สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
News

รีวิว Galaxy Z Flip 3 โทรศัพท์พับได้ของ Samsung จากผู้ใช้งานจริง!

Galaxy Z Flip 3

หากใครกำลังมองหาโทรศัพท์หน้าจออัตราการรีเฟรช 120Hz ราคาถูก เราขอแนะนำโทรศัพท์พับ Galaxy Z Flip 3 จาก Samsung ตัวเครื่องเป็นเกราะอะลูมิเนียม และหน้าจอที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ถือเป็นสมาร์ทโฟนใหม่ที่พับหน้าจอได้ที่ดีที่สุดของ Samsung ด้วยความที่มันเป็นโทรศัพท์พับทำให้คุณสามารถพับครึ่งพลิกเปิดได้ด้วยมือเดียว มีสีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่ Black, White, Pink, Green, Gray, Purple และ Beige Galaxy Z Flip 3 อาจจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่สามารถพับได้เครื่องแรกที่คุณจะพิจารณาซื้อก็ได้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 34,900 บาท มีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น RAM 8GB + ROM 128GB และ รุ่น RAM 8GB + ROM 256GB ปัจจุบันมีผู้ใช้ Galaxy Z Flip 3 จำนวนมากได้เขียนรีวิวเกี่ยวกับการใช้งานโทรศัพท์พับ Galaxy Z Flip 3 จาก Samsung เครื่องนี้ และวันนี้เราก็ไม่พลาดที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาแชร์ให้กับผู้อ่านทุกท่าน โดยการรีวิวในครั้งนี้เราได้ข้อมูลมาจาก Patrick Holland ผู้ใช้งานจริงที่ได้เขียนรีวิวไว้ในบล็อกส่วนตัว 

Galaxy Z Flip 3

รีวิว Galaxy Z Flip 3 : ความรู้สึกหลังการใช้งาน

Patrick Holland ได้ระบุไว้ว่า Galaxy Z Flip 3 ตัวเครื่องบานพับ และหน้าจอทำจากวัสดุที่แข็งแรงและทนทานยิ่งขึ้นที่ทำมากจากวัสดุที่ Samsung เรียกว่า Armor Aluminium และเสริมด้วยโลหะอื่น ๆ คล้ายกับการใช้เหล็กเส้นเสริมความแข็งแรงในกับคอนกรีตในการก่อสร้าง ส่วนความต้านทานแรงดึงพิเศษนั้นรู้สึกเหมือนเป็นชิ้นเดียวกัน ให้ความรู้สึกเหมือน โทรศัพท์พับได้ ทั่วไป หน้าจอมีรอยพับตรงกลาง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญ อีกทั้งยังถูกจัดเป็นประเภทโทรศัพท์กันน้ำ และซอฟต์แวร์ได้รับการปรับปรุงใหม่ทำให้ Z Flip 3 เทียบเท่ากับโทรศัพท์ 1,000 ดอลลาร์อื่น ๆ ได้ แต่ยังไม่ทราบถึงความทนทานในระยะยาว

ตัวเครื่องและบานพับ หน้าจอมีฟิล์มป้องกันใหม่ที่ให้ความรู้สึกที่เรียบเนียน มันไม่เหมือนกับการใช้โทรศัพท์หน้าจอแบบกระจกโดยตรง แต่ให้ความรู้สึกคล้ายกับหน้าจอกระจก ที่มีตัวป้องกันเป็นพลาสติกติดอยู่ ซึ่งในทางเทคนิคแล้วมันคือ หน้าจอยังคงเก็บลายนิ้วมือได้ ทำให้เวลาสัมผัสหน้าจอคุณจะเห็นรอยนิ้วมือของคุณติดอยู่ที่หน้าจอ และด้วยความที่หน้าจอรองรับอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ 120Hz จึงทำให้ภาพหน้าจอดูสวยงาม แม้จะอยู่กลางแจ้งในวันที่มีแดดจ้า หน้าจอมองเห็นได้ง่ายและสว่างกว่า Z Flip และ Z Flip 5G รุ่นดั้งเดิม โดยรวมแล้วหน้าจอหลักอยู่ในระดับเดียวกับโทรศัพท์รุ่นอื่น ๆ ในราคาใกล้เคียงกัน

ในส่วนของหน้าจอด้านนอกหรือหน้าจอคัฟเวอร์ของ Z Flip ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม การแตะหน้าจอเพียงครั้งเดียวจะแสดงเวลา แตะสองครั้งเพื่อแสดงรูปสัตว์ที่เคลื่อนไหวเพื่อทักทายคุณ ปัดไปทางซ้ายเพื่อแสดงการแจ้งเตือนของคุณ สามารถแสดงข้อความได้สูงสุด 4 บรรทัดในแต่ละครั้ง และคุณสามารถเลื่อนดูการแจ้งเตือนได้ ปัดขึ้นเพื่อเปลี่ยนความสว่างหรือระดับเสียงของหน้าจอปก ปัดลงเพื่อใช้ Samsung Pay ปัดไปทางขวาเพื่อใช้วิดเจ็ตหน้าจอปกสำหรับสภาพอากาศ การปลุก ตัวจับเวลา การควบคุมเพลง การนับก้าวรายวันและกำหนดการของคุณ

Galaxy Z Flip 3

กล้องและอายุการใช้งานแบตเตอรี่

สำหรับการใช้งานกล้อง Galaxy Z Flip 3 ดูเหมือนว่า Samsung จะไม่ได้อัพเกรดฮาร์ดแวร์กล้อง เนื่องจากมีกล้องไวด์และอัลตร้าไวด์ และกล้องเซลฟี่บนจอแสดงผลหลัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เทียบเท่ากับกล้องที่พบในโทรศัพท์ ราคา 700 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่า Z Flip 3 มีราคาสูงเพราะมันพับครึ่งได้ ไม่ใช่เพราะกล้อง แต่โครงสร้างที่ไม่เหมือนใครนั้นกลับทำให้ประสบการณ์ถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอนั้นพิเศษและยอดเยี่ยมมากขึ้น เช่น รูปร่างและขนาดที่พับได้ทำให้ Z Flip 3 เป็นขาตั้งกล้องของตัวเองได้ 

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งคุณลักษณะที่ไม่ได้รับการอัพเกรด นั่นคือ แบตเตอรี่ คู่ 3,300 mAh พร้อมรองรับการชาร์จเร็ว 15 วัตต์ของ Z Flip 3 ในวันที่ใช้งานปานกลางถึงหนัก ด้วยหน้าจอที่อัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ที่ 120Hz และความสว่างที่ 80% แบตเตอรี่เต็มจะสามารถใช้งานได้ประมาณ 11 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับโทรศัพท์รุ่นอื่น ๆ ในราคานี้ยังถือว่าไม่ดี และหลายครั้งจะเห็นได้ชัดว่า Z Flip 3 อุ่นขึ้น ตัวอย่างเช่น การบันทึกวิดีโอ อัปโหลดไปยัง Instagram ผ่าน 5G แล้วฟังเพลย์ลิสต์บน Spotify แต่โชคดีที่มันไม่เคยร้อน นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งข้อเสียของการเป็นเจ้าของโทรศัพท์ขนาดเล็ก Z Flip 3 เครื่องนี้

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
News แนะนำแอปฯ

แนะนำ โปรแกรมป้องกันไวรัส ฟรีที่ดีที่สุดสำหรับ Windows ที่คุณควรมีติดเครื่องไว้ 

โปรแกรมป้องกันไวรัส

คุณรู้หรือไม่? โปรแกรมป้องกันไวรัส มีความสำคัญต่อคอมพิวเตอร์ของคุณมาก เนื่องจากสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ก็คือการติดไวรัส เพราะมันจะทำให้ข้อมูลที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลับหรือข้อมูลทางด้านการเงินของคุณเสี่ยงที่จะถูกโจรกรรม ดังนั้นคอมพิวเตอร์ของคุณจึงต้องการมีการป้องกันมัลแวร์ และโปรแกรมป้องกันไวรัส

สำหรับใครที่ใช้งาน PC ด้วยระบบปฏิบัติการ Windows น่าจะทราบกันดีว่าโปรแกรมป้องกันไวรัส มีความสำคัญพอ ๆ กับแป้นพิมพ์และเมาส์ เนื่องจากทุกวันนี้หลายคนมักเก็บข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญไว้ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งแน่นอนว่ามันมีความเสี่ยงสูงมาก หากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่มีการป้องกันภัยคุกคามทางออนไลน์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราค้นหาโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ซึ่งจะมีโปรแกรมตัวไหนบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้เลยค่ะ

พื้นฐานในการเลือกใช้ โปรแกรมป้องกันไวรัส ที่คุณไม่ควรพลาด

ก่อนที่เราจะไปพบกับ โปรแกรมป้องกันไวรัส ที่ดีที่สุดสำหรับ Windows เรามาเรียนรู้กันก่อนมีดีกว่าเราควรเลือกใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสอย่างไรให้ PC ของคุณปลอดภัย ไม่ใช้ทรัพยากรระบบมากนัก ใช้งานง่าย และไม่เกะกะคุณ ซึ่งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่ดีที่สุดควรดูจากคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น การป้องกันมัลแวร์ ตรวจสอบการดาวน์โหลด และสังเกตกิจกรรมของระบบ เพื่อหาซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายและพฤติกรรมที่น่าสงสัย และนี่คือหลักการพื้นฐานในการเลือกใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่คุณไม่ควรมองข้าม

  • ประสิทธิผล : โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ดีจะต้องสแกนไวรัสเพื่อหาไวรัสและมัลแวร์ที่รู้จัก และสามารถให้การป้องกันแบบเรียลไทม์ และคอยดูเว็บไซต์และลิงก์ที่น่าสงสัยเพื่อไม่ให้คอมพิวเตอร์ของคุณมีปัญหา นอกจากนี้ต้องสามารถระบุภัยคุกคามออนไลน์ที่ไม่รู้จักได้และติดตามพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจเป็นสัญญาณของไวรัสและมัลแวร์ใหม่ที่ยังไม่ได้ระบุ
  • ทรัพยากร PC ของคุณ : ถ้าหากหลังจากที่คุณติดตั้งโปรแกรมแล้วเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ เช่น เว็บไซต์เปิดช้า ดาวน์โหลดแอปหรือเปิดอย่างเชื่องช้า หรือการคัดลอกไฟล์ใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ คุณอาจจำเป็นต้องลองมองหาโปรแกรมป้องกันไวรัสตัวใหม่ ซึ่งคุณสามารถเลือกจากโปรแกรมที่เรานำมาแนะนำในบทความนี้ได้ 
  • ค่าใช้จ่ายและส่วนลด : อย่าเพิ่งรีบจ่ายเงิน เพื่อซื้อโปรแกรมป้องกันไวรัส เพราะก่อนคุณจะซื้อให้ตรวจสอบส่วนลดบนเว็บไซต์ของบริษัทก่อน เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่งบางเว็บไซต์ที่จำหน่ายโปรแกรมเหล่านี้มักมีส่วนลดสำหรับลูกค้า
  • ความเป็นส่วนตัว : เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด คุณควรตรวจสอบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ PC ของคุณ นั่นคือคุณควรอ่านคำชี้แจงสิทธิส่วนบุคคลของโปรแกรมเหล่านั้นก่อน เพื่อเรียนรู้ว่าโปรแกรมนั้นจะทำอะไรกับข้อมูลที่คุณแบ่งปันบ้าง 

โปรแกรมป้องกันไวรัสฟรีที่คุณควรมีติดเครื่องไว้

หากคุณกำลังมองหา โปรแกรมป้องกันไวรัส ป้องกันมัลแวร์ หรือการตรวจจับไวรัสที่ดีที่สุด แถมยัง ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย นี่คือสิ่งที่คุณกำลังมองหา 

  • Microsoft Defender
โปรแกรมป้องกันไวรัส

มาเริ่มต้นกันด้วยโปรแกรมป้องกันไวรัสฟรีที่ติดตั้งใน Windows 10 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อดูแลซอฟต์แวร์ของคุณในทันสมัยอยู่เสมอ ช่วยป้องกัน และลบสปายแวร์ทิ้ง คุณสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีจาก Zero-Day และ Ransomware ได้ ด้วยซอฟต์แวร์ Microsoft Defender Antivirus ฟรีที่ทำงานบน Windows 10 และเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้น ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกำหนดการตั้งค่าเอง และโซลูชันป้องกันไวรัสนี้จะครอบคลุมพื้นฐานของความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต ด้วยความที่ Microsoft ผลักดันการอัปเดตใหม่ ๆ บ่อยครั้ง Defender จึงให้คุณปรับระดับการป้องกันที่คุณต้องการได้ และคุณยังสามารถควบคุมการบล็อกแอปที่ไม่ต้องการได้

  • Bitdefender Antivirus
โปรแกรมป้องกันไวรัส

หากคุณต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับ PC ของคุณ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย Bitdefender เวอร์ชันฟรีสำหรับ Windows 10, MacOS, Android, iOS ถือเป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวเลือกหนึ่ง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องความปลอดภัยในกับ Windows พร้อมการตรวจสอบแบบเรียลไทม์สำหรับการป้องกันไวรัส มัลแวร์ สปายแวร์ และแรนซัมแวร์ Bitdefender Antivirus นั้นง่ายต่อการติดตั้งและใช้งานง่าย ที่สำคัญโปรแกรมนี้ได้รับคะแนนสูงสุดอย่างสม่ำเสมอสำหรับการป้องกันไวรัสและความสามารถในการใช้งานจาก AV-Test.

  • Sophos Home
โปรแกรมป้องกันไวรัส

Sophos Home เวอร์ชันฟรีสำหรับ Windows, MacOS เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไวรัส มีระบบดูแลและป้องกันการใช้งานทางอินเทอร์เน็ต และการท่องเว็บไซต์ต่าง ๆ ด้วยฟังก์ชันการกรอง (Web Filtering) มีระบบตรวจจับและป้องกันมัลแวร์อัตโนมัติแบบเรียลไทม์ โดยใช้เครื่องมือป้องกันมัลแวร์ที่ได้คะแนนสูงของบริษัท พร้อมกับเครื่องมือกำจัดมัลแวร์ของบริษัทที่ให้ทดลองใช้งาน 30 วัน ซึ่งสามารถสมัครสมาชิกรายปีได้ในราคา 1,460 บาท และสามารถครอบคลุม PC ได้ถึง 10 เครื่อง

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตออนไลน์ ฝาก-ถอนไม่มีขั้นต่ำ

Categories
News

เทียบสเปก Samsung Galaxy S21 กับ Galaxy S20 แตกต่างกันอย่างไร 

Samsung Galaxy S21 กับ Galaxy S20

เมื่อต้นปีนี้ Samsung ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง “Galaxy S21” ที่หลายคนรอคอย ในงานอีเวนต์รูปแบบออนไลน์ ซึ่งก่อนหน้านี้ Samsung ก็ได้ประกาศเปิดตัว Galaxy S20 ไปในปี 2020 และด้วยความที่ทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy เหมือนกัน จึงทำให้คุณอาจกำลังสงสัยว่าโทรศัพท์ Galaxy ทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร? คุ้มไหมกับเงินที่ต้องจ่าย? บทความนี้จะคุณไปดูสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่าง Galaxy S21 กับ Galaxy S20 ซึ่งเราจะเปรียบเทียบคุณสมบัติของกล้อง อายุการใช้งานแบตเตอรี่ และข้อกำหนดอื่น ๆ โดยพิจารณาจากข้อมูลจำเพาะเท่านั้น

Samsung Galaxy S21 กับ Galaxy S20 แตกต่างกันอย่างไร

Samsung Galaxy S21 กับ Galaxy S20

ต้องยอมรับเลยว่าสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy อย่าง Galaxy S21 กับ Galaxy S20 ถือเป็นสมาร์ทโฟนจาก Samsung ที่มีคุณลักษณะที่ทันสมัยเข้ากับทุกไลฟ์สไตล์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ถึงแม้ทั้ง 2 รุ่นจะอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ดังนี้

  • ดีไซน์ ขนาดหน้าจอ และน้ำหนัก 

เรื่องของการแสดงผล Galaxy S21 และ Galaxy S20 มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เนื่องจากทั้ง 2 รุ่นมีหน้าจอ Dynamic AMOLED ขนาด 6.2 นิ้ว อัตราการรีเฟรช 120Hz และเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือบนหน้าจอเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่S21 มีความหนาแน่นของพิกเซล 421ppi เมื่อเทียบกับ 563ppi ของ S20 และน้ำหนัก S21 นั้นหนักกว่าเล็กน้อยที่ 6.03 ออนซ์ในขณะที่ S20 มีน้ำหนัก 5.75 ออนซ์ ในส่วนของการออกแบบดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน แต่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวคือโมดูลกล้องด้านหลัง ใน S21 มีโอเวอร์เลย์โลหะ ในแง่ของสี Galaxy S21 มาในสีพาสเทลที่เรียกว่า Phantom Violet, Phantom Grey, Phantom Pink และ Phantom White ในขณะที่ Galaxy S20 มีให้เลือกได้แก่ สีเทาคอสมิก คลาวด์บลู คลาวด์สีชมพู และสีดำคอสมิก 

  • กล้อง
    ในรุ่นพื้นฐานGalaxy S20 และ Galaxy S21 มีการตั้งค่ากล้องที่เหมือนกันทุกประการ คือ โมดูลกล้องด้านหลังมีกล้องเทเลโฟโต้ 64 ล้านพิกเซล, กล้องมุมกว้าง 12 ล้านพิกเซลและกล้องอัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซล โทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับกล้องเซลฟี่ 10 ล้านพิกเซลเช่นกัน แต่จะแตกต่างกันที่การอัปเกรดกล้องหลักที่มาพร้อมกับ S21 Ultra ที่มีกล้องด้านหลัง 4 ตัว พร้อมเซ็นเซอร์หลักกว้าง 108 ล้านพิกเซลและกล้องอัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซล เลนส์เทเลโฟโต้ 10 ล้านพิกเซลสองตัว (หนึ่งตัวพร้อมการซูม 3 เท่าและอีกตัวหนึ่งพร้อมการซูม 10 เท่า) นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ Bright Night ที่รวดเร็วและเทคโนโลยี Pixel Binning ที่จะทำให้รูปภาพของคุณมีรายละเอียดมากขึ้น 
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่
    ในรุ่นพื้นฐาน Galaxy S20 และ S21 มีขนาดแบตเตอรี่เท่ากันที่ 4,000mAh ส่วนขนาดแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นเป็น 5,000mAh เป็นของ S20 Ultra และ S21 Ultra ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างรุ่นคือในรุ่น S21 Plus ได้รับขนาดแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นเป็น 4,800mAh เมื่อเทียบกับ 4,500mAh ใน S20 Plus 
  • รองรับสไตลัส
    นี่คือหนึ่งความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างโทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่นคือระดับอัลตร้า Galaxy S21 Ultra รองรับ S Pen stylus ในขณะที่ S20 ไม่มีรุ่นที่รองรับความสามารถนี้ นั่นหมายความว่า S21 Ultra จะสามารถใช้ปากกาดิจิทัลขนาดเล็กเพื่อจดบันทึก ถ่ายภาพหน้าจอที่ดีขึ้น เซ็นเอกสาร หรือวาดภาพในแอปได้

การเปรียบเทียบข้อมูลจำเพาะระหว่าง Galaxy S21 กับ Galaxy S20

Samsung Galaxy S21 กับ Galaxy S20

นี่คือการเปรียบเทียบข้อมูลจำเพาะระหว่าง Galaxy S21 กับ Galaxy S20 โดยอ้างอิงข้อมูลจากรายละเอียดของโทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่นที่ได้รับการเผยแพร่อย่างเป็นทางการจาก Samsung แล้ว และ ราคาล่าสุด ที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน (อัปเดตเมื่อวันที่29/08/2021)

หัวข้อ

Galaxy S21

Galaxy S20

ขนาดจอแสดงผลและความละเอียด

6.2 นิ้ว Dynamic AMOLED 2X; (2,400×1,080 พิกเซล)

6.2 นิ้ว Dynamic AMOLED 2X; (3,200×1,440 พิกเซล)

ความหนาแน่นของพิกเซล

421 ppi

563 ppi

ขนาด (นิ้ว)

2.80×5.97×0.31 นิ้ว

2.72×5.97×0.31 นิ้ว

ขนาด (มม.)

71.2×151.7×7.9 มม.

69.1×151.7×7.9 มม.

น้ำหนัก (ออนซ์, กรัม)

6.03 ออนซ์; 171g

5.75 ออนซ์; 163g

ระบบปฏิบัติการ

Android 11

Android 10

กล้อง

64 ล้านพิกเซล (เทเลโฟโต้), 12 ล้านพิกเซล (มุมกว้าง), 12 ล้านพิกเซล (อัลตร้าไวด์)

12 ล้านพิกเซล (มุมกว้าง), 64 ล้านพิกเซล (เทเลโฟโต้), 12 ล้านพิกเซล (อัลตร้าไวด์)

กล้องหน้า

10 ล้านพิกเซล

10 ล้านพิกเซล

การจับภาพวิดีโอ

8K

8K

โปรเซสเซอร์

Snapdragon 888

Snapdragon 865 หรือโปรเซสเซอร์ octa-core 64 บิต (สูงสุด 2.7GHz + 2.5GHz + 2GHz)

พื้นที่จัดเก็บ

128GB, 256GB

128GB

ความจุ

8GB

12GB (5G), 8GB (LTE)

แบตเตอรี่

4,000 mAh

4,000 mAh

เซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ

บนหน้าจอ

บนหน้าจอ

ช่องเสียบหูฟัง

ไม่มี

ไม่มี

คุณสมบัติพิเศษ

ระดับ IP68 สำหรับการกันน้ำและกันฝุ่น, รองรับ 5G, 30x Space Zoom, รองรับการชาร์จแบบไร้สาย 10W, อัตราการรีเฟรช 120Hz

เปิดใช้งาน 5G, อัตราการรีเฟรช 120Hz, ระดับ IP68 สำหรับกันน้ำและกันฝุ่น

ราคาเริ่มต้น

29,900 บาท

23,900 บาท

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
News

เตรียมตัวบอกลา ปุ่ม! iPhone 13 อาจไม่มีปุ่มปิด/เปิด

iPhone 13

เชื่อว่าเหล่าสาวก iPhone หลายคนคงกำลังตั้งตารอกับการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไปของ Apple อย่าง iPhone 13 โดยที่ผ่านมามีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับรูปลักษณ์ทางกายภาพของ iPhone 13 ล่าสุดมีข่าวลือออกมาว่า iPhone 13 อาจจะไม่มีปุ่มปิด/เปิด ที่เป็นปุ่มแถบเล็ก ๆ อยู่ด้านข้าง ซึ่งหมายความว่า iPhone 12 จะกลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นสุดท้ายของ Apple ที่มีปุ่มปิด/เปิดแถบเล็ก ๆ ทำให้เกิดคำถามมากมายว่าเราจะสามารถควบคุมการปิด/เปิด iPhone ของเราได้อย่างไร? ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปหาคำตอบเกี่ยวกับข้อสงสัยนี้!!! พร้อมทั้งเบาะแสเกี่ยวกับวันเปิดตัว iPhone 13 ที่หลายคนต่างเฝ้ารอคอย

หาก iPhone 13 ไม่มีปุ่มปิด/เปิดจะเป็นอย่างไร

มีข่าวลือล่าสุดบอกว่า iPhone 13 อาจจะไม่มีปุ่มปิด/เปิด เนื่องจากข้อมูลการยื่นขอจดสิทธิบัตรของสหรัฐฯ โดย Apple Insider ได้ชี้ให้เห็นว่าบริษัท Apple กำลังตรวจสอบอุปกรณ์อินพุตการตรวจจับแบบ Capacitive ซึ่งหมายความว่า อุปกรณ์อินพุตเหล่านั้น หรือที่เรียกว่าปุ่ม อาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นแบบรูย้อนแสงที่มองไม่เห็น ซึ่งจะปรากฏขึ้นเมื่อสัมผัสและจะหายไปเมื่อไม่ได้มีการใช้งาน

iPhone 13

ซึ่งวิธีการนี้ฟังดูค่อนข้างน่าสนใจเป็นอย่างมากถ้าถูกนำไปใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่คำถามที่สำคัญคือคุณลักษณะเช่นนี้จะนำไปใช้กับ iPhone รุ่นต่อไปได้หรือไม่ หรือเราต้องรอจนถึงปี 2022 หรือมากกว่านั้น เพื่อให้ Apple รวมคุณลักษณะนี้เข้ากับ iPhone แต่ถึงอย่างไรแนวคิดนี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีสำหรับ Apple ในการพัฒนา iPhone รุ่นต่อไปในอนาคต

มีรายงานจากหลายแหล่งพูดถึง ไอโฟน 13 ว่าอาจนำเอาเครื่องมือการสแกนลายนิ้วมือกลับมาใช้แทนปุ่ม ซึ่งเครื่องสแกนนี้จะอยู่ใต้พื้นผิวของหน้าจอโทรศัพทื ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ดูจะเข้ากับการออกแบบแบบมินิมัลลิสต์แบบไม่มีปุ่มได้อย่างสวยงาม หาก Apple นำวิธีการนี้ไปใช้กับ iPhone รุ่นต่อไปในอนาคต

ในเดือนสิงหาคม Mark Gurman ผู้สื่อข่าวจาก Bloomberg ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสแกนลายนิ้วมือ หรือ Touch ID เขาคาดการณ์ว่าเซ็นเซอร์ Touch ID ที่อยู่ภายใต้หน้าจอสำหรับ iPhone 13 “จะถูกตัดออก” และเขากล่าวเสริมอีกว่า Apple จะฝัง Face ID ไว้ใต้หน้าจอแสดงผล iPhone 13 แทน Touch ID 

นอกจากนี้หลายคนคงทราบกันดีว่า Apple ได้ทำการตัดช่องเสียบหูฟังออกตั้งแต่ iPhone 7 และมีการนำพอร์ต Lightning มาใช้แทน แต่สำหรับ iPhone 13 นักวิเคราะห์ชื่อดัง Ming-Chi Kuo เคยระบุในรายงานว่า Apple จะไม่มีช่องเสียบพอร์ต Lightning อีกต่อไป เพื่อเปิดทางให้กับการเปิดตัว MagSafe ของ Apple ใน iPhone 12 ซึ่งดูเหมือนว่าข้ออ้างมีค่อนข้างจะมีน้ำหนักมากพอสมควร แต่เมื่อย้อนไปดูในรายงานที่ได้รับจาก Apple Insider เขากล่าวว่า MagSafe นั้นยังไม่ใช่ระบบนิเวศที่สมบูรณ์เพียงพอ นั่นหมายความว่า Apple อาจจะต้องเก็บพอร์ตไฟไว้เช่นเดิมเหมือน iPhone 12 

เบาะแสเกี่ยวกับวันเปิดตัว iPhone 13

iPhone 13

สำหรับวันเปิดตัว iPhone 13 หลายคนคาดเดาไว้ว่าไม่น่าจะมีการเปิดตัวในเร็ว ๆ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นของ COVID-19 แต่จากประวัติของ Apple เราสามารถคาดเดางาน วันเปิดตัว iPhone รุ่นต่อไปได้ของบริษัทได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด และสามารคาดเดาวันที่วางจำหน่ายได้โดยอิงจากเหตุการณ์นั้น ๆ 

จากข้อมูลเมื่อปี 2020 ซึ่งในขณะนั้นยังคงมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในเดือนกันยายนงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple ถือเป็นงานเปิดตัวครั้งแรกในรอบ 8 ปีที่ไม่มี iPhone เนื่องจากการผลิตที่ล่าช้า Ming-Chi Kuo คาดการณ์ว่าในปี 2021 Apple จะเปิดตัว iPhone ในเดือนกันยายน นอกจากนี้ยังมีรายงานจาก DigiTimes ที่อ้างถึงคนวงในอุตสาหกรรมที่กล่าวว่าการผลิตชิปใหม่ของโทรศัพท์นั้นเร็วกว่ากำหนด ซึ่งจะทำให้การเปิดตัวโทรศัพท์กลับสู่ไทม์ไลน์ก่อนเกิด COVID-19 ที่หลาย ๆ คนคุ้นเคย

อย่างไรก็ตามการยื่นขอจดสิทธิบัตรนี้อาจเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างไปจาก iPhone อย่างสิ้นเชิง ซึ่งสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้เกี่ยวกับ iPhone 13 เป็นเพียงข้อมูลที่ได้จากการคาดการณ์ของข่าวลือจากหลาย ๆ แหล่งเท่านั้น แม้กระทั่งชื่อของผลิตภัณฑ์ก็ยังไม่มีความแน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่จะทำให้ความสงสัยทั้งหมดเหล่านี้หายไปก็คือการติดตามข้อมูลในงานเปิดตัว iPhone ครั้งต่อไปของ Apple ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในเดือนกันยายนของปีนี้ 

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
News

ข้อมูลการรั่วไหลการออกแบบและ สี iPhone 13 อาจมีรอยบากที่เล็กลงและคอลเลกชันสีใหม่ ๆ ที่น่าทึ่ง

iPhone 13

ยังคงเป็นที่น่าสงสัยของเหล่าสาวก iPhone สำหรับการออกแบบและ สี iPhone 13 ซึ่งจากข่าวลือจากหลาย ๆ แหล่งได้ระบุไว้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ Apple จะประกาศเปิดตัว iPhone 13 ในเดือนกันยายน และได้มีการพูดถึงการออกแบบและสีใหม่ของ iPhone 13 อาจจะมีการออกแบบที่อัปเกรดจาก iPhone 12 คือมีขนาดรอยบากที่เล็กลง กันกระแทกกล้องที่หนาขึ้น และมีคอลเลกชันสีใหม่ที่น่าทึ่ง เช่น สีชมพูบับเบิ้ลกัม สีดำด้าน และสีบรอนซ์ จากข่าวลือและข้อมูลการรั่วไหลเราคาดเดาว่าการเปลี่ยนแปลงการออกแบบของ iPhone 13 จะมีลักษณะคล้ายกับ iPhone 12 ในแง่ของรูปแบบกล้อง ขนาด และราคา ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปพบกับการอัปเกรดที่โดดเด่นบางประการที่จะทำให้ iPhone 13 ใช้ง่ายได้มากขึ้น และคอลเลกชันสีใหม่ ๆ ที่น่าทึ่ง

การออกแบบและ สี iPhone 13 จากข้อมูลการรั่วไหล

iPhone 13

จากข่าวลือและการรั่วไหลเกี่ยวกับการออกแบบและสี iPhone 13 ทำให้เราคาดการณ์ได้ว่า iPhone ใหม่นี้จะมีทั้งหมด 4 เครื่องจาก Apple ได้แก่ iPhone 13, iPhone 13 Mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ซึ่งมีข่าวลือเกี่ยวกับรายละเอียดของการออกแบบและสี ไอโฟน 13 ดังนี้

  • ขนาดของ iPhone 13
  • iPhone 13 Mini : 5.4 นิ้ว
  • iPhone 13 : 6.1 นิ้ว
  • iPhone 13 Pro : 6.1 นิ้ว
  • iPhone 13 Pro Max : 6.7 นิ้ว

ขนาดเหล่านี้เหมือนกับ iPhone 12 แต่อาจมีความหนาขึ้นเล็กน้อย

  • รอยบากที่เล็กลง

หลายคนคงทราบกันดีว่า Apple ได้รวมจอแสดงผลที่มีรอยบากบน iPhone ทุกเครื่องตั้งแต่ iPhone X ปี 2017 เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับกล้องเซลฟี่ แต่สำหรับ iPhone 13 Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ชื่อดังได้คาดการณ์ไว้ในเดือนมีนาคมว่า iPhone 13 จะมีรอยบากที่เล็กกว่า iPhone รุ่นก่อน

  • ความกว้างและกันกระแทกของกล้องที่หนาขึ้น

มีการคาดการณ์ว่า iPhone 13 และ iPhone 13 Pro อาจจะมีความกว้างและกันกระแทกของกล้องที่หนาขึ้นกว่า iPhone 12 ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานจาก MacRumors ระบุไว้ว่า iPhone 13 ทั้ง 2 รุ่นนี้คาดว่าจะมีความหนาอยู่ที่7.57 มม. เพิ่มขึ้นจาก 7.4 มม. ในรุ่น iPhone 12 แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความแตกต่างที่คนส่วนใหญ่คงไม่ทันสังเกตเห็น 

ส่วนที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นอาจจะการเปลี่ยนแปลงที่กันกระแทกของกล้อง MacRumors รายงานว่า ในขณะที่ iPhone 12 และ 12 Pro มีกันกระแทกกล้องรอบ 1.5mm และ 1.7mm แต่ iPhone 13 จะมีกันกระแทกกล้อง 2.51mm และ 13 Pro จะเป็น 3.56mm ซึ่งขนาดที่เพิ่มขึ้นนี้จะป้องกันไม่ให้เลนส์กล้องยื่นออกมามากเหมือน iPhone รุ่นก่อน

    iPhone 13
  • คอลเลกชันสีใหม่ของ iPhone 13

สำหรับเรื่องของสี iPhone 13 เรายังไม่เห็นการรั่วไหลที่น่าเชื่อถือได้ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะมีสีเหมือนกับ iPhone 12 มีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีน้ำเงินเข้ม สีเขียวมิ้นต์ สีแดง Project Red สีขาว สีดำ และล่าสุด สีม่วง โดยปกติแล้ว Apple จะเปลี่ยนสีใดสีหนึ่งเป็นสีอื่นในรุ่นใหม่ ซึ่งตอนนี้เรายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นสีอะไร 

แต่หากอ้างจากข่าวลือที่เราได้สืบค้น Apple อาจจะเพิ่มสีใหม่ที่เรียกว่า “Sunset Gold” ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 ตามรายงานของ Ranzuk บน Naver ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบล็อกของเกาหลี ระบุไว้ว่า สีใหม่จะให้ความรู้สึกถึงสีบรอนซ์ และซีดน้อยกว่าสีโรสโกลด์ของ Apple เล็กน้อย นอกจากนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมามีทวิตเตอร์โดย@RendersbyIan ได้พูดคุยเกี่ยวกับสีใหม่ของ iPhone 13 อาจจะเป็นสีชมพู แต่ก็เป็นเพียงแค่ “ข่าวลือเท่านั้น” แถมยังมีอีกหลายข่าวลือในโลกออนไลน์ที่ระบุว่าอาจจะมีการเคลือบสีใหม่อย่างสีดำด้าน

ราคา iPhone 13 อาจจะใกล้เคียงกับราคา iPhone 12

จากข้อมูลข้างต้น สี iPhone 13 อาจจะมีสีที่เหมือนกับ iPhone 12 นั่นคือ สีน้ำเงินเข้ม สีเขียวมิ้นต์ สีแดง Project Red สีขาว สีดำ และล่าสุด สีม่วง และจากข่าวลืออาจมีการเพิ่มสีหรือเปลี่ยนสีใหม่ เช่น สีชมพูบับเบิ้ลกัม สีดำด้าน และสีบรอนซ์ ส่วนในเรื่องของ ราคา เราคาดว่า iPhone 13 จะมีการอัปเกรดทางเทคนิคจาก iPhone 12 เพียงเล็กน้อย เนื่องจาก iPhone 12 เป็นรุ่นแรกที่รองรับ 5G ด้วยเหตุนี้นักวิเคราะห์หลายคนจึงคาดการณ์ว่า iPhone 13 จะมีราคาที่ใกล้เคียงกับ iPhone 12 โดยรุ่นพื้นฐานจะมีราคาเริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์ หรือประมาณ 26,152 บาท นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่า Apple อาจจะลดราคาของ iPhone 13 เช่นเดียวกับเช่น Galaxy S20 FE ของ Samsung และ Pixel 5 ของ Google

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
News

ข่าวลือ iPhone 13 อาจมีความจุแบตเตอรี่ที่มากขึ้น และอาจจะไม่มีพอร์ต Lightning

iPhone 13

ช่วงนี้มีข่าวลือออกมาหนาหูเกี่ยวกับคุณสมบัติและวันประกาศเปิดตัวของ iPhone 13 ซึ่งล่าสุดมีข่าวลือเกี่ยวกับความจุแบตเตอรี่ของ iPhone 13 และมีการคาดการณ์ว่าอาจจะไม่มีพอร์ต Lightning โดยการรายงานข่าวของ Mark Gurman นักข่าวและนักวิเคราะห์จาก Bloomberg กล่าวว่าiPhone 13 จะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่าที่เคยมีมาสามารถใช้จ่ายไฟให้กับจอแสดงผลของ iPhone ด้วยอัตราการรีเฟรช 120Hz และโหมดเปิดตลอดเวลา อีกทั้งก่อนหน้านี้ Leaker Max Weinbach คาดการณ์ว่า iPhone 13 จะมีคุณสมบัตินี้เช่นเดียวกัน 

นอกจากนี้เรายังได้ยินข่าวลืออีกว่า iPhone 13 จะมีทั้งหมด 4 รุ่น เช่นเดียวกับ iPhone 12 แต่คาดว่าจะมีแค่ 2 รุ่นเท่านั้นที่จะไม่มีพอร์ต Lightning นั่นคือ 13 Pro และ 13 Pro Max ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมข่าวลือเกี่ยวกับคุณสมบัติแบตเตอรี่ของ iPhone 13 ไว้ในบทความนี้ รวมถึงการคาดเดาเกี่ยวกับวันวางจำหน่ายของ iPhone 13 ที่คาดว่าจะประกาศเปิดตัวในช่วงกลางเดือนกันยายนปีนี้ 

ความจุแบตเตอรี่ iPhone 13 จะมากขึ้น และมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานจริงหรือไม่

iPhone 13

เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนมีข่าวลือเกี่ยวกับ iPhone 13 จาก Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน ที่ชี้ให้เราเห็นว่า iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น ได้แก่ Phone 13, iPhone 13 mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า iPhone 12 รุ่นต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการแชร์บน Twitter โดย Leaker @L0vetodream ที่อ้างว่า iPhone 13 Mini จะมีแบตเตอรี่สูงสุด 2,406 mAh, iPhone 13 และ iPhone 13 Pro จะมีแบตเตอรี่สูงสุด 3,095 mAh และ iPhone 13 Pro Max จะมีแบตเตอรี่สูงสุด 4,325 mAh ซึ่งขนาดแบตเตอรี่ทั้งหมดเหล่านี้เป็นการอัปเกรดตามความจุของ iPhone 12 (แม้ว่า Apple ยังไม่ได้เปิดเผยถึงข้อกำหนดแบตเตอรี่อย่างเป็นทางการ) 

อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานแบตเตอรี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่การเพิ่มขนาดแบตเตอรี่ของ iPhone 13 อาจจะไม่มีผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น เนื่องจากอายุการใช้งานแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับการอัพเกรดอื่น ๆ ของโทรศัพท์ และซอฟต์แวร์ของโทรศัพท์นั้นปรับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีเพียงใด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโทรศัพท์ระดับพรีเมียมของยี่ห้ออื่นแล้ว แบตเตอรี่ของ Apple นั้นยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Galaxy S21 ของ Samsung ที่มีตั้งแต่ 4,000 ถึง 5,000 mAh

นอกจากนี้เราคาดว่าการชาร์จแบตเตอรี่ของ iPhone 13 อาจมีเทคนิคใหม่อย่างการชาร์จแบบไร้สายได้เร็วขึ้น ซึ่งดุมีอย่างเป็นไปได้สูงเมื่อย้อนกลับไปตามดูวิดีโอจาก EverythingApplePro บน YouTube จะเห็นได้ว่าการชาร์จแบบไร้สายเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้คุณชาร์จอุปกรณ์ Qi อื่น ๆ ที่ด้านหลังโทรศัพท์ได้ leaker max weinbach คาดการณ์ว่า iPhone 13 ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีคุณสมบัตินี้เนื่องจากมีขดลวดชาร์จไร้สายที่ใหญ่กว่าและชุดแม่เหล็กที่แข็งแรงกว่าอยู่ที่ด้านหลังของโทรศัพท์ 

iPhone 2021 อาจจะไม่มีพอร์ต Lightning

iPhone 13

จากข้อมูลข้างต้นเราจะเห็นว่า iPhone 13 จะมีเทคนิคใหม่การชาร์จแบตเตอรี่ใหม่อย่างการชาร์จแบตแบบไร้สายที่เร็วขึ้น มีการคาดการณ์ว่า Apple วางแผนที่จะเปิดตัว iPhone ระดับไฮเอนด์ที่ไม่มีตัวเชื่อมต่อ Lightning ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ตามการคาดการณ์ใหม่จากนักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo เขากล่าวว่า iPhone ระดับไฮเอนด์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021จะนำเสนอ “ประสบการณ์ชาร์จไร้สายอย่างสมบูรณ์” โดยบอกว่า Apple ไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ USB-C แต่จะทิ้งพอร์ต Lightning ทั้งหมด “Apple จะสร้างความแตกต่างระหว่างรุ่นระดับทั่วไปและรุ่นระดับไฮเอนด์ ในบรรดา iPhone รุ่นใหม่ครึ่งปีหลัง เราคาดว่ารุ่นระดับไฮเอนด์ (13 Pro และ 13 Pro Max) จะยกเลิกพอร์ต Lighting และจะมอบประสบการณ์การใช้งานแบบไร้สายอย่างสมบูรณ์”

Suwanna Preebunpul

Suwanna Preebunpul

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

Contact >> Instagram, Facebook, Line

สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

Categories
News

ข่าวลือเกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 12 กับ iPhone 13 ที่คุณไม่ควรพลาด

iPhone 12 กับ iPhone 13

ปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า iPhone 13 จะเปรียบเทียบกับ iPhone 12 ได้อย่างไร แต่ก็ยังมีข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 12 กับ iPhone 13 ออกมาเรื่อย ๆ โดยทาง Apple มักประกาศเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดในทุกช่วงปลายปี และบางครั้งการอัปเกรดเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้เกิดแรงดึงดูดจากผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามความน่าสนใจทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับแผนการของ Apple และคุณสมบัติของโทรศัพท์รุ่นใหม่ ซึ่งหลังจากการวางจำหน่าย iPhone 12 ก็มักมีข่าวลือเกี่ยวกับ iPhone 13 หรือการเปรียบเทียบสเปกของมันกับ iPhone 12 มากขึ้นเรื่อย ๆ 

หลายคนอาจรู้สึกเหมือนว่า iPhone 12 เพิ่งวางจำหน่าย แต่ตอนนี้เราใกล้เข้าถึงงานวันประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์จาก Apple แล้ว และแน่นอนว่านั่นจะเป็นวันเปิดตัว iPhone 13 ด้วยเช่นกัน โดยเราคาดการณ์ว่างานจะถูกจัดขึ้นภายในเดือนกันยายน ซึ่งบทความนี้เราได้รวบรวมรายละเอียดการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 12 กับ iPhone 13 ไม่ว่าจะเป็นทั้งราคา, กล้อง, ขนาดจอแสดงผลและความละเอียด พร้อมกับรุ่น iPhone 13 ทั้งหมด 4 รุ่นที่อาจจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ 

การเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 12 กับ iPhone 13

มีข่าวลือออกมามากมายเกี่ยวกับสเปกของ iPhone 13 เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 12 ซึ่งข่าวลือเหล่านั้นยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางบริษัท Apple ดังนั้นข้อมูลการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 13 กับ iPhone 12 ที่เราได้รวบรวมมาต่อไปนี้เป็นเพียงข่าวลือจากนักวิเคราะห์หลาย ๆ คนเท่านั้น เพื่อช่วยให้คุณสามารถวางแผนการตัดสินใจซื้อ iPhone 13 ในอนาคตได้ 

ขนาดโทรศัพท์และกล้องที่แตกต่างกัน : iPhone 13 และ 13 Pro จะเป็นรุ่นที่มีขนาดกล้องที่หนากว่า iPhone 12 โดยคาดว่าจะหนา 7.57 มม. เพิ่มขึ้นจาก 7.4 มม. ในรุ่น iPhone 12 ซึ่งขนาดที่เพิ่มขึ้นจะป้องกันไม่ให้เลนส์ยื่นออกมามากเท่ากับในโทรศัพท์รุ่นก่อนหน้านี้

  • iPhone 13 iPhone 13 จะมีราคาใกล้เคียงกับ iPhone 12 : เนื่องจาก iPhone 12 เป็นรุ่นแรกที่รองรับ 5G นักวิเคราะห์จึงคาดการณ์ว่าการอัพเกรดทางเทคนิคของ iPhone 13 อาจไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่สักเท่าไร ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกของ iPhone 12 เริ่มต้นที่ 29,900 บาท อาจเป็นไปได้ว่า Apple อาจลดราคาของ iPhone 13 
iPhone 12 กับ iPhone 13
  • มีการปรับปรุงอัตราการรีเฟรช : โทรศัพท์ส่วนใหญ่ (รวมถึง iPhone 12) จะรีเฟรชที่ 60 เฟรมต่อวินาทีหรือ 60Hz แต่บางรุ่น เช่น Galaxy S21และ OnePlus 8 Pro จะรีเฟรชที่ 120Hz มีการคาดการณ์ว่าจอแสดงผลของ iPhone 13 จะมีอัตราการรีเฟรช 120Hz (และจอแสดงผล OLED ที่เปิดใช้งานตลอดเวลา) จะเห็นได้ว่ามีอัตราการรีเฟรชที่สูงขึ้น ทำให้โทรศัพท์ประมวลได้เร็วขึ้นและราบรื่นขึ้น 
  • ได้รับการปรับปรุงกล้องใหม่ : มีหลายคนคาดหวังว่ากล้องของ iPhone 13 จะได้รับการอัปเกรดให้เหนือกว่ากล้องของ iPhone 12 และมีข่าวลือเกี่ยวกับการเพิ่มกล้องปริทรรศน์ เพื่อปรับปรุงการซูมเลนส์มุมกว้างพิเศษสำหรับการถ่ายภาพในโหมดกลางคืน และใช้เทคโนโลยี Lidar ในทุกรุ่นแทนที่จะเป็นเพียงรุ่น Pro และ Pro Max เช่นเดียวกับ iPhone 12
  • การกลับมาของ Touch ID : คาดว่า iPhone 13 จะสามารถนำ Touch ID กลับมาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ iPhone 8 ซึ่งมันอาจจะถูกฝังอยู่ใต้หน้าจอ แทนที่จะเป็นปุ่มแยกที่กินพื้นที่โทรศัพท์ ในอดีตมีบางคนคาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับ iPhone 12 แต่ในความเป็นจริง iPhone 12 ไม่มีปุ่ม Touch ID แต่อาจถูกผลักดันไปสู่รุ่นถัดไปนั่นคือ iPhone 13 
  • พอร์ต Lightning แต่ไม่มีช่องเสียบหูฟัง : เราจะเห็นว่า iPhone 12 ไม่มีช่องเสียบหูฟัง ดังนั้น iPhone 13 อาจจะไม่มีช่องเสียบหูฟังด้วยเช่นกัน แต่คาดว่า iPhone 13 รุ่นต่าง ๆ จะยังคงมีพอร์ต Lightning อยู่ยกเว้น iPhone 13 Pro Max ซึ่งอาจไม่มีพอร์ต แต่ในทางตรงกันข้าม iPhone 12 มีพอร์ต Lightning ในทุกรุ่น
  • iPhone 13 จะมีทั้งหมด 4 รุ่น

    iPhone 12 กับ iPhone 13

    ตามรายงานของนักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ได้ระบุไว้ว่า iPhone 13‌ จะมีทั้งหมด 4 รุ่นเช่นเดียวกับ iPhone 12 ถึงแม้ว่า Apple อาจจะยุติการผลิตของ iPhone 12 mini แต่ Kuo ยังคงมั่นใจว่า iPhone 13 Series จะประกอบไปด้วย iPhone 13 mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro, iPhone 13 Pro Max อีกทั้งเขาเชื่อว่าการจัดส่งสำหรับ iPhone 13‌ จะเพิ่มขึ้นทุกปีและมีแนวโน้มเชิงบวกสำหรับห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    Suwanna Preebunpul

    Suwanna Preebunpul

    สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี, สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

    Contact >> Instagram, Facebook, Line

    สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

    Categories
    News แนะนำแอปฯ

    เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone คือใคร?

    ตั้งแต่สมาร์ทโฟนได้พัฒนามาถึงจุดที่สามารถใช้คำสั่งผ่านเสียงผู้ใช้สมาร์ทโฟน ของระบบปฎิบัติการต่าง ๆ เช่น iOS และ Android ผ่านการพูดออกไป ตามภาษาของของแต่ละประเทศ แต่เราเองก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าเสียงที่ตอบสนองจากระบบปฎิบัติการนั้น จริง ๆ แล้วคือเสียงของใคร เสียงที่ผ่านการสังเคราะห์มาผ่านกระบวนการทางคอมพิวเตอร์ หรือเสียงจากมนุษย์จริง ๆ กันแน่ เพราะว่าการออกเสียงบางทีก็ชวนให้งงไม่ใช่เล่น ๆ โดยเฉพาะเสียงของแอประบบนำทางต่าง ๆ แต่เราเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า เทคโนโลยีเหล่านี้หลังจากการพัฒนาอย่างไม่เคยหยุด มันก็ช่วยให้ชีวิตคนเราง่ายขึ้นจริง ๆ ในทุก ๆ กิจกรรมที่ทำในขณะเร่งรีบ เช่น การขับรถยนต์ ขี่มอเตอร์ไซค์นั่นเอง หรือ อยู่บนยานพาหนะทางน้ำ

    เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone
    หน้าจอขณะเรียกใช้งานสิริ

    ถ้าหากเราอยากรู้ ว่า siri ที่เราใช้งานกันทุกวันนั้นจริง ๆ แล้วเป็นเสียงของใคร เท่าที่เราได้ทำการค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข่าวต่าง ๆ ก็พบว่าจริง ๆ แล้ว คือ เสียงของ Susan Bennett (ซูซาน เบนเน็ต) เพราะเธอได้เป็นคนออกมายอมรับเองเมื่อปี 2013 ว่าเธอเป็นเจ้าของเสียง Siri ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ

    ซูซาน เบนเน็ต หรือ ซูซาน อลิซเบนเน็ต เป็นศิลปินเสียง ชาวอเมริกัน และเคยเป็นอดีตนักร้องของวงดนตรีอย่าง Roy Orbison (รอย ออร์บิสัน) เจ้าของเพลงดัง อย่าง Oh, Pretty Woman, Crying และ Domino รวมไปถึง Burt Bacharat (เบิร์ต แบแคแร็ค) ศิลปินและนักแต่งเพลงชาวอเมริกันช่วงยุค ค.ศ. 1960 – 1980

    เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone
    Susan Bennett (ซูซาน เบนเน็ต)

    เธอเริ่มต้นอาชีพที่เกี่ยวกับการใช้เสียงครั้งแรกในปี ค.ศ. 1974 โดยการบันทึกเสียงให้กับ ธนาคารแห่งชาติแห่งแรกของแอตแลนต้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Tillie the all-time Teller” นอกจากนั้นเสียงของเธอยังถูกบันทึกเป็นข้อความสำหรับ ระบบเสียงประกาศสาธารณะ ในอาคารผู้โดยสาร Delta Airline (เดลต้า แอร์ไลน์) ทั่วโลกรวมถึง ซอฟแวร์ E-Learning (อี-เลินนิ่ง), ซอฟต์แวร์นำทางระบบ จีพีเอส และระบบโทรศัพท์

    เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone
    ตู้ ATM ของธนาคารแห่งชาติแอตแลนต้า ที่ใช้เสียงของซูซาน เบนเน็ต หรือ Tillie the All-time teller

    เสียงของเธอยังถูกนำมา ใช้ในโฆษณาโทรทัศน์ท้องถิ่นและระดับชาติต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น Ford (ฟอร์ด), Coca-Cola (โคคา-โคล่า), Cartoon Network (การ์ตูน เน็ตเวิร์ค) และ McDonald’s (แม็คโดนัลด์) เป็นต้น โดยตัวเธอเองในวัย 70 ปี ต่างเป็นที่รู้จักกันดีอย่างมากในการเป็นเสียงของผู้หญิงอเมริกันของ บริษัท แอปเปิ้ล ในชื่อ Siri (สิริ) ตั้งแต่บริการได้รับการแนะนำเป็นครั้งแรกบน iPhone 4S เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ในปี ค.ศ. 2011 โดยที่ ซูซาน เบนเน็ต เป็นเสียงของผู้ช่วยเสมือน ของ บริษัท แอปเปิ้ล จนกระทั่งการอัปเดต ของ iOS 7 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 เมษายน ปี ค.ศ. 2013

    แล้วเจ้าของเสียง Siri ภาษาไทยล่ะ คือใครกันเหรอ?

    จากการค้นคว้าข้อมูลขั้นเบื้องต้นพบว่าแท้จริง เสียงของ Siri บน iDevice ของบริษัทแอปเปิ้ลนั้นก็คือระบบเสียงของ Kanya (กัญญา) ซึ่งเป็นระบบเสียงภาษาไทยที่ถูกนำมาใช้ในระบบปฎิบัติการ iOS 7 ขึ้นไป แต่ถ้าเกิดว่าเป็นระบบปฎิบัติการก่อนหน้านี้ก็คือ ระบบเสียงที่มีชื่อเรียกว่า Narisa (นาริสา) นั่นเอง

    แต่ระบบเสียงของ Kanya (กัญญา) ใน Siri นั้นแท้จริงแล้วก็มีการอัดเสียงจากผู้ให้เสียงที่เป็นผู้หญิงชาวไทยเรานี่เองโดยผู้ที่เป็นคนให้เสียงนั้นก็คือ คุณปุ๊ก

    เจ้าของเสียง Siri ใน iPhone
    โฉมหน้าที่แท้จริง เจ้าของระบบเสียง Kanya (กัญญา) ให้เสียงโดยคุณปุ๊กนั่นเอง

    ก็ถือว่าบทความนี้นั้นก็ช่วยแก้ความสงสัยที่หลาย ๆ คนอาจจะอยากรู้กันมานานว่าแท้จริงระบบเสียงต่าง ๆ มีกระบวนการ ขั้นตอน และความเป็นมาอย่างไร เพราะเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่เคยหยุดการพัฒนา เรื่องเหล่านี้เลยกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวพอสมควร อย่างปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ

     

    https://soundcloud.com/futuretalk95/the-story-behind-siri-with-the-original-voice-of-siri-susan-bennett-070720

    https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9620000082749

    https://thefinanser.com/2014/01/siri-once-worked-for-a-bank.html/

    https://www.108blog.net/who-is-kanya-thai-voice-of-siri/https://www.108blog.net/who-is-kanya-thai-voice-of-siri

    เว็บบาคาร่าฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา

    Categories
    News

    Microsoft เผยตัวอย่าง Office 2021 for Mac พร้อมเปิดให้บริการภายในปีนี้

    Microsoft

    ในปัจจุบัน Office 365 หรือ Microsoft 365 มีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 258 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งจำนวนที่มากที่สุดใช้ผลิตภัณฑ์ชุดนี้กับผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยคาดว่าแรงหนุนที่ทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นเกิดจากสถานการณ์ COVID-19 และการเปลี่ยนแปลงในการทำงานระยะไกลของหลาย ๆ บริษัท และเมื่อไม่นานมานี้ Microsoft ได้ประกาศเปิดตัว Office 2021 for Mac ใหม่พร้อมกับการปรับปรุงแอปการทำงานร่วมกันของ Teams ซึ่งวันนี้ผู้เขียนก็ได้รวบรวมข้อมูลว่ามีอะไรใหม่ ๆ ใน Microsoft Office 2021 for Mac ที่น่าสนใจบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยค่ะ

    มีอะไรใหม่ ๆ ใน Microsoft Office 2021 บ้าง?

    Microsoft ได้ทำการสร้าง Office 2021 ทั้งเวอร์ชัน Mac และ Windows โดยบริษัท Microsoft ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์เวอร์ชันจะมุ่งเน้นไปที่ Office LTSC สำหรับธุรกิจเชิงพาณิชย์ และเมื่อไม่นานมานี้ Microsoft ได้เปิดเผยตัวอย่างของ Office LTSC และ Office 2021 for Mac อย่างเป็นทางการ ซึ่งทาง Microsoft จะเปิดเผยตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่พร้อมใช้งานอย่างเต็มรูปแบบภายในปลายปีนี้ 

    Office LTSC ได้มีการปรับปรุงระยะเวลาการใช้งานเพียง “จ่ายครั้งเดียวใช้งานได้เป็นเวลา 5 ปีเท่านั้น” จากเมื่อก่อนที่จ่ายครั้งเดียวสามารถใช้งานได้มากถึง 7 ปี โดยราคาสำหรับผู้ใช้รายบุคคลจะมีราคาเท่าเดม แต่ราคาสำหรับผู้ใช้แบบองค์กรจะมีการปรับขึ้น 10%

    สำหรับ Office 2021 Standard for Mac ประกอบไปด้วย Word, Excel, PowerPoint, Outlook, OneNote, OneDrive และ Teams ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะได้รับการอัปเดตประมาณเดือนละครั้งในช่วงการแสดงตัวอย่างและการใช้งานได้ทั้งบน Apple Silicon และ Intel Macs ส่วนจะมีฟีเจอร์อะไรใหม่ ๆ บ้าง ทาง Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน แต่คาดการณ์ว่า Office 2021 จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่อย่าง รองรับโหมดมืด (Dark Mode) รวมถึงการปรับปรุงการช่วยการเข้าถึง และเพิ่มฟีเจอร์ Dynamic Arrays และ XLOOKUP ใน Excel

    Microsoft

    มีอะไรใหม่ใน Microsoft Teams บ้าง?

    บริษัท Microsoft ได้อัปเดต Teams สำหรับ iOS (พร้อมปรับปรุง สำหรับ Android บางประการด้วย) ซึ่งผู้ใช้งาน iOS จะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การจัดการสตรีมการสนทนาสำหรับผู้ใช้ iPhone และ iPad ซึ่งจะสามารถดูปักหมุดและจัดการแชทได้ อีกทั้งยังมีการอัปเดตการตอบสนองสตรีมสดด้วยอิโมจิใหม่ ๆ แบบเคลื่อนไหวทั้งไลก์ (ชูนิ้วโป้งขึ้น) รัก (หัวใจ) ปรบมือและหัวเราะในการประชุม และการเพิ่มความสามารถในการเปลี่ยนพื้นหลังในการโทรและการประชุม นอกจากนี้คุณสมบัติใหม่อีกอย่างที่สำคัญ คือ เมื่อจัดกำหนดการประชุม Teams ผู้ใช้ iPhone และ iPad สามารถเชิญรายชื่อสมาชิกหรือกลุ่มเพื่อเพิ่มสมาชิกทั้งหมดลงในการประชุมได้

    อะไรทำให้ Windows สามารถใช้ได้กับผู้ใช้ Mac

     Insiders ช่วยให้ผู้ใช้ Windows สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชัน Linux ได้จากการสนับสนุนแอป GUI บนระบบย่อยของ Windows สำหรับ Linux ซึ่งการสนับสนุน Linux GUI ของ Microsoft แสดงให้เห็นถึงขอบเขตกลยุทธ์ของบริษัทที่ไม่ต้องการเป็นแค่ระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ต้องการบริการจัดหาซอฟต์แวร์และโครงสร้างพื้นฐานภายในระบบนิเวศคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ในบริบทนี้มันทำให้เราเห็นว่า Windows สำหรับ ARM สามารถใช้ได้กับผู้ใช้ Mac ผ่านการทำงานของ Parallels Desktop ระบบปฏิบัติการ Windows บน Mac ทำให้ M1 Macs สามารถรันระบบปฏิบัติการได้เร็วกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Microsoft อาจมีแผนในการทำให้ระบบปฏิบัติการของตนพร้อมใช้งานเป็นระบบไคลเอนต์บนคลาวด์ อีกด้วย

    Suwanna Preebunpul

    Suwanna Preebunpul

    สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

    Contact >> Instagram, Facebook, Line

    สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

    Categories
    News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

    Google ประกาศเปิดตัว Chrome 90 ฟังก์ชันที่อนุญาตให้เบราว์เซอร์เชื่อมต่อกับเวอร์ชัน HTTPS ของ URL

    Chrome 90

    เมื่อไม่นานมานี้ Google ได้เปิดตัว Chrome 90 เวอร์ชันเสถียรที่ให้ความสำคัญกับการใช้การเชื่อมต่อที่เข้ารหัสไปยังเว็บไซต์ คุณลักษณะที่น่าสนใจที่สุดของ Chrome 90 ช่วยให้ผู้ใช้สร้างลิงก์ที่ระบุข้อความที่เลือกและสนับสนุนตัวแปลงสัญญาณโอเพนซอร์สโดยการปรับให้เหมาะกับการประชุมทางวิดีโอ 

    เนื่องจาก Chrome มีการอัปเดตเบื้องหลัง ผู้ใช้ส่วนใหญ่จึงรีเฟรชได้โดยเปิดเบราว์เซอร์ใหม่ หากต้องการอัปเดตด้วยตนเองให้เลือก “เกี่ยวกับ Google Chrome” จากเมนูความช่วยเหลือใต้ไอคอนสามจุดที่ด้านขวาบน แท็บผลลัพธ์จะแสดงว่าเบราว์เซอร์ได้รับการอัปเดตหรือแสดงขั้นตอนการดาวน์โหลดก่อนที่จะนำเสนอปุ่มเปิดใหม่ ผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้ Chrome สามารถดาวน์โหลด Chrome 90  สำหรับ Windows, macOS และ Linux ได้โดยตรง สำหรับเบราว์เซอร์ Android และ iOS สามารถดาวน์โหลด Chrome 90 ได้ที่ Google Play และ App Store 

    สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Google Chrome 90

    Chrome 90 เป็นเวอร์ชันที่ฟังก์ชันอนุญาตให้เบราว์เซอร์เชื่อมต่อกับเวอร์ชัน HTTPS ของ URL ของเว็บไซต์ที่แสดงในแถบที่อยู่ โดยเบราว์เซอร์จะนำทางไปยังเว็บไซต์เป้าหมายโดยใช้ HTTPS ซึ่งคุณลักษณะนี้จะช่วยปรับปรุงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ที่รองรับโปรโตคอล ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ต้องการเข้าเว็บ world.com ในแถบที่อยู่ของ Chrome เบราว์เซอร์จะถือว่าที่อยู่เป็นแบบค่าเริ่มต้น นั่นคือ https://world.com และหากเข้าถึงเว็บไซต์แล้วมีปัญหาในการเปิดก็จะเปลี่ยนกลับเป็น https://world.com

    นอกเหนือจากประโยชน์ต่อความปลอดภัยในการท่องเว็บของผู้ใช้แล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงค่าเริ่มต้นของ Chrome ที่ Google อ้างว่าส่งผลให้ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ปลายทางเริ่มต้นเร็วขึ้น Shweta Panditrao และ Mustafa Emre Acer สมาชิกของทีม Chrome ได้เขียนในบล็อก Chromium ว่า “Chrome 90 จะเชื่อมต่อโดยตรงกับปลายทาง HTTPS โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางจาก http: //ไปยัง https: // ” สำหรับ Chrome บน Desktop และ Chrome บน Android จะได้รับกาตั้งค่าเริ่มต้น HTTPS ใหม่ใน Chrome 90 แต่การอัปเดตสำหรับผู้ใช้ iOS Chrome จะตามมา “หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน 90” ในไม่ช้านักพัฒนา Chrome ทั้งสองกล่าว

    Google Chrome 90 มุ่งเน้นการเชื่อมโยง

    Chrome 90 ยังมีคุณลักษณะใหม่ที่สามารถสร้างลิงก์ที่เน้นความสนใจของผู้รับไปที่ตัวอย่างข้อความหรือส่วนเฉพาะของหน้าที่เชื่อมโยง เรียกว่า “link to highlight” โดย Google คุณลักษณะนี้จะจำลองฟังก์ชันของส่วนเสริมที่ Google สร้างขึ้น “ลิงก์ไปยังส่วนข้อความ” เมื่อเปิดใช้งานไฮไลต์ผู้ใช้ที่เลือกข้อความบนหน้าเว็บและคลิกขวาที่ตัวเลือกนั้นและเลือกคัดลอกลิงก์ เพื่อไฮไลต์จากเมนูป๊อปอัป ช่วยให้สามารถวางลิงก์ผลลัพธ์ในที่อยู่อีเมลหรือเอกสารได้

    เมื่อผู้รับคลิกลิงก์นั้นพวกเขาจะไม่เพียงแค่ไปยัง URL ที่ต้องการเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปยังตำแหน่งที่ไฮไลต์ไว้ก่อนหน้านี้ในหน้านั้นด้วยข้อความที่ไฮไลต์ ซึ่งจะถูกไฮไลต์ด้วยสีเหลือง ตามข้อมูลจาก Google ลิงก์สำหรับไฮไลต์ “กำลังเปิดตัวบน Desktop และบน Android ส่วน iOS ก็กำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้

    หากผู้ใช้ Chrome ใจร้อนเกินไปที่จะรอให้ Google เปิดใช้งานคุณลักษณะนี้ ผู้ใช้สามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยป้อน chrome://flags ในแถบที่อยู่แล้วกด Enter หรือ Return จากนั้นค้นหา “copy link to text” เปลี่ยนโหมดทางด้านขวาเป็นเปิดใช้งานและเปิดเบราว์เซอร์ใหม่

    Chrome 90

    ตัวแปลงสัญญาณใหม่สำหรับการสนทนาทางวิดีโอและการประชุมทางวิดีโอ

    Chrome 90 รองรับตัวแปลงสัญญาณ AV1 ซึ่งเป็นรูปแบบโอเพ่นซอร์สที่ถูกส่งเสริมโดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีชื่อที่ใหญ่ที่สุดในด้านเทคโนโลยีตั้งแต่ Facebook ไปจนถึง Google Apple จนถึง Microsoft AV1 ได้รับการออกแบบให้เป็นทางเลือกที่ปลอดค่าลิขสิทธิ์สำหรับตัวแปลงสัญญาณเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับมาตรฐาน WebRTC สำหรับ Desktop ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบีบอัด ซึ่งจะช่วยลดการใช้แบนด์วิดท์ และเพิ่มคุณภาพของภาพรวมทั้งในการแชร์หน้าจอ Google อ้างว่า การเพิ่มตัวเข้ารหัสวิดีโอ AV1 ช่วยให้ผู้ใช้ที่มีการเชื่อมต่อแบนด์วิดท์ต่ำมาก ซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะสมเป็นพิเศษสำหรับใช้ในการประชุมทางวิดีโอตามโปรโตคอล WebRTC

    นอกจากนี้ Chrome 90 ยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่ Google ได้นำเสนอ นั่นคือ มุมมองภาพขนาดย่อของหน้าเอกสารเมื่ออ่าน PDF ในเบราว์เซอร์, วิธีติดป้ายกำกับหน้าต่างของ Chrome เพื่อให้ระบุตัวตนได้ง่ายขึ้นเมื่อย้ายแท็บระหว่างหน้าต่าง และการปิดการแจ้งเตือน เมื่อเบราว์เซอร์แชร์หน้าจอ ส่วนการอัปเกรดครั้งต่อไปของ Chrome จะเป็น Chrome 91 ในวันที่ 25 พฤษภาคม

    Suwanna Preebunpul

    Suwanna Preebunpul

    สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน นักเขียนออยนะคะ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป เขียนบทความแนวแนะนำสินค้า, เทคโนโลยี,สาระความรู้, แฟชั่น และGraphic Design ด้วยความที่ส่วนตัวชอบทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีงานเขียนแนวใหม่ ๆ ออกมา ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ

    Contact >> Instagram, Facebook, Line

    สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

    HILO-88.COM
    HILO-88.COM