัน GPS ได้ออกรูปแบบที่จะทำให้ประหยัดพลังงาน หากเปิด GPS ไว้ก็จะช่วยเพิ่มตำแหน่งการตามหามากกว่าการปิดข้อมูลGPSโทรศัพท์มือถือของเราหากเปิด GPS ไว้ก็ไม่ส่งผลให้แบตเตอรี่หมดเร็วเหมือนเช่นก่อน

ตั้งล็อกหน้าจอโทรศัพท์มือถือทุกครั้ง

การล็อกหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นวิธีเบื้องต้นที่หน้าต้องการให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าของเครื่องเข้าค้นดูข้อมูลต่างๆภายในเครื่อง โดยปัจจุบันมีการตั้งการล็อกหน้าจอหากใส่รหัสผิดเกินจำนวนตามที่ได้กำหนดครั้งก็จะลบข้อมูลภายในเครื่องหรือเครื่องจะติดล็อกอัตโนมัติซึ่งปัจจุบันโทรศัพท์มือถือมีหลากหลายระบบการปลดล็อกที่ปลอดภัยซึ่งนั่นจะเป็นข้อดีว่าทำไมเราควรตั้งล็อกหน้าจอโทรศัพท์มือถือทุกครั้ง

                เทคนิคดังกล่าวที่ได้กล่าวไปข้างต้น จะถือว่าเป็นวิธีป้องกันสำหรับการป้องกันโทรศัพท์มือถือหายได้เบื้องต้นดังนั้นแล้วแม้จะมีวิธีการตามหาโทรศัพท์มือถือที่ทันสมัยขึ้นแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในที่ปลอดภัยมิดชิดอยู่สม่ำเสมอเพราะเราไม่สามารถทราบได้หรือว่าภัยอันตรายใกล้ตัวนั้นถ้ามาหาเราได้เมื่อไหร่บ้าง

ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราในทุกๆด้าน และในทุกๆวันเราต้องใช้งานหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างหนักแต่จะทำอย่างไรนั้นที่ให้หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเรามีความใหม่คมชัดอยู่เสมอซึ่งวันนี้มีบทความเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษาหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้ดูดีเสมอมาฝากทุกท่านกัน

จำเป็นต้องติดฟิล์มกันรอย

ฟิล์มกันรอยนั้นผลิตขึ้นมาสำหรับการป้องกันรอยขีดข่วนและอุบัติเหตุสำหรับสิ่งรอบข้างซึ่งหน้าจอแบบมือถือที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันทำจากกระจกซึ่งจะทำให้มีรอยขีดข่วนขึ้นมาหลักการถูหรือสัมผัสซึ่งเรานั้นจะแน่นอนว่าเราจะไม่รู้ตัวเลยว่าหน้าจอเรามีรอยขีดข่วนอยู่ วิธีแก้ไขปัญหาที่สุดสำหรับการถนอมหน้าจอโทรศัพท์มือถือคือเราจำเป็นต้องติดฟิล์มกันรอยให้โทรศัพท์เพื่อเวลาที่ติดฟิล์มแล้วจะป้องกันรอยต่างๆบนหน้าจอที่เกิดขึ้นมาจากการตกหรือขีดข่วนจากตัวเราเอง

หลีกเลี่ยงการกระแทกหน้าจอมือถือ

ควรหลีกเลี่ยงการกระแทกหน้าจอมือถือหรือไม่ควรทำโทรศัพท์มือถือตกบ่อยเกินไปเพราะอาจจะทำให้หน้าจอมือถือได้รับแรงกระแทกและอาจแตกได้แม้จะใส่ฟิล์มกันรอยโทรศัพท์มือถือก็ไม่สามารถการมีการแตกของหน้าจอได้ 100% รวมถึงหากโทรศัพท์มือถือตกบ่อยจนเกินไปจะทำให้ระบบภายในเครื่องเกิดอาการล่าช้า สำหรับวิธีการป้องกันให้หาเคสกันกระแทกสำหรับใส่โทรศัพท์มือถือที่มีความแข็งแรงทนทานจะทำให้ ป้องกันการแตกร้าวที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือในเบื้องต้นได้

เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดและหน้าจอโดยเฉพาะ

เป็นอีกหนึ่งวิธีสำหรับการดูแลรักษาที่เราจำเป็นต้องทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์มือถือสม่ำเสมอโดยที่ต้องเลือกใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะไม่ควรใช้น้ำยาประเภทอื่นๆมาใช้สำหรับการทำความสะอาดเพราะจะทำให้หน้าจอเสื่อมสภาพลงสำหรับการเช็ดหน้าจอนั้นควรใช้ผ้าที่มีความละเอียดที่ใช้สำหรับเช็ดเลนส์สายตาซึ่งไม่เป็นการอันตรายต่อหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเรานั่นเอง

 หลีกเลี่ยงการนำโทรศัพท์มือถือไว้ในบริเวณอุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลง

สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือควรหลีกเลี่ยงการนำโทรศัพท์มือถือมาไว้ในอุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเราจะทำให้หน้าจอของโทรศัพท์มือถือหีมีการปรับสภาพไม่ทันซึ่งอาจส่งผลต่ออุปกรณ์ภายในโทรศัพท์นำไปสู่ความเสียหายของโทรศัพท์ได้ดังนั้นแล้วไม่ควรวางโทรศัพท์มือถือไว้ในสถานที่ไม่มีอากาศถ่ายเท วางไว้ในอุณหภูมิที่ปกติเท่านั้นเพียงเท่านี้ก็สามารถยืดระยะเวลาการใช้งานโทรศัพท์รวมถึงถนอมโทรศัพท์ให้อยู่กับเราไปยาวนานได้  

จะเห็นได้ว่าขั้นตอนดังกล่าวที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นเป็นวิธีพื้นฐานดีจะทำให้หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเราใหม่และคมชัดอยู่ตลอดเวลาซึ่งวิธีเหล่านี้นั้นหากได้ลองทำตามแล้วเราจะสามารถมีโทรศัพท์ที่หน้าจอสวยคมชัดอยู่ตลอดเวลาแน่นอนค่ะ

หากมีการเก็บข้อมูลโดยใช้พื้นที่ในเครื่อง iPhone มากเกินไปจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่าง จะส่งผลเมื่อมีการดาวน์โหลด iOS ใหม่เพื่อติดตั้งในเครื่อง มีพื้นที่ไม่เพียงพอ อาจจะต้องลบแอปบางแอปออก เพื่อให้การอัพเดท iOS สำเร็จ ดังนั้นหากพื้นที่ใน iPhone ของเรามีน้อย ก็ควรจัดสรรปันส่วนให้ดี เช่น นำรูปภาพไปเก็บไว้บน iCloud หรือหลีกเลี่ยงการโหลดแอปที่กินพื้นที่เยอะ แนะนำว่าควรจะให้มีพื้นที่ว่างในเครื่องอย่างน้อย 10% ของพื้นที่ทั้งหมด เผื่อไว้สำหรับอัพเดท iOS