สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำการสังเกตและวิธีแก้ไขปัญหาความร้อนที่ทำให้แบต Huawei บวม

แบต Huawei บวม

บนอินเทอร์เน็ตมีโพสต์และการสนทนามากมาย ซึ่งผู้คนได้แบ่งปันปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญเกี่ยวกับโทรศัพท์ Huawei โดยปัญหาใหญ่ที่สุดที่เราพบคือแบตเตอรี่หมดและความร้อนสูงเกินไป สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้แบต Huawei บวมได้ ดังนั้นเราจึงมีมีวิธีการสังเกตและวิธีแก้ไขปัญหาความร้อนของโทรศัพท์มาแบ่งปัน เพื่อเป็นแนวทางช่วยคุณแก้ปัญหาแบตบวมได้

วิธีการสังเกตความร้อนของโทรศัพท์ที่อาจทำให้แบต Huawei บวม

ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปัญหาแบต Huawei บวม เรามาดูวิธีการสังเกตว่าแบตเตอรี่ของโทรศัพท์คุณบวมจริงหรือไม่ ซึ่งแบตบวมเกิดจากหลายปัจจัย โดยคุณสามารถสังเกตด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  1. แก้ปัญหาความร้อนของโทรศัพท์ Huawei ให้แคบลง

ผู้คนจำนวนมากซื้อโทรศัพท์ Huawei และบางคนก็บ่นเกี่ยวกับปัญหาแบตเตอรี่และการชาร์จของ Huawei เป็นจำนวนมาก ความร้อนเป็นเรื่องปกติไม่ใช่ปัญหา เพราะสมาร์ทโฟนทุกเครื่องเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่เมื่อคุณเผชิญกับปัญหานี้ตลอดเวลาและคุณรู้สึกว่าโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นมากและอาจทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นอันตรายต่อคุณ ซึ่งอาการแบบนี้อาจส่งผลให้แบตบวมได้ง่าย

  1. ด้านหลังโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นหรือไม่?

หากคุณรู้สึกว่าด้านหลังของโทรศัพท์มือถือของคุณกำลังประสบปัญหาร้อนขึ้นหรือร้อนกว่าปกติ คุณต้องเข้าใจว่าปัญหานี่ไม่ได้เกิดจากโทรศัพท์ Huawei แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับแบตเตอรี่ของ Huawei โดยตรง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณอาจเกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้คุณอาจจะประสบปัญหาด้านหลังโทรศัพท์ร้อนเมื่อคุณชาร์จโทรศัพท์จากที่ชาร์จอื่น ๆ เราแนะนำให้ลองชาร์จโทรศัพท์ของคุณจากเครื่องชาร์จของแท้และที่ Huawei ให้มาเผื่อปัญหานี้จะหมดไป

  1. ฐานโทรศัพท์ของคุณร้อนขึ้นหรือไม่?

สังเกตที่ด้านล่างที่เป็นที่เสียบสายชาร์จว่าร้อนขึ้นหรือไม่? หากร้อนขึ้นจริงคุณต้องเข้าใจว่านี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับที่ชาร์จ โดยที่ชาร์จ Huawei อาจมีความผิดปกติหรือคุณอาจให้ที่ชาร์จแบตที่ไม่ได้มาตรฐาน ในการแก้ไขปัญหาการชาร์จของ Huawei ด้วยการเปลี่ยนที่ชาร์จที่เหมาะสำหรับโทรศัพท์ของคุณ

  1. โทรศัพท์ Huawei ร้อนขึ้นบริเวณด้านหลังส่วนบนหรือไม่?

หากโทรศัพท์ Huawei ของคุณร้อนขึ้นบริเวณด้านหลังส่วนบนค ต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ปัญหาแบตเตอรี่เลย อาจมีปัญหากับลำโพงหรือหน้าจอ ดังนั้นแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยวิธีที่ระบุด้านล่างนี้

  • หากโทรศัพท์ร้อนขึ้นจากลำโพง

หากคุณรับรู้ว่าส่วนที่ให้ความร้อนคือลำโพง และนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาหลักเท่านั้น แต่อาจทำให้หูของคุณเกิดอันตรายได้ ซึ่งปัญหานี้จะยังคงมีอยู่เมื่อลำโพงของโทรศัพท์ของคุณทำงานผิดปกติ ดังนั้นคุณต้องรีบไปที่ศูนย์บริการ Huawei ที่ได้รับอนุญาตและทำการซ่อมแซมทันที

  • หากหน้าจอของโทรศัพท์ร้อนขึ้น

หากหน้าจอหรือจอแสดงผลของโทรศัพท์ Huawei ของคุณร้อนขึ้นและบางครั้งดูเหมือนว่าจะมีอุณหภูมิสูงมากคุณสามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเป็นปัญหากับโทรศัพท์ Huawei ของคุณเท่านั้น ดังนั้นคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้ไว้ด้านล่าง

การแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ร้อน

ตอนนี้คุณได้รู้วิธีการสังเกตความร้อนของโทรศัพท์ที่อาจทำให้แบต Huawei บวม ซึ่งปัญหานี้พบมากใน huawei nova 3iและคุณอาจพบว่าปัญหานี้เกิดจากตัวโทรศัพท์ที่ส่งผลให้แบตเตอรี่ร้อนขึ้น เพราะฉะนั้นมาดูวิธีแก้ไขปัญหาโทรศัพท์ร้อนได้ตามที่ระบุด้านล่างนี้

  • ใช้แอปของบุคคลที่สามเพื่อถนอมแบตเตอรี่

เป็นทางเลือกที่ดีในการใช้แอปของบุคคลที่สาม เพื่อลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟนของคุณ ซึ่งเรามีแอปที่อยากจะแนะนำให้คุณรู้จักอย่าง greenify Greenify เป็นUtility อันดับ 1 ของ Lifehacker ในปี 2013 เป็นแอปพลิเคชัน Android ที่ผู้ใช้โทรศัพท์ Android หลายคนต่างชื่นชอบ แอปนี้ช่วยให้คุณระบุแอปที่คุณไม่ได้ใช้งานและทำให้แอปเหล่านั้นเข้าสู่โหมด Hibernate และป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ของคุณล้าหลังและถนอมแบตเตอรี่ เมื่อไม่มีแอปทำงานในพื้นหลังคุณจะเห็นอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Huawei เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

  • ทำให้โทรศัพท์ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น

สิ่งสำคัญที่ทำให้โทรศัพท์ Huawei ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น ต้องลบแอปและข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อใช้งาน ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้โทรศัพท์และโปรเซสเซอร์ของคุณมีพื้นที่ว่างมากขึ้น เพราะมันจะช่วยให้โทรศัพท์ของคุณทำงานน้อยลงซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่ Huawei และปัญหาความร้อนสูงเกินไป 

  • เปลี่ยนการตั้งค่าบนโทรศัพท์ของคุณเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่

คุณสามารถปิดบริการระบุตำแหน่งเพื่อลดการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้ นอกจากนี้การปรับการตั้งค่า GPS ยังช่วยให้คุณใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้น โดยการไปที่การตั้งค่า> ตำแหน่ง> โหมดและคุณจะเห็น 3 ตัวเลือก ความแม่นยำสูงซึ่งใช้ GPS, Wi-Fi และเครือข่ายมือถือในการกำหนดตำแหน่งของคุณซึ่งจะใช้พลังงานค่อนข้างมากในการทำงาน หากคุณปิดการตั้งค่านี้จะช่วยลดการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ และคุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเป็นตัวเลือกการประหยัดแบตเตอรี่ได้ โดยไปที่การตั้งค่า> แอปพลิเคชัน> ทั้งหมด> บริการ Google Play ที่นี่แตะที่ปุ่มล้างแคช การดำเนินการนี้จะรีเฟรชบริการ Google Play และหยุดแคชที่กินแบตเตอรี่ของคุณ

จีคลับ

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีเพิ่มความเร็วหลัง อัพเดท Android แล้วเครื่องช้า

อัพเดท Android

สำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต Android อาจพบกับปัญหาเครื่องทำงานช้าลง เนื่องจากสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตของคุณนั้นมันประมวลผลอยู่ตลอดเวลา โดยการประมวลผลเหล่านี้อาจเกิดจากแอปพลิเคชันที่ยังทำงานอยู่ หรือไฟล์แคชที่มีอยู่ภายในเครื่อง ภาพวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ บนหน้าจอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ย่อมส่งผลทำให้เครื่องทำงานได้ช้าลง หรือในบางกรณีโทรศัพท์ Android มักจะช้าลงตามเวลาการใช้งาน ส่วนใหญ่เป็นเพราะฮาร์ดแวร์เสื่อมสภาพ อย่างไรก็ตามมีหลายกรณีที่ผู้ใช้ อัพเดท Android แล้วพบว่าประสิทธิภาพของทำงานช้าลงหลังจากอัพเดตระบบปฏิบัติการ (OTA) เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันว่าจะมีวิธีใดบ้างที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลของสมาร์ทโฟนให้ทำงานได้ดีขึ้น

วิธีการเพิ่มความเร็วโทรศัพท์หลังอัพเดท Android

ปัญหาโทรศัพท์ช้าหลัง อัพเดท Android นี้เกิดขึ้นกับโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งมีหลากหลายแบรนด์ เช่น Samsung Xiaomi Vivo Realme Oppo Vivo Huawei และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นวันนี้เราจะพูดถึงวิธีการเพิ่มความเร็วโทรศัพท์และสาเหตุที่เกิดขึ้นบนโทรศัพท์ Android จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย

  1. การอัพเดตระบบปฏิบัติการและแอปที่หนักพื้นที่ภายในโทรศัพท์

การอัพเดตระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่นล่าสุดอาจไม่ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับโทรศัพท์ของคุณมากนัก และอาจทำให้การอัพเดตช้าลง หรือผู้ให้บริการและผู้ผลิตอาจเพิ่มแอป bloatware เพิ่มเติมในการอัพเดต ซึ่งทำให้การทำงานในพื้นหลังต่าง ๆช้าลง 

วิธีแก้ไข : หากระบบปฏิบัติการของคุณดูเหมือนช้าคุณ ให้ลองติดตั้ง ROM แบบกำหนดเองที่ไม่มี bloatware และสกินของผู้ผลิต แต่โปรดจำไว้ว่านี่เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ใช้ขั้นสูงและมักจะมีปัญหามากกว่าที่มันคุ้มค่า หากแอปของคุณช้าให้ลองปิดการใช้งานแอปนั้น แล้วเลือกใช้แอป

  1. กระบวนการทำงานแอปพลิเคชันเบื้องหลังทำให้โทรศัพท์ทำงานช้าลงได้

หากคุณติดตั้งแอปเพิ่มเติม ในขณะที่คุณยังคงใช้งานโทรศัพท์อยู่ บางแอปที่เปิดขึ้นจะเริ่มต้นทำงานในพื้นหลังด้วย ซึ่งถ้าคุณติดตั้งแอปจำนวนมาก แอปเหล่านี้อาจใช้ทรัพยากร CPU และ RAM ทำให้มือถือของคุณทำงานช้าลง ในทำนองเดียวกันหากคุณใช้ภาพวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ จำนวนมากบนหน้าจอหลัก สิ่งเหล่านี้จะใช้ทรัพยากร CPU กราฟิกและหน่วยความจำจำนวนมาก และอาจส่งผลเสียต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่อีกด้วย

วิธีแก้ไข : ปิดการใช้งานวอลเปเปอร์เคลื่อนไหวและวิดเจ็ตต่างๆ ให้ออกจากหน้าจอหลักและถอนการติดตั้งหรือปิดใช้งานแอปที่ไม่จำเป็น หากต้องการตรวจสอบว่าแอปใดกำลังทำงานพื้นหลังให้ไปที่เมนู Running Services ในการตั้งค่า หากคุณไม่ได้ใช้แอปที่กำลังทำงานอยู่เบื้องหลังให้ถอนการติดตั้ง ถ้าคุณไม่สามารถถอนการติดตั้งให้คุณเลือกปิดการใช้งานแอปนั้น

  1. พื้นที่เก็บข้อมูลทำให้ระบบปฏิบัติการของคุณทำงานได้

โซลิดสเตทไดรฟ์จะทำงานช้าลง เมื่อคุณจัดเก็บข้อมูลในหน่วยความจำจนเต็ม สิ่งนี้ทำให้ระบบปฏิบัติกา Android และแอปพลิเคชันทำงานช้าลงมาก ซึ่งหน้าจอการจัดเก็บในเมนูการตั้งค่าจะแสดงให้คุณเห็นว่าพื้นที่เก็บข้อมูลของอุปกรณ์ของคุณเต็มเพียงใดและแอปไหนใช้พื้นที่เท่าไร ไฟล์แคชอาจใช้พื้นที่เก็บข้อมูลค่อนข้างน้อย แต่หากปล่อยให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆโดยไม่ได้ตรวจสอบก็อาจทำให้พื้นที่หน่วยความจำเต็มได้ง่าย ดังนั้นการล้างไฟล์แคชจะสามารถใช้เพิ่มพื้นที่ว่างในดิสก์และทำให้โซลิดสเตทไดรฟ์ของคุณทำงานได้ดีขึ้นอย่างน้อยก็จนกว่าแคชเหล่านั้นจะเต็มอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วิธีแก้ไข : รูปภาพและวิดีโอที่คุณถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์ของคุณถือเป็นตัวการใหญ่ที่สุดที่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลค่อนข้างเยอะ ดังนั้นควรทำการสำรองข้อมูลและลบออกจากโทรศัพท์ของคุณบ่อย ๆ และคุณยังสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยใช้ google drive เก็บรูปภาพเหล่านั้น มิฉะนั้นก็ถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันและลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้คุณยังสามารถรีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงานและติดตั้งเฉพาะแอปที่คุณต้องการเพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่เหมือนใหม่ได้

ทำไมโทรศัพท์ Android ถึงช้าและไม่ตอบสนอง?

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมโทรศัพท์ Android เครื่องช้าและค้างไม่ตอบสนอง? และอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหาอัพเดท Android แล้วเครื่องทำงานช้า คือการรีเซ็ตโทรศัพท์ เป็นการตั้งค่าจากโรงงาน อย่างไรก็ตามการดำเนินการนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดออกจากอุปกรณ์ของคุณ ถ้าคุณไม่อยากให้ข้อมูลหายให้ทำการสำรองข้อมูลต่อรีเซ็ต

ดังนั้นหลังจากการอัพเดท Android ของคุณแล้วเครื่องช้า ต้องเช็คโทรศัพท์ Android ของคุณหรือทำการ Wipe Cache Partition เพื่อล้างข้อมูล Cache ที่เก็บไว้ในเครื่อง ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้โทรศัพท์ Android ของคุณย้ายแอปและไฟล์ระบบที่อัปเดตใหม่ไปยังพาร์ติชันแคช รับรองเลยว่าการทำเช่นนี้จะช่วยเร่งความเร็วของโทรศัพท์ Android ของคุณอย่างมาก

จีคลับ

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า หรือ เครื่องอืด

oppo

มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์มือถือของคุณอย่างเช่นโทรศัพท์ทำงานช้า และไม่สำคัญว่าจะเป็นเครื่องใหม่หรือไม่ เพราะเนื่องจากในเวลาไม่ช้าโทรศัพท์ของคุณอาจจะเต็มไปด้วยไฟล์และแอปพลิเคชัน ที่สามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์ได้ และวันนี้เราก็มีวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า มาฝากทุกคน ตามมาดูกันเลยค่ะ

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ oppo ช้า

การที่โทรศัพท์ oppo ช้า อาจเกิดจากประสิทธิภาพโดยรวมของระบบไม่ดี ซึ่งในกรณีนี้ระบบทั้งหมดจะให้ความรู้สึกว่าทำงานช้าขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างเช่น เข้าแอปแล้วโทรศัพท์กระตุก ต้องใช้เวลานานในการเข้าสู่แกลเลอรีรูปภาพและโดยทั่วไปคุณจะสังเกตเห็นว่าโทรศัพท์ของคุณสูญเสียความลื่นไหล หากคุณปฏิบัติต้องวิธีที่เราแนะนำมันอาจจะช่วยทำให้โทรศัพท์เร็วขึ้น ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

  1. เพิ่มพื้นที่ว่างในดิสก์

เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานโทรศัพท์แย่ลง เนื่องจากพื้นที่ว่างเหลือน้อยลง

อาจมีปัญหาทำให้เกิดข้อบกพร่องด้านประสิทธิภาพ การเพิ่มพื้นที่ว่างเป็นวิธีแรก เพื่อดูว่าความลื่นไหลของระบบดีขึ้นหรือไม่ โดยการทำเช่นนี้เราสามารถไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่เก็บข้อมูลและใช้ตัวล้างอัตโนมัติ จากนั้นก็รีสตาร์ทมือถือและตรวจสอบว่าประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่

  1. ลดการใช้วิดเจ็ต

การใช้งานที่มากเกินไปของวิดเจ็ตหรือวอลล์เปเปอร์แบบไดนามิกจำเป็นต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรของเครื่องโทรศัพท์ ดังนั้นมันจึงลดประสิทธิภาพการทำงาน หากเรามีวิดเจ็ตหรือวอลล์เปเปอร์หลายรายการ จึงถือเป็นเรื่องปกติที่มือถือของคุณจะช้า ไม่ราบรื่น ดังนั้นคุณต้องลดการใช้วิดเจ็ตบางส่วนและให้ทดสอบว่าปัญหาหายไปหรือไม่

  1. รีบูตบ่อยๆ

เป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนแทบไม่ได้ทำ แต่มันสะดวกมาก การรีสตาร์ทมือถือเป็นระยะ ๆจะช่วยให้คุณสามารถกำจัดข้อเสียของแคชและเพิ่มประสิทธิภาพทำให้โทรศัพท์ทำงานได้เร็วขึ้น สำหรับโทรศัพท์ OPPO เราแนะนำให้รีสตาร์ทอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าประสิทธิภาพการทำงานยังคงที่ไม่ได้ลดลง

  1. เครื่องร้อนไหม?

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบนโทรศัพท์มือถือ อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงชั่วคราว ซึ่งอาจส่งผลให้โปรเซสเซอร์หรือองค์ประกอบฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เสียหายได้ โดยเครื่องโทรศัพท์ร้อนมักเกิดขึ้นบ่อย เช่นเมื่อคุณเล่นเกมที่มีความต้องการกราฟิกเป็นเวลานานหรือเมื่อเล่นและโหลดในเวลาเดียวกัน หรือโทรศัพท์ OPPO ของคุณใช้การนำทางด้วย GPS เป็นเวลานาน จะทำให้มือถือร้อนเกินไปหรือร้อนกว่าปกติ เมื่อเวลาผ่านไปโทรศัพท์ของคุณอาจทำงานช้าลงหรืออาจทำให้แบตเตอรี่บวมได้อีกด้วย วิธีแก้ไขที่ดีสุดคือปล่อยให้มือถือของคุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งหมายถึงการปิดเครื่องและรออย่างน้อย 10 นาที เพื่อให้ระบบกลับสู่อุณหภูมิปกติ จากนั้นคุณก็สามารถเปิดอุปกรณ์ได้และดูว่าประสิทธิภาพฟื้นตัวหรือไม่

  1. อัปเดตซอฟต์แวร์

การอัปเดตซอฟต์แวร์ถือเป็นการดำเนินการปรับปรุงซอฟต์แวร์ภายในเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบว่าคุณอัปเดตซอฟต์แวร์หรือยัง โดยไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่ระบบ จากนั้นไปที่การอัปเดตระบบ

  1. ถอดการ์ด microSD

การ์ด microSD เป็นองค์ประกอบที่สำคัญบนโทรศัพท์ แต่นั่นก็อาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประสิทธิการทำงานแย่ลง หากคุณมีรูปถ่ายหรือแอปพลิเคชันใน microSD และมันทำงานไม่ถูกต้องจะแสดงประสิทธิภาพของระบบทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย ขั้นตอนต่อไปคือการถอด microSD และทดสอบว่าปัญหานั้นได้รับการแก้ไขหรือไม่

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแอปพลิเคชัน

ในกรณีที่โทรศัพท์ oppo ช้า ซึ่งมันอาจเกิดจากความผิดปกติบางโปรแกรม ซึ่งคุณยังมีตัวเลือกมากมาย เพื่อให้ความล้มเหลวของโปรแกรมหายไปและทำให้โทรศัพท์ OPPO ของคุณกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

  1. ลบและติดตั้งแอพใหม่ เป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำคือลบและติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ เมื่อมันเกิดความล่าช้าหรือทำงานไม่ผิดปกติ หากเกิดขึ้นกับแอปพลิเคชันมากกว่าหนึ่งรายการ คุณก็ต้องทำเช่นเดียวกัน เมื่อติดตั้งใหม่เสร็จแล้วให้ตรวจสอบว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
  2. ปิดแอปเบื้องหลัง

เพื่อป้องกันไม่ให้แอปพลิเคชันหลายตัวทำงานในพื้นหลัง ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรและประสิทธิภาพการทำงานลดลงคุณจะต้องแตะที่เมนูแอปพลิเคชันล่าสุดและปิดทั้งหมดในครั้งเดียว นอกจากนี้คุณยังสามารถปิดทีละรายการ เพื่อดูว่าประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่

  1. ดาวน์โหลดและใช้แอปอย่างเป็นทางการ

ในหลาย ๆ ครั้งแอปที่ดาวน์โหลดนอก Google Play อาจมีการแก้ไขโค้ดแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นแอปที่ถูกต้อง 100% ก็ตาม สิ่งนี้อาจสามารถทำให้โทรศัพท์ใช้ทรัพยากรมากขึ้นและมือถือของคุณเริ่มช้าลง วิธีแก้ไขคือลบแอปและลบไฟล์ขยะเหล่านี้ที่ดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการและลองดาวน์โหลดแอปโดยตรงจาก Google Play

  • ล้างแคช

หน่วยความจำแคชเป็นข้อมูลชั่วคราวที่เก็บไว้ในหน่วยความจำโทรศัพท์เมื่อมีการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือของคุณ แต่ละแอปพลิเคชันมีไฟล์แคชของตัวเองและใช้พื้นที่เก็บข้อมูลบางส่วน การล้างแคชนั้นเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับระบบในการสร้างไฟล์แคชใหม่ในครั้งต่อไป หากต้องการล้างแคชของแอปพลิเคชันให้ไปที่การตั้งค่า แล้วไปที่เก็บข้อมูล ต่อด้วยล้างที่เก็บข้อมูล จากมันไปที่ลบทั้งหมด

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
Featured News

เช็คข้อมูลล่าสุด iphone 12 pro ราคาในไทย จาก Apple Store Online และ 3 ค่ายใหญ่

iphone 12 pro

iPhone 12 และ iPhone 12 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟน 5G รุ่นที่ขายดีที่สุดในโลกในเดือนตุลาคม แม้จะมีการเปิดตัวล่าช้า แต่ Phone 12 ยังติด 10 อันดับแรกของอุปกรณ์ 5G ที่ขายดีที่สุดในเดือนมกราคม – ตุลาคม 2020 โดยครองอันดับที่ 7 ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่เนื่องจาก iPhone 12 Series วางจำหน่ายเพียง 2 สัปดาห์ในเดือนตุลาคม 

มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดการเริ่มต้นครั้งใหญ่สำหรับ iPhone 12 Series อย่างการอัพเกรด 5G ในฐาน iOS ซึ่งประเทศจีนและญี่ปุ่นที่มีความต้องการ iPhone 12 Series อย่างมากเมื่อเทียบกับโทรศัพท์รุ่น 5G อื่น ๆ iPhone 12 ได้ครอบคลุมตลาดที่กว้างขึ้นมีการวางจำหน่ายกว่า 140 ประเทศ จึงช่วยให้มียอดขายมากกว่ารุ่นอื่นๆ สำหรับประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้ Apple ได้ประกาศวันวางจำหน่าย iPhone 12 mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max และได้เปิดเผยราคาในไทย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปดูข้อมูลล่าสุด iphone 12 pro ราคาในไทย จาก Apple Store Online และ 3 ค่ายใหญ่ของไทย ซึ่งแน่นอนว่าราคาของแต่ละค่ายต่างมีความแตกต่างกัน จะมากน้อยแค่ไหนตามมาดูกันเลยค่ะ

ล่าสุด iphone 12 pro ราคาในไทยได้ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ

Apple เปิดตัวและแจ้งข้อมูลต่อสื่อมวลชนถึงวันวางจำหน่าย iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ในประเทศไทย ได้แก่ iPhone 12 mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max โดยทางกสทช. อนุมัติการนำเข้าไทย ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คาดว่าผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 ค่ายใหญ่ในไทยจะเริ่มเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในวันที่ 20 พฤศจิกายน และของเข้าไทยวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563 

Apple ได้เปิดเผยราคา iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นแล้วและหนึ่งในนั้นคือ iphone 12 pro ราคาในไทย ซึ่งเราก็ได้รวบรวบราคาล่าสุด 2020 ของ iphone 12 pro จาก Apple Store Online และ 3 ค่ายใหญ่ในไทยมาฝากทุกคน จะมีราคาไหนบ้างตามมาดูกันเลยค่ะ

ราคา iphone 12 pro ปี 2020

  1. ราคาไอโฟน 12 Pro ที่ Apple Store Online ไทย
  • 128GB ราคา 36,900 บาท
  • 256GB ราคา 40,900 บาท
  • 512GB ราคา 48,900 บาท
  1. ราคาไอโฟน 12 Pro ที่ TrueMove H
  • 128GB ราคาเครื่องเปล่า 36,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 25,100 บาท
  • 256GB ราคาเครื่องเปล่า 40,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 29,100 บาท
  • 512GB ราคาเครื่องเปล่า 48,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 37,100 บาท
  1. ราคาไอโฟน 12 Pro ที่ AIS
  • 128GB ราคาเครื่องเปล่า 36,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 27,100 บาท
  • 256GB ราคาเครื่องเปล่า 40,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 31,100 บาท
  • 512GB ราคาเครื่องเปล่า 48,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 39,100 บาท
  1. ราคาไอโฟน 12 Pro ที่ DTAC
  • 128GB ราคาเครื่องเปล่า 36,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 24,200 บาท
  • 256GB ราคาเครื่องเปล่า 43,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 28,200 บาท
  • 512GB ราคาเครื่องเปล่า 51,900 บาท และราคาติดโปรเริ่มต้นที่ 31,700 บาท

สรุปสเปคเครื่อง iphone 12 pro

หลังจากที่เราได้รู้แล้วว่า iphone 12 pro ราคาในไทยเท่าไหร่ และอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจมากขึ้นคือสเปคของเครื่องและการออกแบบ โดย Apple ได้นำเอาการออกแบบที่เรียบและเหลี่ยมของ iPhone 4 กลับมาออกแบบสำหรับ iphone 12 pro ด้วยรูปแบบขอบโค้งที่เราคุ้นเคยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

Apple ได้พูดถึงความแข็งแรงของหน้าจอ iPhone บ่อยครั้งในอดีต และในครั้งนี้ Apple ได้นำกระจกหน้าจอแบบ Ceramic Shield มาใช้เป็นส่วนประกอบ เพื่อการป้องกันรอยขีดข่วนและเพิ่มความทนทาน

สำหรับใครที่สงสัยว่า iphone 12 pro มีกี่สี? วันนี้เรามีคำตอบมาให้ 12 Pro และ 12 Pro Max มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ กราไฟต์, เงิน, ทอง และ แปซิฟิกบลู โดยสี Pacific Blue จะออกสีเทากว่าสีน้ำเงินของ iPhone 12 เล็กน้อยและ iphone 12 pro มีข้อมูลสเปคเครื่องที่น่าสนใจดังนี้

สเปคเครื่อง iphone 12 pro

  • ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 189 กรัม
  • หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
  • ความละเอียดหน้าจอ 1170 x 2532 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
  • กระจกหน้าจอเป็น Ceramic Shield
  • มีมาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตรและนานถึง 30 นาที
  • ชิพที่เร็วแรงอย่าง Apple A14 Bionic และ GPU เป็นของ Apple เองแบบ 4 Core 
  • ความจำในตัว ได้แก่ 128GB / 256GB / 512GB 
  • สามารถเพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
  • มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 14 
  • สามารถเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
  • รองรับ eSIM และ Nano SIM
  • ระบบเสียงมี ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
  • กล้องหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกัน ได้แก่ กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
  • กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา 
  • กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมได้ 2 เท่าแบบ Optical
  • LiDAR Sensor
  • กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
  • แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
  • ระบบความปลอดภัย สามารถสแกนหน้าแบบ Face ID ได้

เว็บบอล888

Categories
Featured สอนใช้

ไขข้อสงสัยเปิดใช้งาน facetime เสียตังไหม

facetime

คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ iOS ของ Apple อย่าง iPhone, iPad และ Mac คือความสามารถในการตั้งค่าวิดีโอแชทแบบเห็นหน้ายินเสียงกันและกันอย่างรวดเร็วและง่ายดายด้วยแอปพลิเคชัน FaceTime ที่ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้ใช้ FaceTime คนอื่น ๆ แบบตัวต่อตัวโดยการแตะรายการในรายชื่อผู้ติดต่อของคุณ 

Apple Inc. เป็นผู้พัฒนาแอป FaceTime ด้วยมาตรฐานแบบเปิดซึ่งหมายความว่าในทางเทคนิค FaceTime สามารถใช้งานได้ในหลายแพลตฟอร์มและผู้ผลิตรายอื่นสามารถใช้ประโยชน์จากโปรโตคอลของ FaceTime ได้ แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว FaceTime ยังคงมีให้บริการสำหรับผู้ใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ Apple เท่านั้น โดยเฉพาะบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ iOS ที่มีกล้องหน้าและคอมพิวเตอร์Mac ทุกเครื่องที่ติดตั้งกล้อง ทั้ง FaceTime, FaceTime Audio เวอร์ชันเสียง พร้อมใช้งานบนอุปกรณ์ iOSทุกรุ่นที่รองรับ iOS 10.0 หรือใหม่กว่านั้น และ Mac ทุกเครื่องที่มีกล้องหน้าที่ใช้ Mac OS X 10.9.2 และใหม่กว่า ซึ่งเห็นได้ชัดว่า Apple พยายามสนับสนุนให้ผู้ใช้ทุกคนใช้ซอฟต์แวร์นี้สำหรับวิดีโอแชท แม้ว่าพวกเขาจะสามารถพูดคุยกับอุปกรณ์ หรือผู้ใช้ Mac เครื่องอื่นด้วยก็ตาม

คุณสมบัติอื่น ๆ บางอย่างใน FaceTime คือมุมมองของภาพ ด้วยคุณสมบัตินี้คุณสามารถดูได้อย่างชัดเจนว่าคู่สนทนาของคุณกำลังทำอะไรอยู่ในขณะคุยกัน และคุณยังสามารถใช้กล้องหน้าหรือกล้องหลังบนอุปกรณ์ของคุณ รวมทั้งเปลี่ยนระหว่างมุมมองแนวนอนและแนวตั้งได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ FaceTime ยังสามารถรองรับแฮงเอาท์วิดีโอความละเอียดสูงได้โดยกล้องความละเอียดสูง (สูงสุด 720p) บนอุปกรณ์ของคุณ 

การใช้ FaceTimeไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

มีหลายคนสงสัยว่าการใช้งาน facetime เสียเงินไหม? แอปพลิเคชัน facetime นี้ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการโทรหรือเชื่อมต่อ และถูกติดตั้งบนอุปกรณ์ iOS ของ Apple ที่มีกล้อง สิ่งเดียวที่ Apple ต้องการเพื่อให้คุณสามารถใช้แอป FaceTime บน iPad, iPhone หรือ iPod Touch และ Mac ของคุณได้คือ Apple ID ในขณะที่ Apple ID ลงทะเบียนเพื่อให้คุณใช้จ่ายเงินที่ iTunes Store แต่การตั้งค่าในแอปนี้จะไม่มีค่าใช้จ่าย

เดิม FaceTime ทำงานผ่านการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย Wi-Fi เท่านั้น โดยกำหนดให้บุคคลที่ปลายสายทั้งสองฝ่ายมีบริการอินเทอร์เน็ตของตนเอง หากต้องการใช้ FaceTime ที่สำนักงานหรือที่บ้านคุณต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตซึ่งคุณหรือ บริษัท ของคุณต้องจ่ายค่าอินเตอร์เน็ต หากคุณสามารถค้นหาการเชื่อมต่อ Wi-Fi ฟรี เช่นเดียวกับในสถานที่สาธารณะหลายแห่ง คุณก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ FaceTime

หลังจากการเปิดตัว iPhone 4S และ iPad รุ่นที่สาม Apple ได้ริเริ่มจัดโครงสร้าง FaceTime ให้ใช้การเชื่อมต่อข้อมูลเซลลูลาร์หากไม่มีการเชื่อมต่อ Wi-Fi เนื่องจากแผนบริการเซลลูลาร์จำนวนมากมีขีดจำกัดข้อมูลของคุณอาจต้องจ่ายเงินเติมอินเตอร์เน็ตสำหรับการใช้งานหากคุณใช้ FaceTime เป็นประจำ ซึ่งมีการทดสอบของบุคคลที่สามที่จัดทำโดย AnandTech ระบุว่าแอปใช้ Bandwidthไม่เกิน 150 kbps วิธีนี้ใช้ได้กับการแชทแบบ FaceTime ที่ใช้เวลาประมาณ 14 หรือ 15 ชั่วโมง 1GB

หากคุณเลือกใช้ฮอตสปอตส่วนตัวหรือแผนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถือสมาร์ทโฟนเพื่อรองรับการใช้งาน FaceTime คุณจะยังคงต้องเสียค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ต แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแผนบริการเซลลูลาร์ของคุณ แต่คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายบางส่วน เนื่องจาก FaceTime มีรายงานว่ามีพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างต่ำกว่าแอปพลิเคชันวิดีโอแชทอื่น ๆ จึงใช้งานได้น้อยกว่าเครื่องมือคู่แข่ง อีกอย่าง FaceTime สามารถโทรหาได้เฉพาะผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple เท่านั้น

การเปิดใช้งาน FaceTime 

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าคุณอาจถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเพื่อเปิดใช้งานบริการ FaceTime ซึ่งต้องถามคุณก่อนว่าได้ทำการเปิดใช้ FaceTime บนอุปกรณ์ของคุณแล้วหรือไม่? และมีวิธีการเปิดใช้ยังไง? โดยวิธีการตรวจสอบและเปิดใช้งานก็ง่ายมากๆ แม้ว่าจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ของคุณ ซึ่งคุณสามารถทำได้ได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. เปิดใช้งาน FaceTime บน iPhone, iPad หรือ iPod touch
  • เปิดการตั้งค่า
  • ไปที่ FaceTime

ตรวจสอบว่าแท็บนั้นเป็นสีเขียวหรือไม่ หากไม่ใช่นั้นหมายความว่ายังไม่ถูกเปิดใช้งาน แต่ถ้าจะเปิดใช้งานคุณต้องเตรียมหมายเลขโทรศัพท์และ Apple ID ของคุณที่เชื่อมโยงกับบัญชีและบริการ FaceTime และ iMessage 

  1. เปิดใช้งาน FaceTime บน Mac
  • เปิดแอป FaceTime
  • หากเปิดแล้วอินเทอร์เฟซปกติปรากฏขึ้นแสดงว่าการใช้งานถูกเปิดแล้ว ถ้าไม่ให้ทำตามขั้นตอนด้านล่างเพื่อเปิดใช้งาน
  • ป้อนอีเมลของคุณที่เกี่ยวข้องกับ Apple ID หรือหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ
  • ป้อนรหัสผ่านหากจำเป็น
  • กดยอมรับ

Sponsor : https://hilo-88.net/

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

แนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า เครื่องอืด

ซัมซุง

หลายคนที่ใช้โทรศัพท์ซัมซุง อาจจะเคยประสบปัญหาเครื่องทำงานประมวลผลช้าลง หรือเครื่องอืดมาก ซึ่งโทรศัพท์ซัมซุงใช้ระบบปฏิบัติการ Android เมื่อใช้งานเป็นเวลานาน อาจจะมีปัญหาเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเว็บไซต์ หรือ แอปพลิเคชันต่างๆ ก็ทำงานช้า ไม่ลื่นปรื๊ดเหมือนต้องซื้อมาใหม่ๆ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า ที่จะทำให้โทรศัพท์ของคุณทำงานได้ลื่นขึ้นเหมือนตอนซื้อมาใหม่ๆ

แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser)ของ Google Chrome ที่ติดตั้งอยู่ให้ระบบมือถือ Android จะถูกติดตั้งมาจากโรงงานแทบทั้งสิ้น ซึ่งระบบการทำงานของเว็บเบราว์เซอร์ ต่างๆ จะทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ที่คุณเคยเข้าใช้งานหรือการเยี่ยมชมเว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการ บุ๊กมาร์ก (เพื่อเป็นทางลัดในการเก็บเว็บไซต์ที่คุณเข้าชมบ่อยๆ โดยครั้งหน้าจะเข้าเว็บไซต์นี้ ก็ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์หาอีก) หรือจะเป็นแท็บล่าสุด ประวัติการเข้าชม ดาวน์โหลด การตั้งค่าต่างๆ เป็นต้น 

โดยระบบการทำงานที่กล่าวมานี้ จะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมาก จึงกินพื้นที่เก็บข้อมูลหน่วยความจำของโทรศัพท์ ทำให้คุณมีพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลในการใช้งานที่เหลือน้อยลง ยิ่งถ้าหากโทรศัพท์มือถือของคุณถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งมีการเก็บข้อมูลจำนวนมากขึ้น ดังนั้นคุณต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้ให้หมดไป เพื่อที่จะได้เพิ่มพื้นที่ของหน่วยความจำของโทรศัพท์ให้กลับมาเหมือนเดิม อีกทั้งยังช่วยทำให้โทรศัพท์ทำงานหนักน้อยลง เอาล่ะค่ะ เมื่อคุณรู้ปัญหาหลักๆแล้ว และวิธีการแก้ไขพื้นฐานแล้ว มาดูวิธีที่เรานำมาแนะนำกันเลยค่ะ

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้า ให้เร็วแรง มีประสิทธิภาพที่ดีอยู่ตลอด

เมื่อคุณใช้โทรศัพท์มือถือไปเป็นเวลานาน อาจต้องเจอกับปัญหาโทรศัพท์ช้า อืด กระตุกไม่ลื่นไหล และต่อให้คุณใช้โทรศัพท์ซัมซุงรุ่นใหม่ ที่มีระบบประมวลผลที่รวดเร็ว จัดเต็มมาทุกฟังก์ชัน ถ้าหากขาดการดูแลที่เหมาะสมอาจทำให้ในอีกหลายปีข้างหน้าประสิทธิการทำงานลดลงอย่างเช่น เมมเต็ม เครื่องอืด และค้างได้ ซึ่งวันนี้เราก็มี 4 วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้าง่ายๆมาแนะนำทุกคน รับรองว่าโทรศัพท์ซัมซุงของคุณจะกลับมาลื่นปรื๊ดแน่นอนค่ะ จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย

  1. ล้างไวรัสด้วยแอปพลิเคชั่น

วิธีแรกนี้ถือเป็นวิธีขั้นพื้นฐานที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนต้องรู้ไว้ และนี้เป็นวิธีที่สามารถทำได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันนี้มีหลากหลายแอปให้โหลดผ่าน Playstore แต่หากคุณใช้ Samsung Galaxy S9 หรือ S9+ คุณไม่จำเป็นต้องโหลด เพราะโทรศัพท์ซัมซุงรุ่นนี้มีฟีเจอร์สำหรับสแกนไวรัสมัลแวร์ ด้วยวิธีเพียงไม่กี่ขั้นตอน โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปใหม่ เพียงเท่านี้โทรศัพท์ของคุณก็จะห่างไกลไวรัส และมัลแวร์

  1. ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น

หลายคนคงเคยประสบปัญหาเมมเต็ม เครื่องอืด ยิ่งบ่อยครั้งที่คุณใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ แล้ว ต้องเคยเจอกับปัญหาเหล่านี้ เนื่องจากคุณอาจไม่เคยลบ หรือเคลียพื้นที่แอปในเครื่อง ทำให้พื้นที่ความจำของโทรศัพท์โดนจำกัด ดังนั้นคุณควรเคลียไฟล์ หรือ แอปที่ไม่ได้ใช้งาน หรือเกมที่เลิกเล่นแล้วออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลของโทรศัพท์ให้เร็วแรง ทำงานได้เต็มที่อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ตลอด

  1. ลบประวัติการค้นหา google

วิธีนี้เป็นวิธีที่ใครหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทุกครั้งที่คุณทำการค้นหาข้อมูลบนแพลตฟอร์ม google ในโทรศัพท์ซัมซุง ระบบจะทำการเก็บข้อมูลไว้ใน History หรือการ log in เข้าเว็บต่างๆ จนก่อให้เกิดเป็นไฟล์ขยะในเครื่อง และอาจมีข้อมูลค้างอยู่ ทำให้กินพื้นที่ของเครื่องโดยไม่จำเป็น ซึ่งวิธีง่ายๆในการลบไฟล์ขยะและลบประวัติการค้นหานี้ สามารถทำเองได้ง่ายๆ ผ่านระบบในเครื่อง

  1. ล้างข้อมูลและเรียกคืนการตั้งค่าจากโรงงาน 

เมื่อคุณทำการล้างไวรัสและลบไฟล์ต่างๆแล้ว แต่โทรศัพท์มือถือยังคงค้างและประมวลผลช้าอยู่ ให้คุณลองใช้วิธีล้างข้อมูลและเรียกคืนการตั้งค่าจากโรงงาน เพื่อล้างแคช ลบขยะไฟล์ต่างๆ ที่ติดไวรัสอยู่ และไม่สามารถเอาออกได้ ด้วยวิธีดังนี้

  • สำรองข้อมูลโทรศัพท์ของคุณก่อนจากนั้นไปที่การตั้งค่า
  • แตะ “การจัดการทั่วไป” และเลือก “รีเซ็ต” 
  • กด “รีเซ็ตการตั้งค่า”

ซึ่งหลังจากล้างเครื่อง(รีเซ็ต)เสร็จ สมาร์ทโฟนของคุณก็จะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ หมดปัญหาเรื่องเครื่องช้าไปได้เลย 

วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงค้าง ปิดเครื่องไม่ได้

หากคุณลองใช้วิธีแก้ปัญหาโทรศัพท์ซัมซุงช้าแล้ว ทำให้โทรศัพท์เร็วขึ้น แต่หากโทรศัพท์ค้าง แล้วไม่สามารถทำอะไรได้ไม่ว่าจะเป็น กดที่หน้าจอไม่ได้ กดปุ่มปิดเครื่องค้างไว้ก็ไม่ทำงาน ทางเลือกสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำคือการเปิดฝากหลัง แล้วถอดก้อนแบตเตอรี่ออกมาจากตัวเครื่อง แล้วใส่ก้อนแบตเตอรี่เข้าไปใหม่ จากนั้นก็เปิดเครื่องใหม่ โดยมีวิธีการแก้ปัญหาดังนี้

  1. ในขณะที่หน้าจอยังติดอยู่ ให้คุณทำการ กดปุ่ม “Download Mode” ด้วยวิธี Volume Down+Home+Power พร้อมกันค้างไว้จนเครื่องสั่น ซึ่งโดยปกติแล้ววิธีนี้จะเอาไว้แฟลชรอมหรือรูทเครื่อง
  2. หลังจากเครื่องสั่นแล้ว บนหน้าจอจะขึ้นแจ้งว่าต้องการเข้า “Download Mode” หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ให้เรากดปุ่ม Volume Down หรือปุ่มลดเสียง เพื่อยกเลิกแล้วมือถือของคุณก็จะทำการรีสตาร์ทเครื่องอัตโนมัติ

ทางเข้า bet168

Categories
Featured แนะนำแอปฯ

paypal คืออะไรและทำงานอย่างไร

PayPal

ถ้าให้พูดถึงธุรกิจการชำระเงินผ่านมือถือที่มีมานานกว่าทศวรรษหลายคนคงนึกถึง PayPal ที่เปิดตัวในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โดยบริษัท Confinity ร่วมกับ X.com บริการนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจน eBay ตัดสินใจซื้อกิจการ PayPal ในปี 2545 ทำให้เป็นบริการโอนเงินอย่างเป็นทางการสำหรับเว็บไซต์ และในปี 2558 PayPal ได้แยกตัวออกจากการเป็น บริษัท อิสระ การค้าหุ้นของ บริษัท ในตลาด Nasdaq ภายใต้สัญลักษณ์ PYPL 

paypal คืออะไร? แน่นอนว่าเป็นบริการทางการเงินออนไลน์ที่ให้คุณชำระค่าสินค้าโดยใช้บัญชีอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัย เพียงแค่เพิ่มรายละเอียดบัญชีธนาคารบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต และเมื่อใดก็ตามที่คุณชำระเงินด้วย PayPal คุณสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บัตรหรือบัญชีใดของคุณที่จะจ่ายด้วย นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งค่าให้เป็นวิธีการชำระเงินเริ่มต้นและจะใช้วิธีนี้เว้นแต่คุณจะเลือกเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจากนี้คุณยังสามารถรับเงินผ่านบริการได้อีกด้วย เงินที่ได้รับจะอยู่ในบัญชี PayPal ของคุณและสามารถใช้เมื่อชำระเงินบางอย่างโดยเติมยอดเงินด้วยบัตรหรือบัญชีธนาคารที่คุณกำหนด 

หรือหากคุณต้องการโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารหรือบัตรที่คุณต้องการอาจมีค่าธรรมเนียมเมื่อคุณรับเงินเข้าบัญชี PayPal ของคุณ ตลาดเวลาที่ผ่านมา PayPal ได้เข้าซื้อ บริษัทอื่น ๆ ที่ให้บริการในส่วนต่างๆของธุรกรรมทางการเงินการโอนเงินดิจิทัลและตลาดการชำระเงิน โดยการซื้อกิจการเหล่านี้บางส่วนนำมาซึ่งการปรับปรุงเทคโนโลยีและคุณสมบัติเพิ่มเติมที่รวมอยู่ในแพลตฟอร์ม PayPal 

เมื่อรู้จักแล้วว่า PayPal คืออะไร เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามันทำงานอย่างไร

เมื่อคุณทราบและว่า PayPal คืออะไร ต่อมาเรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามันใช้ยังไง PayPal จะนำเสนอบริการและโซลูชั่นการชำระเงินสำหรับทั้งผู้บริโภคทั้งส่วนบุคคลและธุรกิจ บริษัทอนุญาตให้ผู้บริโภคส่วนบุคคลสามารถซื้อสินค้าชำระเงินและโอนเงินได้อย่างสะดวกสบาย โดยผู้ใช้ต้องมีที่อยู่อีเมลเพื่อลงทะเบียนบัญชีและต้องเพิ่มบัตรเครดิต บัตรเดบิตหรือบัญชีธนาคารเพื่อทำการตั้งค่าให้เสร็จสิ้น PayPal จะทำการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลที่ตั้งค่าบัญชีเป็นเจ้าของถูกต้องก่อนจึงจะสามารถใช้บริการได้

ผู้ที่มีบัญชี PayPal สามารถใช้เว็บไซต์ของ PayPal หรือแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อโอนเงินให้ผู้อื่นได้ โดยใช้ที่อยู่อีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับ ผู้ซื้อสามารถเลือกตัวเลือก PayPal เพื่อทำการสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ หากผู้ขายสินค้ามีบริการ การทำธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่นาทีและ PayPal จะสามารถโอนเงินหรือถอนไปยังบัญชีธนาคารได้ทันที

PayPal มีธุรกิจที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงพอร์ทัลการชำระเงินสำหรับการทำธุรกรรมทั้งแบบออนไลน์และแบบตัวต่อตัว โซลูชันการจัดการธุรกิจตลอดจนตัวเลือกสินเชื่อและการเงิน เจ้าของธุรกิจต้องระบุที่อยู่อีเมลเพื่อสร้างบัญชี PayPal ทำให้การซื้อสินค้าออนไลน์ปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเป็นการชำระเงินที่ไม่ต้องให้ผู้ชำระเงินหรือผู้รับเงินต้องเปิดเผยหมายเลขบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร ดังนั้นเงินจึงปลอดภัยความเป็นส่วนตัวได้รับการปกป้องและเนื่องจากฐานลูกค้ามีจำนวนมากการทำธุรกรรมจึงเร็วกว่าวิธีการแบบเดิม

ทำไมคุณต้องใช้ PayPal

หลังจากที่คุณได้รู้แล้วว่า PayPal คืออะไร และมันทำงานอย่างไร แล้วเจ้าบริการนี้ดีอย่างไรทำไมคุณถึงต้องใช้? ต้องกล่าวก่อนเลยว่าถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีระบบการชำระเงินออนไลน์มากมายเช่น Apple Payและ Google Pay แต่ PayPal มีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมบางประการที่หลายคนไม่อาจปฏิเสธได้ 

เริ่มต้นด้วยอายุการให้บริการที่เป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนาน แม้จะมาจากธุรกิจขนาดเล็กก็ตาม คุณจะพบตัวเลือกการชำระเงินด้วย PayPal ในเว็บไซต์หลายพันแห่ง อีกทั้งยังมีมาตรการคุ้มครองผู้ซื้อช่วยให้คุณได้รับเงินคืนหากสินค้าที่คุณซื้อทางออนไลน์ไม่มาถึงหรือไม่ตรงกับคำอธิบายของผู้ขาย

อีกเหตุผลหนึ่งในการใช้ PayPal คือการเพิ่มระดับความปลอดภัยในการชำระเงิน เนื่องจากคุณไม่ต้องป้อนรายละเอียดบัตรหรือหมายเลข CCV ทุกครั้งที่คุณซื้อสินค้า เพียงแค่เข้าสู่ระบบ PayPal และรหัสผ่านหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือและ PIN ทำให้ร้านค้าออนไลน์ไม่มีข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญของคุณในฐานข้อมูล

สำหรับประเทศไทย PayPal ประกาศจะเปิดตัวอีกครั้งใน ปี 2021 เพื่อส่งมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยบริษัทได้ระงับการลงทะเบียนลูกค้าใหม่ชั่วคราว แต่ลูกค้าเดิมในประเทศไทยยังคงสามารถใช้บริการ PayPal เพื่อซื้อสินค้าและชำระเงินออนไลน์ในร้านค้าหลายล้านแห่งได้ รวมทั้งรับชำระเงินอย่างง่ายดายและปลอดภัย

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
Featured วิธีดูแลรักษา

เตือน!!! อย่านำแบตบวม แช่ตู้เย็นเด็ดขาด

แบตบวม

แบตเตอรี่โทรศัพท์และแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กส่วนใหญ่เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อสร้างพลังงาน ซึ่งหากแบตประเภทนี้มีอายุการใช้งานมานาน อาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่สมบูรณ์แบบ ส่งผลให้เกิดก๊าซจำนานมากภายในแบตเตอรี่ ที่อาจทำให้เกิดการรั่วไหลจนบวมและเกิดการเผาไหม้ได้ โดยอาการบวมเป็นผลมาจากการที่อนุภาคก๊าซเข้าไปจับชั้นอยู่ภายในของแบตเตอรี่ จนในที่สุดก็เจาะพังผืดที่แยกชั้นออกมา จับความชื้นในอากาศ จะทำให้เกิดปฏิกิริยากับเซลล์ทำให้แบตบวม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการระเบิดขึ้นได้

เมื่อคุณทราบแล้วว่าแบตเตอรี่อุปกรณ์ของคุณมีอาการบวม วิธีแก้ไขเบื้องต้น คือ ปิดเครื่อง ห้ามชาร์จไฟ เพราะกระแสไฟที่ชาร์จจะถ่ายโอนไปที่ก้อนแบตที่มีสภาพการใช้งานไม่เต็มร้อย อาจส่งผลให้ตัวเครื่องมีความเสี่ยงสูงจนเกิดอาการไหม้ หรือระเบิดเลยก็ได้ และควรนำเครื่องไปเปลี่ยนแบตใหม่ โดยให้เลือกเปลี่ยนจากศูนย์บริการที่ผ่านการรับรองจาก มอก. และอีกหนึ่งความเชื่อที่ไม่ควรทำคือ ไม่ควรนำแบตบวม แช่ตู้เย็น เพื่อยืดอายุการใช้งานเด็ดขาด เพราะมันเป็นวิธีการที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งวันนี้เราก็มีอันตรายจากการนำแบตบวมไปแช่ตู้เย็นและวิธีการปฏิบัติหากเกิดแบตบวม จะเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

อันตรายจากการนำแบตบวม แช่ตู้เย็น

หากแบตเตอรี่อุปกรณ์ของคุณมีอาการแบตบวม ควรนำแบตไปเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรนำแบตบวม แช่ตู้เย็นเด็ดขาด และไม่ควรเจาะแบตบวม เพื่อให้หายบวม เพราะเสี่ยงจะทำให้เกิดอันตรายได้ แล้วการนำแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กที่เสื่อมคุณภาพไปแช่เย็น จะทำให้นำกลับมาใช้ได้หรือไม่? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่แบบรีชาร์จ ที่ใช้กับโน้ตบุ๊ก หรือแบตเตอรี่ปกติทั่วไป หากนำไปแช่เย็น มันจะขยายตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดการระเบิด หรือชิ้นส่วนที่อยู่ภายในแบตเสียหาย ที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการลุกไหม้ได้ บางเหตุการณ์ถึงขั้นไฟไหม้บ้านเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม คุณสามารถนำแบตเตอรี่สำรองไปเก็บไว้ในตู้เย็นได้ แต่ต้องไม่ใช่ช่องแช่แข็ง การนำแบตเตอรี่สำรองไปแช่ตู้เย็นไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม แต่มันเป็นการช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานได้นานขึ้น เพราะความร้อนเป็นศัตรูตัวฉกาจของแบตเตอรี่ ดังนั้น การลดความร้อนจึงเป็นการยืดอายุของแบตเตอรี่ไปโดยปริยาย 

หากแบตเตอรี่โทรศัพท์บวมควรปฏิบัติอย่างไร?

เมื่อคุณทราบแล้วว่าไม่ควรนำแบตบวม แช่ตู้เย็น ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมวิธีการปฏิบัติหากอุปกรณ์ของคุณเกิดอาการแบตบวม และมีลักษณะดันจอ ควรปฏิบัติดังนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่นการระเบิดและเผาไหม้

  1. อย่าชาร์จหรือใช้แบตเตอรี่บวม

เมื่อคุณสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่บวมหรือมีโอกาสเกิดอันตรายใด คุณควรหยุดใช้อุปกรณ์นั้นทันที เมื่อแบตเตอรี่ถึงจุดเสียหายจนแบตเตอรี่บวม นี่ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนว่ากลไกความปลอดภัยทั้งหมดในแบตเตอรี่ออฟไลน์ การชาร์จแบตเตอรี่ที่บวมเป็นการขอให้มันกลายเป็นลูกบอลระเบิดจากก๊าซไวไฟที่เป็นพิษ

  1. ถอดแบตเตอรี่ออก

เมื่อพูดถึงการถอดแบตเตอรี่มีกฎที่สำคัญอย่างหนึ่งคืออย่าทำให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้นโดยการบีบอัด เพราะจะทำให้เกิดปัญหาหรือทำลายปลอกด้านนอกของแบตเตอรี่ หรือหากคุณเจาะแบตเตอรี่ที่บวมอาจก่อให้เกิดสิ่งการระเบิดเนื่องจากสารประกอบภายในจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและความชื้นในอากาศ

หากอุปกรณ์ของคุณสามารถเปิดเคสหรือแผงอุปกรณ์ เพื่อถอดแบตเตอรี่ออกได้อย่างง่ายดาย การทำเช่นนี้ถือเป็นประโยชน์สูงสุด เพราะจะป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่ที่ขยายออกไป ทำอุปกรณ์ภายในเสียหายและจะป้องกันไม่ให้ ขอบคมภายในช่องใส่แบตเตอรี่ทะลุชั้นป้องกันรอบ ๆ แบตเตอรี่

เมื่อคุณถอดแบตเตอรี่ออกแล้วคุณควรทำ 2 อย่างทันที ขั้นแรก คือให้หุ้มหน้าสัมผัสของแบตเตอรี่ (หากมีการสัมผัส) ด้วยเทปไฟฟ้า ขั้นที่ 2 คือเก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่แห้งและเย็นห่างจากสิ่งไวไฟจนกว่าคุณจะสามารถนำมันไปยังสถานที่กำจัดได้อย่างปลอดภัย

หากอุปกรณ์ของคุณไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ออกได้อย่างง่ายดาย คุณควรนำอุปกรณ์ไปยังสถานบริการร้านแบตเตอรี่เฉพาะทาง หรือผู้รีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ได้รับอนุญาต ควรหาคนที่มีเครื่องมือ / ทักษะเพื่อช่วยเปิดอุปกรณ์ของคุณและถอดแบตเตอรี่ที่เสียหายออก

แม้ว่าคุณจะไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง ควรนำอุปกรณ์ทั้งเครื่องไปเก็บไว้ในที่แห้งและเย็นเพื่อลดการเสื่อมสภาพของเซลล์แบตเตอรี่และเก็บให้ห่างจากสิ่งที่ติดไฟได้

  1. ทิ้งแบตเตอรี่ที่ศูนย์รีไซเคิลที่ได้รับอนุญาต

ไม่ว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือจะได้รับความเสียหายหรือไม่ ก็ไม่ควรทิ้งเหมือนขยะทั่วไป เพราะแบตเตอรี่ไม่ใช่แค่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม แต่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนใหม่เอี่ยมก็ยังเป็นอันตรายจากไฟไหม้หากมีการเจาะหรือลัดวงจรในถังขยะหรือรถบรรทุกขยะ

แทงบอลไม่มีขั้นต่ํา

Categories
Featured News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

วิธีตั้งค่าและวิธีใช้ Apple Pay สะดวกใช้งานง่าย ลดการสัมผัสโดยตรง

Apple Pay

Apple มีรายการอุปกรณ์ทั้งหมดที่สามารถใช้ได้กับ Apple Pay เริ่มตั้งแต่ iPhone ที่เปิดตัวในปี 2007 จนถึงรุ่นสุด ในช่วงเวลาที่ร้านค้าต่างๆ กระตุ้นให้ลูกค้าใช้วิธีการชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส Apple Pay ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่ไม่ได้สะดวกเพียงอย่างเดียว แต่กลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะมันทำให้คุณซื้อของได้เพียงแค่วางอุปกรณ์ที่เข้ากันได้ใกล้กับจุดขายโดยไม่ต้องควานหาเงินสดหรือบัตรเครดิต 

นับตั้งแต่เปิดตัว Apple Pay ในปี 2014 ถือเป็นตัวช่วยเสริมที่น่ายินดีสำหรับ iPhone และตอนนี้ใช้งานได้กับ Apple Watch, Mac และ iPad อีกด้วย Apple กล่าวว่า Apple Pay ใช้งานได้ทั้งบัตรเดบิตและบัตรเครดิตส่วนใหญ่จากธนาคารชั้นนำ คุณสามารถใช้มันชำระค่าสินค้าที่ร้านค้าที่มีหน้าร้านที่แสดงโลโก้ Apple Pay เพื่อชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส

วิธีตั้งค่าเปิดใช้งาน Apple Pay

ก่อนที่คุณจะเริ่มตั้งค่า Apple Pay คุณจะต้องมีบัตรเครดิตจากธนาคารที่รองรับได้โดย Apple มีหน้าที่จัดทำขึ้นเพื่อแจ้งให้คุณทราบว่ารับบัตรเครดิตใดบ้างที่ใช้ได้ โดยขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณอาศัยอยู่ ซึ่งคาดว่า Apple Pay อาจเปิดตัวในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ หลังพบคู่มือการใช้งานภาษาไทยบนเว็บไซต์

นอกจากนี้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้ iOS รุ่นล่าสุด และคุณจะต้องมี Apple ID ที่ลงชื่อเข้าใช้ iCould ด้วย หากคุณกำลังจะใช้ Apple จ่ายในอุปกรณ์ต่าง ๆ คุณจะต้องเพิ่มบัตรเครดิตลงในทุกอุปกรณ์ที่คุณใช้งาน เมื่อคุณมีทุกอย่างแล้วคุณก็ถึงเวลาที่จะต้องไปที่การตั้งค่าอุปกรณ์เพื่อเพิ่มบัตรเครดิต ซึ่งเป็นบัตรเครดิตที่ใช้งานร่วมกันได้ที่คุณอาจเพิ่มลงในบัญชี iTunes & App Store ของคุณและจะได้รับการแนะนำโดยอัตโนมัติ 

หากคุณใช้ iPhone และiPad มีวิธีตั้งค่าเปิดใช้งาน Apple Pay ต่อไปนี้ : 

  1. เปิดแอป Wallet บน iPhone ของคุณ
  2. แตะปุ่มบวกที่มุมขวาบนของหน้าจอ
  3. คุณจะได้รับแจ้งให้ทั้งป้อนข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
  4. คุณจะเข้าสู่หน้าจอเพื่อเพิ่มบัตรเครดิต หากคุณมีบัตรเครดิตในไฟล์จากการสำรองข้อมูล iPhone ก่อนหน้านี้คุณจะสามารถเพิ่มบัตรเครดิตเหล่านั้นได้โดยป้อน CVC คุณยังสามารถเพิ่มบัตรอื่นหรือบัตรใหม่ทั้งหมดได้หากนี่เป็นครั้งแรกที่คุณใช้ Apple Pay
  5. แอป Wallet จะแจ้งให้คุณเพิ่มบัตรเครดิตในกรอบของโปรแกรมค้นหามุมมองเพื่อให้สามารถสแกนในหมายเลขบัตรเครดิตของคุณได้ คุณยังสามารถป้อนหมายเลขบัตรเครดิตข้อมูลการหมดอายุและ CRV ด้วยตนเองได้
  6.  Apple จะยืนยันข้อมูลทั้งหมดนี้กับผู้ออกบัตรของคุณและหากทุกอย่างเรียบร้อยบัตรจะถูกเพิ่มใน Apple Wallet คุณจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อบัตรเครดิตหรือเดบิตของคุณพร้อมใช้งานผ่าน Apple Pay

วิธีใช้งาน Apple Pay

คุณสามารถใช้ Apple Pay ได้หลายวิธีรวมถึงในแอปบนหน้าเว็บและนั่งรถไฟและรถไฟใต้ดิน (ใช้ได้ประเทศที่รองรับเท่านั้น) แต่วิธีที่ใช้บ่อยที่สุดในการใช้ Apple Pay คือในร้านค้า ณ จุดซื้อขายแทนการรูดเครดิตหรือจัดการแทนเงินสด วิธีใช้ Apple Pay ในร้านค้าเพื่อชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัสกันโดยตรงจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ iPhone ที่คุณใช้ สำหรับวิธีที่เรานำมาฝากใช้ iPhone X หรือรุ่นใหม่กว่านี้ได้

วิธีใช้ Apple Pay ในร้านค้า

  1. กดปุ่มด้านข้างขวาของ iPhone สองครั้ง
  2. วิธีการเริ่มต้นชำระเงิน
  • มอง iPhone ของคุณหากคุณตั้งค่า Face ID เลือกบัตรเครดิตเริ่มต้นของคุณ แล้ววาง iPhone ของคุณไว้ใกล้กับเครื่องอ่านชำระเงิน
  • การชำระเงินด้วย Touch ID ให้กดนิ้วของคุณบน Touch ID เพื่อเลือกบัตรเครดิตเริ่มต้นของคุณ แล้ววาง iPhone ของคุณไว้ใกล้กับเครื่องอ่านชำระเงิน
  1. เมื่อการชำระเงินของคุณเสร็จสมบูรณ์คุณเห็นคำว่าเสร็จสิ้น

สุดท้ายแล้วตอนนี้คุณรู้แล้วว่า Apple Pay ทำงานอย่างไรแต่น่าเสียที่ Thailand เรายังไม่สามารถใช้ได้ แต่คาดว่าบริการจ่ายเงินผ่านมือถือจาก Apple นี้จะเปิดให้ใช้ในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ เพราะมันจะสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานอย่างแท้จริง เนื่องจากไม่ต้องพกบัตรเครดิต / เดบิต ให้กระเป๋าตังค์หนากันอีกต่อไป มีแค่มือถือเครื่องเดียวก็ช้อปได้สบายเลยค่ะ แต่ก็ต้องรอติดตามต่อไป แต่สำหรับใครที่จะเดินทางไปต่างประเทศ หรือกำลังอาศัยอยู่ต่างประเทศ Apple Pay จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้คุณแน่นอนค่ะ

sa game

Categories
Featured News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

แนะนำ YouTube Music และ Google Play Music บริการสตรีมมิ่งเพลงจาก Google

YouTube Music และ Google Play Music

Google มีบริการสตรีมมิ่งเพลงหลายอย่างซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแบรนด์และเปลี่ยนแปลงรูปแบบหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง Google Play Music และYouTube Music ก็เป็นอีกบริการสตรีมมิ่งจาก Google ที่ได้รับความนิยมทั้งคู่

โดยสมาชิกในบริการสตรีมเพลงของ Google กว่า 15 ล้านถือว่าเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มาจากบริการ YouTube Music และ Google Play Music ซึ่งไม่สามารถระบุจำนวนสมาชิกที่แน่ชัดได้ โดย Google กำลังวางแผนที่จะนำเสนอ การสมัครรับบริการ ที่จะรวมข้อเสนอทั้งสองบริการนี้เข้าไว้ด้วยกันอีกด้วย 

ทำความรู้จัก YouTube Music และ Google Play Music แอปบริการสตรีมมิ่งเพลงยอดฮิตจาก Google

ปัจจุบัน Google มีบริการเกี่ยวกับบริการสตรีมมิ่งเพลงมากมาย โดยบริการครั้งแรกที่เก่าแก่ที่สุดคือ Google Play Music ที่ช่วยให้คุณสามารถอัปโหลดเพลงหรือชำระค่าสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงเพลงมากกว่า 40 ล้านเพลง 

จากนั้นก็มี YouTube กับ YouTube Music ที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหาวิดีโอเพลงนับล้านเพลงและสามารถฟังเพลงแบบไม่โฆษณามาคั่นกลางได้ด้วย YouTube Music Premium แต่ถ้าคุณสนใจฟังและดูวีดีโอมากกว่าเราขอแนะนำ YouTube Premium ที่จะช่วยทำให้คุณได้ดูวีดีโอและฟังเสียงได้อย่างเต็มที่ไม่มีสะดุด โดยค่าสมาชิกเดือนแรกจะฟรี แล้วหลังจากหมดเดือนแรกคุณต้องชำระค่าบริการซึ่ง YouTube Music Premium 129 บาทต่อเดือน และYouTube Premium 159บาทต่อเดือน

ซึ่งในปัจจุบันผู้ใช้บริการส่วนใหญ่หันมาใช้บริการ YouTube มากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ Google วางแผนที่จะรวม YouTube Music และ Google Play Music เข้าไว้ด้วยกันอีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบแอปทั้ง2 แล้วพบว่าสาเหตุใหญ่ๆที่ผู้ใช้ติดกับ Google Play Music ก็คือ เป็นบริการที่ช่วยให้คุณสามารถอัปโหลดไฟล์เพลงของคุณเองไปยังแอปได้ ในขณะที่ YouTube Music ทำไม่ได้ แต่ในปัจจุบันสิ่งนี้จะเปลี่ยนไปเมื่อ YouTube Music ได้เปิดตัวฟีเจอร์อัปโหลดเพลง และยังสามารถเพิ่มแทร็กส่วนตัวได้ถึง 100,000 แทร็กในคลังของคุณ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 50,000 เพลงเมื่อเทียบกับ Google Play Music นี่ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า Google Play Music ถึงช่วงที่ต้องบอกลาโลกนี้ในอีกไม่นานแล้ว

Google Play Music ประกาศปิดตัว ก่อนถ่ายโอนเนื้อหาไปที่ YouTube Music

ในที่สุด Google ก็ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการจากไปของแอป Google Play Music และถ่ายโอนเนื้อหาไปที่แอป YouTube Music โดยในปี 2560 Google กล่าวว่าในที่สุดจะรวม Google Play Music เข้ากับบริการสตรีมมิ่งเพลงของ YouTube หรือที่เรียกว่า YouTube Red การย้ายครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนเกี่ยวกับการสตรีมเพลงของ Google แต่ต้องใช้เวลาเกือบสามปีกว่าจะเป็นจริง YouTube Red เป็นสตรีมมิ่งแบบเสียเงินของทาง YouTube ค่ะ

Google Play Music จะปิดตัวภายในปี 2020 โดย Google กล่าวในการโพสต์บล็อกว่า “เราต้องการให้ทุกคนมีเวลาถ่ายโอนเนื้อหาและคุ้นเคยกับ YouTube Music ดังนั้นเราจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนที่ผู้ใช้จะไม่สามารถเข้าถึง Google Play Music ได้อีกต่อไปในปีนี้”

บริษัท กล่าวว่าได้สร้างวิธีที่ “ง่ายดาย” สำหรับผู้ใช้ในการถ่ายโอนไลบรารีเพลงและเพลย์ลิสต์ไปยัง YouTube Music ตอนนี้คุณสามารถดาวน์โหลดแอป YouTube Music บนโทรศัพท์และคลิกปุ่มโอนภายในอินเทอร์เฟซ จากนั้นแอปจะอัปโหลดสินค้าที่คุณซื้อและอัลบั้มเพลย์ลิสต์ รวมถึงการตั้งค่าทั้งหมดของคุณในโปรไฟล์ Google Play Music 

Google กล่าวว่ากระบวนการนี้อาจใช้เวลาไม่กี่วินาทีหรือ2-3วัน แต่เมื่อเสร็จแล้วคำแนะนำเพลงของคุณจะปรากฏในแอป YouTube Music โดยผู้ใช้ Google Play Music ทุกคนจะได้รับอีเมลพร้อมคำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีเริ่มถ่ายโอนประวัติและเนื้อหา Google Play Music แบบเต็มรูปแบบตลอดจนพอดแคสต์ไปยังบ้านหลังใหม่ ซึ่งรวมถึงข้อมูลการเรียกเก็บเงิน “สมาชิก Google Play Music Unlimited จะได้รับสิทธิ์ระดับเทียบเท่ากับของ YouTube Music Premium หรือ YouTube Premium โดยอัตโนมัติตามระดับสิทธิของการสมัครสมาชิกปัจจุบันในราคาเดียวกัน” Google กล่าว

สำหรับพอดแคสต์ บริษัทต้องการให้ผู้ใช้ทดลอง ใช้แอปGoogle Podcasts ซึ่งคุณสามารถใช้นันเพื่อโอนการสมัครรับข้อมูลพอดคาสต์ของคุณผ่านทางหน้าเว็บนี้ได้ ในวันที่ประกาศ บริษัท Google ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้ยาก แต่ Google กล่าวต่ออีกว่า YouTube Music มีคุณลักษณะขั้นสูงบางอย่างที่เหนือกว่าบริการเก่า เช่นเพลย์ลิสต์แบบขยายและคุณลักษณะการค้นหาอัจฉริยะซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณค้นหาเพลงใหม่ในไลบรารีระบบคลาวด์ของ YouTube ได้อย่างง่ายดาย

บาคาร่า

HILO-88.COM
HILO-88.COM