สอนใช้ มือถือ คอมพิวเตอร์ สอนสร้างเว็บ
Categories
Featured News สอนใช้ แนะนำแอปฯ

แนะนำแท็บเล็ตแห่งปี 2020 เหมาะสำหรับเด็ก สร้างความบันเทิงให้กับลูก ๆ ของคุณ

แนะนำแท็บเล็ตแห่งปี 2020

ผู้ปกครองทุกคนคงทราบดีว่าแท็บเล็ต เป็นสื่อการเรียนการสอนแทนตัวหนังสือ เพราะง่ายต่อการเรียนรู้ของเด็กและสร้างความบันเทิงให้ลูก ๆ ของคุณ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคุณจะเห็นว่าแท็บเล็ตที่วางขายในท้องตลาดนั้นมีจำนวนมากมายหลากหลายแบรนด์ให้เลือกซื้อ โดยแต่ละแบรนด์ก็มีดีไซน์และประสิทธิภาพการใช้งานที่แตกต่างกันไป

 ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้คุณสามารถเปรียบเทียบแต่ละแบรนด์ได้ เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อ แต่ก็กลายเป็นปัญหาหนักใจให้คุณเหมือนกันเพราะแต่ละแบรนด์ต่างก็มีจุดเด่นที่ต่างกันทำให้คุณไม่ทราบว่าควรเลือกซื้อแท็บเล็ตแบบไหนดีที่จะเหมาะกับลูกของคุณ และวันนี้เราก็มีแท็บเล็ตแห่งปี 2020 ที่เหมาะสำหรับเด็กมาแนะนำทุกคน เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อแท็บเล็ต

แท็บเล็ตที่ดีที่สุดและเหมาะสำหรับเด็ก 

แท็บเล็ต” ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่กำลังเรียนรู้และกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาใช้งานแท็บเล็ต เพื่อการเรียนรู้ทางออนไลน์ และสร้างความบันเทิง ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีสำหรับยุคสมัยที่รวมทุกอย่างไว้ในอินเตอร์เน็ต ส่วนข้อดีที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การพกพาที่ง่ายกว่าโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์นั่นเอง แถมแท็บเล็ตบางรุ่นก็สามารถโทรได้ เหมือนโทรศัพท์อีกด้วยจะมีแท็บเล็ตรุ่นไหน แบรนด์ไหมบ้างที่แหมาะสำหรับลูกของคุณไปติดตามกันเลย

1. Apple iPad 10.2

เป็นอีกหนึ่ง แท็บเล็ต ที่เหมาะสำหรับเด็กโตหรือวัยรุ่นที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ความบันเทิงไปจนถึงการเรียนรู้ทางออนไลน์ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีและมีหน้าจอขนาดใหญ่ iPad 10.2 ค่อนข้างคุ้มค่าตามมาตรฐานของ Apple มีขนาดหน้าจอ 10.2 นิ้ว ระบบปฏิบัติการ iOS แถมยังมีส่วนลดสำหรับนักเรียนด้วย โดยราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 10,900 บาท

2. iPad Mini

iPad Mini ของ Apple เปิดตัวในปี 2019 เป็นแท็บเล็ตแบบพกพาที่ดีที่สุด โดยมีขนาดหน้าจอ 7.9 นิ้ว ฟอร์มแฟคเตอร์ที่เล็กกว่า iPad 10.2 ทำให้เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับมือเด็ก แต่มีราคาที่สูงกว่า ระบบปฏิบัติการ iOS เหมาะสำหรับเด็กโตพกพาไปโรงเรียน แถมยังมีส่วนลดสำหรับนักเรียนด้วย โดยราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 13,900บาท

3. Apple iPad 9.7 

iPad 9.7 เป็นแท็บเล็ตรุ่นคลาสสิกจาก Apple ถือเป็น iPad ที่ราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับคุณสมบัติการใช้งาน ขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้ว เข้ากันได้ดีกับปากกา Stylus สำหรับวาด, เขียน, ระบาย และรีทัชรูปภาพ ระบบปฏิบัติการ iOS มีน้ำหนักเบาและพกพาง่าย ด้วยความที่รุ่นนี้มีและหน้าจอขนาดใหญ่ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกอย่างตั้งแต่แอพไปจนถึงสตรีมมิ่ง นอกจากนี้ยังทนทานต่อการกระแทกและมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 10+ ชั่วโมง โดยมีราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 11,500 บาท 

4. Lenovo Tab 4 10

Lenovo Tab 4 10 เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้แท็บเล็ตหน้าจอขนาดใหญ่ ด้วยระบบบัญชีที่เป็นมิตรกับเด็กโดยเฉพาะที่ตกแต่งแท็บเล็ตด้วยอินเทอร์เฟซที่มีสีสันและใช้งานง่ายมากขึ้นและเคสเฉพาะที่มีจำหน่ายด้วย ทำให้แท็บเล็ตรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับเด็กๆ ซึ่งมีขนาดหน่วยความจำ 32GB อาจไม่มากเกินไป แต่มีช่องเสียบการ์ด Micro SD ทำให้คุณสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้ ระบบปฏิบัติการ Android โดยมีราคาเริ่มต้นที่อยู่ที่ 7,499 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ถูกที่สุดในบรรดาแท็บเล็ตที่เรานำมาแนะนำ

5. Huawei MediaPad M6 Turbo 8.4

ยุคนี้ของดีจากจีนมีหลากหลายอย่าง Huawei ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สร้างภาพลักษณ์ที่น่าสนใจจนได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติที่ราคาถูก อึด และทน แถมถ่ายรูปสวย ซึ่งแท็บเล็ตรุ่น MediaPad M6 Turbo 8.4 โดยมีจุดเด่นอยู่ที่มาตรฐานของระบบเสียงชื่อดัง Harman Kardon และเทคโนโลยี Huawei Histen ที่ให้พลังเสียง Hi-Res ที่ช่วยตอบโจทย์ด้วยความบันเทิง นอกจากนี้การชาร์จแบตเตอรี่ยังรวดเร็ว ส่วนไฮไลท์สำคัญคือมีท่อระบายความร้อนกับฟีเจอร์ GPU Turbo เพิ่มความสนุกในการเล่นเกมได้ต่อเนื่อง ซึ่งแท็ตเล็ตตัวนี้จะเน้นไปในเรื่องสื่อบันเทิง ที่จะตอบโจทย์สำหรับเด็กๆ ในการดูหนังฟังเพลง เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงระบบที่รองรับกับเกมอีกด้วย

บาคาร่า

Categories
Featured News สอนใช้

นักวิเคราะห์กล่าว iPhone 12 มีความเป็นที่นิยมมากกว่า iPhone 11

iPhone 12 มีความเป็นที่นิยมมากกว่า iPhone 11

Wave7 ได้ทำการสำรวจร้านค้าผู้ให้บริการในสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับ iPhone 12 ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งลดราคา iPhone 11 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ลงด้วย ซึ่งอาจทำให้ใครหลายคนลังเลว่าควรจะซื้อ iPhone 12 นี้เลยหรือจะซื้อ iPhone 11 ใช้ไปก่อนเพื่อรอ iPhone รุ่นใหม่ที่น่าสนใจกว่านี้ แต่เมื่อเอาสเปคมาเทียบ iPhone 12 มีการอัพเกรดจาก iPhone 11 ในส่วนของหน้าจอที่ดีขึ้นและวัสดุที่ทนทานขึ้น นอกเหนือจากนั้นเป็นการอัพเกรดซอร์ฟแวร์มากกว่า ดังนั้นเราจึงได้นำเอาข้อมูลที่นักวิเคราะห์ได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับ iPhone 12 ที่มีความเป็นที่นิยมมากกว่า iPhone 11 มาฝากทุกคนซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของใครหลายๆคนก็ได้ค่ะ

ทำไม iPhone 12 ถึงได้รับความนิยมมากกว่า iPhone 11 

Wave7 ได้ทำการสำรวจร้านค้าตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาพบว่า 81% ของร้านค้าที่สำรวจบอกว่า 5G เป็น “ปัจจัยหลัก” ในการขายช่วงแรกที่ iPhone 12 ได้วางขาย Wave7 ทำรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับร้านค้าผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายของสหรัฐอเมริกา จากการศึกษาล่าสุดพบว่า 62% ของร้านค้าตัวแทนกล่าวว่าความสนใจในรุ่น iPhone 12 นั้นกระแสดีกว่าความสนใจของรุ่น iPhone 11 เมื่อปีที่แล้วอีก 43% กล่าวว่ายอดขาย iPhone 12 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการเปิดตัว iPhone 11 ในปี 2019 และมีเพียง 30% เท่านั้นที่บอกว่ายอดขายในช่วงต้นลดลงเมื่อเทียบกับปี 2019 การศึกษาครั้งนี้ได้เสร็จสิ้นเมื่อปลายเดือนตุลาคม อีกทั้ง iPhone 12 ยังมีราคาที่ถูกกว่า iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จึงทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้น

การเปิดตัวครั้งนี้ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Apple เพิ่มขึ้นถึง 6 เปอร์เซ็นต์ที่ Verizon ยกตัวอย่างเช่น Verizon 27% ของโทรศัพท์ที่รายงานว่าขายในเดือนตุลาคมเป็นรุ่น iPhone 12 ในขณะที่มีเพียง 11% เท่านั้นที่เป็น iPhone 12 Pro Jeff Moore Principal ของ Wave7 ทวีตว่า “เป็นเรื่องยากที่จะหารุ่น iPhone 12 Pro ในสต็อกของเดือนตุลาคม”

5G ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้คนสนใจ iPhone 12 มากขึ้น

ผลการสำรวจที่น่าตกใจที่สุดสำหรับการสำรวจครั้งนี้คือจำนวนผู้ซื้อ iPhone 12 ต่างก็สนใจเครือข่ายไร้สาย 5G ซึ่งตามที่รายงานพบว่า 5G ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับผู้ซื้อ iPhone มากนักเพราะส่วนใหญ่ 5G ของ Verizon และ AT&T ที่มีอยู่ทั่วประเทศมักจะมีผลลัพธ์ที่ช้ากว่าเครือข่าย 4G Verizon โดย 5G คือใช้ได้เฉพาะกับคนไม่กี่ล้านคนของอเมริกัน ในขณะที่ 5G ระดับกลางของ T-Mobile ที่มีการปรับปรุงการเชื่อมต่อและมีการครอบคลุมมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศมากเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อผู้ซื้อ iPhone โดยร้านค้าตัวแทนประมาณ 85% ของ Verizon และ T-Mobile กล่าวว่าการรวม 5G เป็นปัจจัยสำคัญในการขาย iPhone 12 

ทำไม iPhone 12 ถึงได้รับความนิยมมากกว่า iPhone 11 ทั้งๆที่มีราคาที่แพงกว่า

จากการเปรียบเทียบสเปค iPhone 12 มีการอัพเกรดจาก iPhone 11 ในส่วนของหน้าจอ iPhone 12 สามารถแสดงผลความละเอียดได้สูงกว่าและมีความคมชัดกว่า นอกจากนี้ด้วยความที่เป็นจอ OLED ทำให้สามารถทำความสว่างได้สูงกว่าอีกด้วย ส่งผลให้สามารถมองมือถือกลางแจ้งได้ดียิ่งขึ้น และใช้วัสดุอะลูมิเนียมกับCeramic Shield ที่เพิ่มทนทานขึ้น

อีกทั้ง iPhone 12 รองรับเครือข่าย 5G มีชิปประมวลผล A14 Bionic ที่เหนือกว่า แต่หากคุณเป็นคนที่อยากได้ไอโฟนราคาไม่แรงมาก ไม่ได้ใช้งานหนัก ๆ รวมถึงไม่ได้ใส่ใจ 5G มากนัก iPhone 11 ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะถึงแม้จะเป็นรุ่นเก่าแต่ชิป Apple A13 Bionic ก็แรงสุด ๆ อยู่ดี อีกทั้งกล้องที่มีก็ไม่ได้ต่างไปจาก iPhone 12 มากนัก

แต่สำหรับใครที่อยากได้ของใหม่จริง ๆ อยากได้เล่นฟีเจอร์ใหม่ ๆ ต้องการใช้ 5G iPhone 12 ถือเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณอยากใช้ของใหม่แต่ก็อยากประหยัดเงินอีกนิดเราขอแนะนำ iPhone 12 mini เพราะสเปคภายในทุกอย่างเหมือนกันหมด ต่างกันที่ขนาดหน้าจอและขนาดตัวเครื่องเท่านั้น

ในส่วนของเรื่องราคาถึงแม้ iPhone 12 จะที่ราคาในไทยเริ่มต้นที่ 29,900 บาท ซึ่งสูงกว่า iPhone 11 แต่ iPhone 12 ทุกรุ่นก็ยังได้รับความนิยมมากกว่า โดยปัจจัยหลักมาจากการที่เป็น iPhone เครื่องแรกที่ใช้สัญญาณเครือข่าย 5G นอกจากนี้ยังมีสเปคที่มีประสิทธิภาพมากกว่า วัสดุที่ใช้ในการผลิตมีความคงทนสูง อีกทั้งมีการดีไซน์ที่คล้ายกับ iPhone 4 แต่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้ผู้บริโภคจึงยินดีที่จะเสียเงินซื้อของที่แพง เพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า

สมัครบาคาร่า

Categories
สอนใช้

วิธีใช้งาน FaceTime แบบกลุ่มบน iPhone และ Mac ง่ายๆไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด

วิธีใช้งาน FaceTime แบบกลุ่ม

   การใช้งาน FaceTime แบบกลุ่มบน  iPhone และ Mac ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพราะด้วยคุณลักษณะที่พบใน iPhone, iPad, iPod Touch และ Mac นั้นมีประโยชน์ เนื่องจากช่วยทำให้คุณสามารถสนทนาทางวิดีโอกับผู้ใช้รายอื่นด้วยอุปกรณ์ประเภทเดียวกันได้

   FaceTime แบบกลุ่มมีประโยชน์มากในตอนนี้เพราะเนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 ทำให้หลายคนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น Group FaceTime จึงเป็นช่องทางในการติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว หรือการประชุมงานที่ดีที่สุด ซึ่งการ FaceTime แบบกลุ่มสามารถรองรับได้ถึง 32 คน ดังนั้นคุณจึงสามารถแชทกับเพื่อนทั้งกลุ่มหรือญาติผู้ใหญ่ได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปหากันถึงที่ก็ได้

   มีรายงานเผยว่าก่อนคุณจะใช้ฟีเจอร์ FaceTime แบบกลุ่มให้ตรวจสอบว่าเวอร์ชันระบบปฏิบัติการของคุณล่าสุดเพียงพอที่จะรองรับหรือไม่ซึ่งบน iPhone เวอร์ชันที่ใช้งานได้คือ iOS 12.1.4 หรือเวอร์ชันที่ใหม่กว่านี้ และบน Macs จะเป็น MacOS 10.14.3 หรือเวอร์ชันที่ใหม่กว่า ระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าบางระบบจะให้ได้แค่เสียง FaceTime เท่านั้น

   ในการตรวจสอบเวอร์ชันระบบปฏิบัติการของคุณบน iPhone หรือ iPad ให้ไปที่การตั้งค่าจากนั้นเลือกทั่วไป ต่อด้วยเกี่ยวกับ ส่วนบน Mac ให้คลิกที่โลโก้ Apple ที่ด้านซ้ายบนของหน้าจอแล้วคลิกเกี่ยวกับ Mac เครื่องนี้ และนี่คือวิธีใช้ FaceTime เพื่อโทรวิดีโอแบบกลุ่มบน iOS หรือ MacOS

วิธี FaceTime แบบกลุ่มบน  iPhone 

   หากคุณยังไม่รู้ว่า FaceTime แบบกลุ่มทำยังไง ก่อนอื่นคุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า iPhone หรือ iPad ของคุณเปิด FaceTime แล้ว โดยคุณสามารถตรวจสอบได้โดยการไปที่ Settings แล้ว FaceTime และสลับเปลี่ยนการตั้งค่าไปที่ On จากนั้นคุณสามารถเลือกได้ว่าจะติดต่อด้วยที่อยู่อีเมล Apple ID หรือหมายเลขโทรศัพท์ โดยสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. คุณจะต้องมีผู้ติดต่อเพื่อพูดคุยด้วยจากแอปรายชื่อ 
  2. หาคนที่คุณต้องการที่จะโทรหา จากหน้าติดต่อของพวกเขาที่มีทั้งแบบวิดีโอหรือเสียงเมื่อกดปุ่ม FaceTime 
  3. เมื่ออยู่ในโหมดการโทรคุณสามารถเพิ่มบุคคลอื่นได้โดยปัดขึ้นบนหน้าจอแล้วเลือกรายชื่อหรือป้อนรายละเอียดของบุคคลที่คุณต้องการเพิ่ม

การเริ่มการโทร เฟสไทม์ แบบกลุ่มนั้นสามารถทำได้จากแอป FaceTime ด้วยเช่นกัน โดยมีขั้นตอนต่อไปนี้

  1. เปิดแอปแล้วแตะปุ่มบวกที่มุมบนขวาและสามารถค้นหาผู้ติดต่อจากที่นั่นได้ 
  2. เมื่อคุณเลือกผู้ติดต่อได้เล้วคุณจะเห็นตัวเลือกในการเริ่มการโทรแบบ FaceTime ไม่ว่าจะด้วยเสียงเท่านั้นหรือแบบวิดีโอ
  3. จากนั้นกดปุ่มบวกต่อไปหรือพิมพ์หมายเลขโทรศัพท์หรือรายชื่อที่มีอยู่ในแอปรายชื่อเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มคนให้มากที่สุดเท่าที่คุณต้องการด้วยแถบค้นหาหรือปุ่มบวกจากนั้นเริ่มการโทร 

   อีกวิธีหนึ่งหากคุณมีแชทเป็นกลุ่มในแอพ Messages กับผู้ใช้ iPhone / iPad / Mac ทั้งหมดคุณสามารถกดไอคอนกลุ่มที่ด้านบนของหน้าจอแชทเพื่อแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม คุณจะพบปุ่มสำหรับ FaceTime ที่นั่นได้

วิธีใช้งาน FaceTime แบบกลุ่มบน MacOS

   สิ่งที่สำคัญในการโทร FaceTime แบบเสียงและแบบวิดีโอบน Mac (ต้องใช้ OS X 10.9 ขึ้นไป) คุณต้องทำตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ก่อน : 

  • Mac เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่
  • คุณต้องลงชื่อเข้า FaceTime ด้วย Apple IDของคุณก่อน
  • หากคุณไม่มี Apple ID ให้ไปที่เว็บไซต์บัญชี Apple ID เพื่อลงทะเบียนใช้งานฟรี ไม่เสียเงินค่ะ
  • คุณต้องมีไมโครโฟนในตัวเครื่องหรือที่เชื่อมต่อไว้ สำหรับการโทร FaceTime แบบวิดีโอ และคุณยังต้องมีกล้องในตัวเครื่องหรือที่เชื่อมต่อไว้ด้วยเช่นกัน

และนี่คือวิธีใช้งาน FaceTime แบบกลุ่มหากคุณใช้อุปกรณ์ MacOS ซึ่งขั้นตอนนี้จะแตกต่างกันจาก iOS เล็กน้อย ดังต่อไปนี้

  1. ขั้นแรกเปิดแอพ FaceTime ถ้าหาไม่เจอให้กด Command + Space แล้วพิมพ์ FaceTime แล้วเลือกจากผลลัพธ์
  2. เมื่อเปิดแล้วให้ป้อนที่อยู่อีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลที่คุณต้องการคุยด้วยหรือพิมพ์ชื่อของบุคคลนั้นหากมีชื่ออยู่ในรายชื่อติดต่อของคุณ 
  3. จากนั้นเมื่อคุณมีเลือกผู้ติดต่อทุกคนที่คุณต้องการแล้ว ให้เลือกเริ่มต้นการโทรโดยคลิกที่ปุ่มเสียงหรือวิดีโอ หากคุณเคยโทรแบบ FaceTime กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอยู่แล้วคุณสามารถแตะกลุ่มนั้นในประวัติการโทร จากนั้นเลือกไอคอน FaceTime 

   อีกวิธีคือคุณยังสามารถใช้คำสั่งเสียงผ่าน Siri ได้โดยพูดว่า “FaceTime” หรือ “FaceTime Audio” แล้วตามด้วยชื่อคนที่คุณต้องการคุยด้วย หรือหากคุณต้องการดำเนินการผ่าน iMessages ให้เลือกกลุ่มที่คุณต้องการติดต่อจากนั้นแตะรายละเอียด แล้วเลือกตัวเลือก FaceTime แบบวิดีโอหรือเสียง

Categories
สอนใช้

เผยเคล็ดลับป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณจากแฮกเกอร์ในอินเตอร์เน็ต

เผยเคล็ดลับป้องกันข้อมูลส่วนตัว

สำหรับหลายคนสมาร์ทโฟนคือแหล่งเก็บข้อมูลส่วนตัวที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เราใช้มันเพื่อจุดประสงค์ต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร เลื่อนดูโซเชียลมีเดีย เล่นเกม จัดการเงิน สืบค้นหาข้อมูลและการซื้อของออนไลน์ ซึ่งโทรศัพท์ก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนจำนวนมากและสามารถแฮกได้ง่าย หากคุณไม่ระมัดระวัง แต่วันนี้โชคดีที่เรามีที่ทำให้คุณสามารถเคล็ดลับป้องกันข้อมูลส่วนตัวที่อยู่ในสมาร์ทโฟนของคุณจากแฮกเกอร์ รวมถึงข้อเสนอแนะในกรณีที่มีการละเมิดข้อมูลส่วนตัวของคุณมาฝาก จะมีเคล็ดลับอะไรบ้างตามเรามาดูกันเลยค่ะ

เคล็ดลับสำคัญในการป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณจากแฮกเกอร์

  1. เลือกดาวน์โหลดแอปอย่างรอบคอบและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

Charles Edge ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและนักพัฒนาซอฟต์แวร์แนะนำให้เรียกใช้เฉพาะแอปที่มีให้บริการจาก Google Play Store หรือ Apple App Store หรือแหล่งอื่นที่เชื่อถือได้อย่างแท้จริงเท่านั้น เพราะแอปเหล่านี้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดโดยร้านค้าและยังได้รับการสแกนหามัลแวร์ เมื่อคุณดาวน์โหลดแอปแล้วให้จำกัดการเข้าถึงข้อมูลอื่น ๆ บนอุปกรณ์ของคุณซึ่งรวมถึงตำแหน่งผู้ติดต่อและรูปภาพของคุณ แอปอาจร้องขอการเข้าถึงบริการอื่น ๆ แบบจำกัดหรือถาวรหลายครั้งและการเข้าถึงนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของคุณหากแอปนั้นถูกบุกรุก  

อย่าลืมปิด AirDrop และ Bluetooth เมื่อคุณอยู่ในที่สาธารณะอย่างน้อยก็เมื่อคุณไม่ได้ใช้งาน เพราะอาจทำให้อุปกรณ์ของคุณเสี่ยงต่อการโจมตีที่เป็นอันตรายแม้จะอยู่ห่างไกล และหนึ่งในขั้นตอนที่ง่ายที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนตัวในโทรศัพท์ของคุณจากแฮกเกอร์คือการเปิดการอัปเดตอัตโนมัติสำหรับทั้งแอปและระบบปฏิบัติการของคุณ 

    2.เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นด้วยเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN)

เครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) สามารถเพิ่มความเป็นส่วนตัวอีกชั้นสำหรับข้อมูลของคุณโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะ โดยพื้นฐานแล้ว VPN จะทำให้ข้อมูลของคุณไม่สามารถอ่านได้โดยใครก็ตามที่ดักฟังข้อมูลบนเครือข่าย Wi-Fi แบบเปิด อีกตัวเลือกหนึ่งคือการดาวน์โหลดการรักษาความปลอดภัยมือถือหรือแอปป้องกันไวรัส แอปเหล่านี้ตรวจจับมัลแวร์ป้องกันการโจรกรรมและอาจเสนอการสำรองข้อมูลการติดตามอุปกรณ์หรือ VPN ของตัวเอง 

    3.อย่าให้หมายเลขโทรศัพท์ของคุณกับคนอื่น

อีกหนึ่งวิธีป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลง่ายๆ คือคุณควรหยุดแจกหมายเลขโทรศัพท์ของคุณเว้นแต่ว่ามันจำเป็นจริงๆ หมายเลขโทรศัพท์อาจดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่มักใช้เป็นรูปแบบของ ID และโดยปกติจะส่งรหัสเข้ามือถือ ซึ่งแฮกเกอร์สามารถใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณได้ 

    4.อย่าดาวน์โหลดไฟล์หรือแอปแบบสุ่ม

อย่าดาวน์โหลดสิ่งที่ส่งเข้าโทรศัพท์ของคุณทาง SMS หรืออีเมลโดยไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างรอบคอบโดยเด็ดขาดแม้ว่าข้อความนั้นจะมาจากคนที่คุณรู้จักก็ตาม และหากไม่ทราบผู้ติดต่อหรือหากข้อความต้องการให้คุณดำเนินการอย่างเร่งด่วนอย่าตอบหรือคลิกลิงก์ใด ๆทั้งสิ้น 

    5.อย่าใช้ Wi-Fi สาธารณะ

สุดท้ายนี้พยายามหลีกเลี่ยงการใช้เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะ ซึ่งเป็นจุดสำคัญสำหรับแฮกเกอร์ในการเข้าถึงข้อมูลในมือถือของคุณ หรือถ้าหากจำเป็นต้องให้จริงๆ เช่น เมื่อเดินทางไปต่างประเทศควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเปิดใช้งาน VPN ของคุณแล้ว

ข้อบ่งชี้ที่บอกว่าโทรศัพท์ของคุณถูกบุกรุก ได้แก่ ความร้อนสูงเกินไปและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ลดลง หากต้องการดูว่ามีแอปใดใช้พลังงานบนอุปกรณ์ Android ของคุณในปริมาณที่ผิดปกติ ให้ไปที่การตั้งค่า> แบตเตอรี่> เพิ่มเติม> การใช้แบตเตอรี่ และใน iOS ให้ไปที่การตั้งค่า> แบตเตอรี่

ข้อเสนอแนะในกรณีที่มีการละเมิดข้อมูลส่วนตัวของคุณ

  • หากคุณได้รับอีเมลแจ้งว่าบัญชีของคุณอยู่ในความเสี่ยงและคุณจะต้องเข้าใช้อย่างเร่งด่วน  คุณจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นอีก หรือตรวจสอบช่องดิจิตอล เช่นเว็บไซต์ทางการหรือข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การละเมิดข้อมูลจะต้องสื่อสารสิ่งที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน ต้องให้คำแนะนำที่จำเป็นเพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบรู้ว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร 
  • หากคุณป้องกันข้อมูลส่วนตัวแล้ว แต่ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณยังถูกเปิดเผย เช่น บางครั้งร้านค้าออนไลน์ที่คุณเลือกรายงานว่ามีการละเมิดโครงสร้างพื้นฐานและทำให้ฐานข้อมูลลูกค้าทั้งหมดรั่วไหลออกมา โดยฐานข้อมูลนี้ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวสูงเช่นหมายเลขบัตรเครดิต คุณควรโทรไปที่ธนาคารหรือ บริษัท ผู้ออกบัตรเครดิตเพื่อดำเนินการบล็อกทันที

โปรโมชั่นเว็บทำเงินดี ๆ ปี 2021

Categories
สอนใช้

วิธีวัดระดับออกซิเจนในเลือดด้วย Apple Watch Series 6

วิธีวัดระดับออกซิเจนในเลือดด้วย Apple Watch Series 6
วิธีวัดระดับออกซิเจนในเลือดด้วย Apple Watch Series 6

วิธีวัดระดับออกซิเจนในเลือดด้วย Apple Watch Series 6

Apple Watch ผลิตภัณฑ์จาก Apple ได้ออกเวอร์ชั่นใหม่คือ Apple Watch Series 6 ที่สามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือดได้ด้วยเครื่องวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในตัว เทคโนโลยีนี้สามารถบอกได้ว่าคุณได้รับออกซิเจนเพียงพอไปยังสมองและอวัยวะสำคัญอื่น ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซ็นเซอร์จะวัดเปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เซลล์เม็ดเลือดแดงส่งจากปอดไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ Apple Watch Series 6 ยังสามารถอ่านค่าในขณะนอนหลับเพื่อติดตามปัญหาอื่น ๆ เช่นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

การทำงานของ Apple Watch Series 6

Apple Watch Series 6 มีเซ็นเซอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือดที่ประกอบด้วยกลุ่ม LED สี่กลุ่มและ Photo Diode สี่ตัวที่รวมอยู่ที่ด้านหลังของตัวเรือนนาฬิกา ไฟ LED สีเขียวสีแดงและอินฟราเรดจะส่องแสงไปที่เส้นเลือดที่ข้อมือ ในขณะที่ Photo Diode จะประเมินปริมาณแสงที่สะท้อนกลับมา จากนั้นเทคโนโลยีนี้จะตรวจจับสีของเลือดของคุณเพื่อแสดงเป็นสัญญาณว่ามีออกซิเจนอยู่มากเพียงใด

วิธีใช้เปิดการตั้งค่าเซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด ให้เปิดแอป Watch บน iPhone แล้วแตะการตั้งค่าสำหรับออกซิเจนในเลือด เปิดสวิตช์สำหรับการวัดออกซิเจนในเลือด จากนั้นก็สามารถควบคุมได้ว่าจะให้เซ็นเซอร์อ่านค่าเมื่อใด โดยทั่วไประดับออกซิเจนในเลือด “ปกติ” หรือปลอดภัยควรอยู่ระหว่าง 95% ถึง 100% หากการอ่านที่สม่ำเสมอน้อยกว่า 90% ถือว่าต่ำและเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสภาวะความผิดปกติ

เนื่องจากการวัดค่าออกซิเจนในเลือดใช้แสงสีแดงสดส่องกระทบข้อมืออาจต้องปิดคุณสมบัตินี้ในบางสถานการณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนคุณหรือคนอื่น ๆ เมื่อนอนหลับหรือในห้องมืด คุณยังสามารถควบคุมการตั้งค่าได้โดยตรงจาก Apple Watch Series 6 สามารถเปิด/ปิดเซ็นเซอร์และเปิด/ปิดใช้งานในโหมดสลีปและในโหมดโรงภาพยนตร์

Apple Watch Series 6 สามารถดูประวัติและข้อมูลย้อนหลังได้

Apple Watch Series 6 สามารถตรวจสอบประวัติการอ่านหลังจากที่วัดระดับออกซิเจนในเลือดสองถึงสามครั้งได้ ด้วยการเปิดแอป Health บน iPhone แล้วแตะไอคอนที่ด้านล่างเพื่อเรียกดู จากนั้นแตะการตั้งค่าสำหรับระบบทางเดินหายใจหรือสำหรับ Vitals แตะส่วนของออกซิเจนในเลือด

โดยจะแสดงแผนภูมิการอ่านสำหรับวันสัปดาห์เดือนหรือปีปัจจุบัน แตะส่วนหัวต่างๆที่ด้านบนเพื่อดูการวัดสำหรับแต่ละช่วงเวลา ที่หน้าจอความอิ่มตัวของออกซิเจนให้แตะตัวเลือกทั้งสี่ที่ด้านล่างเพื่อดูค่าล่าสุดของช่วงการอ่านค่าเฉลี่ยรายเดือนและสภาพแวดล้อมที่มีระดับความสูงสุด เมื่อเสร็จแล้วให้แตะเสร็จสิ้น

แตะเพิ่มในรายการโปรด เพื่อเข้าถึงการอ่านค่าออกซิเจนในเลือดได้ง่ายขึ้น จากหน้าจอสรุปของแอป Health แตะแสดงข้อมูลทั้งหมดเพื่อดูการอ่านค่าล่าสุดทั้งหมดในรายการ จากนั้นสามารถแตะการอ่านที่ต้องการเพื่อดูข้อมูลโดยละเอียดได้

Categories
สอนใช้

วิธีเพิ่มไอคอนวิดเจ็ตไปยังหน้าจอโฮม iPhone ใน iOS 14

วิธีเพิ่มไอคอนวิดเจ็ตไปยังหน้าจอโฮม iPhone ใน iOS 14

ผู้ใช้ iPhone ต่างชื่นชอบความสามารถในการสร้างไอคอนใน iOS 14 ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำวิธีปรับแต่งหน้าจอหลักของสมาร์ทโฟนของคุณและผสมผสานกับวิดเจ็ตของ iOS 14 ที่ทุกคนต่างรอคอยมานาน ในที่สุดเราก็จะสามารถสร้างสรรค์หน้าจอหลักของ iPhone ได้แล้ว

เป็นเวลานานกว่า 13 ปีที่หน้าจอหลักของ iPhone มีไอคอนแอปสี่เหลี่ยมโค้งมนเป็นแถว ๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้ Apple สามารถนำหน้าจาก Android ด้วยการอัปเกรด iOS ระบบปฏิบัติการมือถือที่เราสามารถกำหนดรูปร่างและขนาดต่างๆได้ทุกที่ที่ต้องการ ผู้คนต่างพากันมองหาแอปและวิดเจ็ตแบบกำหนดเอง ซึ่งสามารถหาไอเดียการตกแต่งได้จากแฮชแท็ก #ios14homescreen บน Twitter เช่น ตัวอย่างที่มีผู้ใช้รายหนึ่งใช้ MS Paint เพื่อสร้างไอคอนที่มือสมัครเล่นสามารถทำได้

ไอคอนที่คุณสามารถกำหนดเองได้สำหรับ iPhone ของคุณ

คุณสามารถกำหนดไอคอนเองใน iOS 14 ด้วยการเปิดแอปทางลัดบน iPhone ของคุณ แล้วทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. แตะเครื่องหมายบวก (+) ที่มุมขวาบนของหน้าจอ ซึ่งจะนำคุณไปยังหน้าทางลัดใหม่
  2. เลือก ‘เพิ่มการทำงาน’ จากนั้นแตะที่ไอคอน ‘การเขียนสคริปต์’
  3. แตะที่ ‘เปิดแอป’ จากนั้นเลือกไอคอนเมนูสามจุด ที่ด้านขวาบนเพื่อแสดงรายละเอียด
  4. เลือก ‘เพิ่มใปที่หน้าจอโฮม’ ระบุชื่อทางลัดใหม่ของคุณ
  5. แตะไอคอนที่อยู่ติดกับชื่อทางลัดของคุณ จะหน้าต่างป๊อปอัปที่ปรากฏขึ้นให้เลือกไฟล์ภาพถ่ายหรือถ่ายภาพ คุณสามารถครอบตัดรูปภาพเพื่อปรับแต่งสิ่งที่จะแสดงได้
  6. ให้คุณเลือกไฟล์ภาพถ่ายจากม้วนฟิล์มของคุณหรือถ่ายภาพด้วยกล้องของ iPhone เพื่อแทนที่ไอคอน
  7. แตะเพิ่ม > เสร็จสิ้น คุณสามารถเห็นไอคอนใหม่ของคุณได้ที่หน้าจอโฮม iPhone

วิดเจ็ตใน iOS 14

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงใน iOS 14 ของ iPhone ในตอนนี้คุณสามารถวางวิดเจ็ตขนาดใหญ่อย่างเช่น นาฬิกา รายงานสภาพอากาศ แผนที่ หรือราคาหุ้นบนหน้าโฮมเพจได้  การเพิ่มวิดเจ็ตในโฮมเพจนั้นง่ายมาก แค่แตะบนหน้าแรกค้างไว้จากนั้นแตะปุ่มเครื่องหมายบวก (+) ที่ด้านซ้ายบน เลือกวิดเจ็ตที่คุณต้องการ จากนั้นคุณสามารถเลื่อนดูขนาดและตัวเลือกการออกแบบ  ที่นักพัฒนาแอปเสนอให้โดยเลื่อนไปทางขวา

ตัวเลือกส่วนใหญ่ตอนนี้ของ iPhone จะเป็นบริการของ Apple แม้ว่านักพัฒนาจะอัปเดตแอปของพวกเขา แต่ผู้ใช้งานก็ควรจะได้รับบริการที่มากขึ้น และในอีกไม่นานนี้ Google ก็ได้อัปเดตวิดเจ็ตเป็นรูปแบบใหม่เช่นเดียวกับ DuckDuckGo และ Night Sky

Categories
สอนใช้

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy S20 Plus และ Galaxy S20 Ultra

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy S20 Plus และ Galaxy S20 Ultra
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy S20 Plus และ Galaxy S20 Ultra

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy S20 Plus และ Galaxy S20 Ultra

เมื่อไม่นานมานี้ Samsung ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ นั่นก็คือ สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S20 ซีรีส์ที่มีเซลล์แบตเตอรี่ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ Galaxy S20 Ultra ที่มีหน่วยแบตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในอุปกรณ์ที่ผลิตโดย Samsung อย่างไรก็ตามการนำเอาพาเนล QHD + AMOLED 120Hz ขนาดมหึมาใช้ อาจทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานขึ้น แต่ถ้าหากคุณไม่ได้ใช้อุปกรณ์ที่มาตรฐาน ก็อาจจะทำให้อายุของแบตเตอรี่นั่นเสื่อมสภาพได้ และในวันนี้เราขอนำเสนอเคล็ดลับและเทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้งานแบตเตอรี่ได้นานที่สุดใน Samsung Galaxy S20 Plus และ Galaxy S20 Ultra

เคล็ดลับและเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของโทรศัพท์

เคล็ดลับและเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เราจะนำเสนอในวันนี้ เป็นข้อปฏิบัติที่ง่ายและเป็นเทคนิคที่จะทำให้สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ของคุณอย่าง Samsung Galaxy มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานมาขึ้น และยังสามารถนำเคล็ดลับและเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กับสมาร์ทโฟนจากผู้ผลิตรายอื่น นอกจาก Samsung ได้เพื่อปรับปรุงอายุการใช้งาน

ปิดใช้งานอัตราการรีเฟรช Power Hungry 120Hz

อัตราการรีเฟรช 120Hz ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่ได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สตรีมวิดีโอก็ตาม และเราสามารถลดอัตราการรีเฟรชเป็น 60Hz โดยการไปที่การตั้งค่า> การแสดงผล> ความราบรื่นของการเคลื่อนไหว> เปิดใช้งานอัตราการรีเฟรชมาตรฐาน

เปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงาน

Samsung Galaxy มีโหมด ‘ประหยัดพลังงาน‘ ให้เราสามารถเลือกใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นโหมด ‘ประหยัดพลังงานปานกลาง’ เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่โดยบังคับให้อุปกรณ์ จำกัด ฟังก์ชันบางอย่าง โหมดนี้จะปิด “Always On Display” และ จำกัด ความเร็วของ CPU ไว้ที่ 70% นอกจากนี้ยังลดความสว่างของจอแสดงผลเป็น 10% และตั้งค่าความละเอียดหน้าจอเป็น 1080p ที่สำคัญเราสามารถปรับแต่งองค์ประกอบเหล่านี้ทั้งหมดได้ในขณะที่เปิดใช้งานโหมด อีกทั้งหากเราต้องการประหยัดพลังงานมากขึ้นเราสามารถเลือกเปิดใช้งาน ‘โหมดประหยัดพลังงานสูงสุด’ โหมดนี้จะบล็อกแอปไม่ให้ใช้ข้อมูลและ GPS

ปิดใช้งาน Always On Display เปิดใช้งานโหมด Dar และ Tweak Screen Timeout

เราสามารถปิดการใช้งาน ‘Always On Display’ เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยการไปที่การตั้งค่า> หน้าจอล็อก> ปิดใช้งาน Always On Display นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกที่จะเปิด ‘การปรับเปลี่ยนความสว่าง’ เป็นการใช้งานโหมด ‘เข้ม’ หมดเวลาและการตั้งค่าหน้าจอถึง 30 วินาทีเพื่อประหยัดแบตเตอรี่บนอุปกรณ์ของ Samsung

ติดตามแอป Power Hungry

เราสามารถตรวจสอบการใช้พลังงานแบตเตอรี่ของแอปพลิเคชันที่ติดตั้ง โดยไปที่การตั้งค่า> การดูแลอุปกรณ์> แบตเตอรี่> การจัดการพลังงานของแอปและเปิดใช้งานโหมดแบตเตอรี่แบบปรับอัตโนมัติ นอกจากนี้ให้เปิดใช้งาน “ทำให้แอปที่ไม่ได้ใช้เข้าสู่โหมดสลีป” เพื่อให้โทรศัพท์ปิดใช้งานแอปที่ไม่ได้ใช้งานมาแล้วระยะหนึ่ง

ใช้อุปกรณ์ชาร์จที่ได้มาตรฐานและหลีกเลี่ยงการปล่อยเซลล์แบตเตอรี่จนหมด

เราขอแนะนำให้ใช้สายชาร์จที่ให้มากับตัวเครื่องที่ซื้อเสมอ เพราะอุปกรณ์ชาร์จของแท้มีค่าแอมแปร์ที่เหมาะสมซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ถึงกระบวนการชาร์จที่ปลอดภัยเพื่อช่วยให้โทรศัพท์มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนาน สิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดจนเหลือศูนย์เด็ดขาด เมื่อแบตเตอรี่ลดเหลือ 10% ควรเสียบอุปกรณ์ชาร์จทันที

อัปเดตแอปปิดใช้งาน Bluetooth / Wifi และติดตามดูเครือข่ายของโทรศัพท์

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแอปอัปเดตใหม่แล้วหรือไม่ เนื่องจากแอปพลิเคชันเวอร์ชันเก่าอาจส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ของโทรศัพท์หมดเร็ว นอกจากนี้ให้อัปเดตซอฟต์แวร์ของโทรศัพท์ทันทีที่ได้รับการแจ้งเตือนเนื่องจากการอัปเกรดซอฟต์แวร์ใหม่ทำให้แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ต้องปิดการใช้งาน Bluetooth, NFC และ Wi-Fi เมื่อไม่ได้ใช้งานเนื่องจากเครื่องส่งสัญญาณและตรวจสอบสัญญาณใช้พลังงานแบตเตอรี่เป็นจำนวนมากจับตาดูสัญญาณเครือข่ายของโทรศัพท์ จุดรับสัญญาณที่ไม่ดีอาจทำให้โทรศัพท์ของคุณค้นหาบริการเครือข่ายอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่

ผู้สนับสนุน: https://hilo-88.com/

Categories
สอนใช้

วิธีใช้ Facebook Messenger Rooms

วิธีใช้ Facebook Messenger Rooms
วิธีใช้ Facebook Messenger Rooms

วิธีใช้ Facebook Messenger Rooms

Facebook ประกาศเปิดตัว Facebook Messenger Rooms ซึ่งเป็นบริการวิดีโอคอลที่สามารถแชทกับคนในโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ถึง 50 คนในเวลาเดียวกัน มีคุณสมบัติมากมายเหมือนแพลตฟอร์มวิดีโอแชททั่วไป ตัวอย่างเช่นคุณสามารถใช้พื้นหลังเสมือนจริงใช้เอฟเฟกต์และฟิลเตอร์กับใบหน้าของคุณแชร์หน้าจอกับคนอื่น ๆ ได้ ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีบัญชี Facebook ที่สำคัญไม่จำกัดเวลาการใช้งาน และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2020 ที่ผ่านมาก็เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

วิธีสร้างห้อง Facebook Messenger Rooms ในแอป Messenger

ในการเข้าร่วม Facebook Messenger Rooms ผู้ใช้สามารถกำหนด Activity ภายในห้องแชทได้ และสามารถเลือกกำหนดว่าสมาชิกในห้องมีใครบ้าง กำหนดรหัสผ่าน รวมถึงกำหนดเวลาเริ่มต้นได้ โดยมีวิธีการใช้ ดังนี้

  • เปิดแอป Facebook Messenger คลิกที่แท็บ “ผู้คน” แล้วแตะที่ตัวเลือก “สร้างห้อง”
  • เมื่อสร้างห้อง Messenger Facebook จะให้เลือกสร้างลิงก์แบบเปิดที่ทุกคนแม้ไม่ใช่สมาชิก Facebook ก็สามารถเข้าถึงได้ หากต้องการ จำกัด การมีส่วนร่วมเฉพาะผู้ใช้ Facebook ก็สามารถเลือกตัวเลือก “เฉพาะคนบน Facebook” จากแท็บ “ใครสามารถเข้าร่วม” ได้
  • เมื่อเลือกสิทธิ์ผู้มีส่วนร่วมแล้วให้แตะที่ปุ่ม “แชร์ลิงก์” และส่งลิงก์ที่สร้างไปยังผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ ทางอีเมล, WhatsApp, Messenger, Slack หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ต้องการ

เมื่อห้องนั้นเปิดคนที่มีลิงก์จะสามารถเห็นชื่อและรูปโปรไฟล์ของผู้สร้างและคนที่อยู่ในห้องนั้น นอกจากนี้ยังอาจรวมถึงคนที่คุณไม่ได้เป็นเพื่อนด้วยบน Facebook ขึ้นอยู่กับว่าคุณแชร์ลิงก์ให้ใครบ้าง

วิธีการสร้างห้อง Facebook Messenger Rooms ผ่านแอป Facebook

ผู้ใช้สามารถเริ่มสร้างห้องและแชร์ห้อง Facebook Messenger Rooms บนแอป Facebook ผ่านหน้า News Feed, Groups หรือ Events ได้ ในส่วนของตัวเลือกวิดีโอแชทจะเหมือนกับ Messenger นอกจากการตั้งค่าบางอย่าง ตัวอย่างเช่นการตั้งค่าการแชร์ลิงก์จะยังคงเหมือนเดิมและสามารถเลือกได้ว่าใครจะเข้าร่วมห้องแชทได้ อีกทั้งสามารถกำหนดเวลาเริ่มต้นวิดีโอแชทผ่านการตั้งค่า“ เวลาเริ่มต้น”ได้ โดยมีวิธีการสร้างห้อง ดังนี้

  • สร้างห้อง Messenger Rooms ผ่านฟีดข่าว
  • เลื่อนไปที่ปุ่มห้องในหน้าแรก แตะที่ “สร้าง” ใต้รูปโปรไฟล์ของคุณ
  • เมื่อสร้างห้องสามารถเพิ่มกิจกรรมของห้อง เลือกว่าใครสามารถเข้าร่วมห้องของคุณและเพิ่มเวลาเริ่มต้นได้ คุณสามารถแก้ไขการตั้งค่าเหล่านี้ได้ในภายหลัง
  • ในการเลือกผู้รับเชิญให้แตะการตั้งค่าสำหรับคนเดียวกัน ตอนนี้แตะข้าง “เพื่อน” เพื่อแบ่งปันกับเพื่อนใน Facebook ทั้งหมดของคุณ คุณยังสามารถเลือกอนุญาตในการแชร์ลิงก์ได้
  • เมื่อคุณเลือกผู้เข้าร่วมทั้งหมดแล้วให้กด “บันทึก”
แนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Facebook Messenger Rooms

Facebook ได้กล่าวว่าจะเริ่มผลักดันฟีเจอร์นี้ออกไปทั่วโลกและน่าจะพร้อมใช้งานสำหรับทุกคนในไม่ช้า คาดว่า Facebook Messenger Rooms จะกลายเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอคอลในการประชุม หรือแม้แต่การเรียนออนไลน์ ซึ่งใช้งานได้หลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นFacebook, Messenger และ Instagram ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของโปรแกรม Zoom เลยก็ว่าได้

Categories
สอนใช้

5 วิธีทำให้ iPhone ของคุณรบกวนน้อยลง

5 วิธีทำให้ iPhone ของคุณรบกวนน้อยลง
5 วิธีทำให้ iPhone ของคุณรบกวนน้อยลง

5 วิธีทำให้ iPhone ของคุณรบกวนน้อยลง

iPhone ต่างก็มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีและสะดวกสบายแก่คุณ แต่ iOS ก็มักมีจะนิสัยแปลก ๆ ที่คุณอาจรู้สึกว่าน่ารำคาญ วันนี้เราขอนำเสนอเคล็ดลับสั้น ๆ นั่นก็คือคำแนะนำ 5 ประการที่จะทำให้ iPhone ของคุณรบกวนน้อยลง

การหยุดรับคำขอ ‘อัปเดต’ iOS ของ iPhone แบบเร่งด่วน

คุณมักเห็นข้อความป็อปอัปของ iPhone ของคุณที่แจ้งเตือนให้อัปเดตระบบปฏิบัติการของคุณหรือไม่? หากต้องการหยุดคุณต้องปิดการอัปเดตอัตโนมัติในการตั้งค่า โดยการไปที่ การตั้งค่า> ทั่วไป> อัปเดตซอฟต์แวร์> อัปเดตอัตโนมัติ = ปิด ต่อจากนั่นคุณจะไม่เห็นการแจ้งเตือนที่น่ารำคาญนี้อีกต่อไป หากมีการอัปเดตใหม่ๆ คุณจะเห็นก็ต่อเมื่อคุณเปิด การตั้งค่า> ทั่วไป> อัปเดตซอฟต์แวร์

การซ่อนข้อความขาเข้า

เมื่อมีคนส่งข้อความถึงคุณผ่าน Apple Messages ข้อความจะปรากฏบนหน้าจอล็อก iPhone ตามค่าเริ่มต้น โดยเป็นส่วนหนึ่งของการแจ้งเตือน คุณสามารถเปลี่ยนแปลงการรับแจ้งเตือนได้ หากต้องการที่จะซ่อนข้อความพวกนั้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบดูข้อความของคุณ ให้ไปที่ การตั้งค่า> การแจ้งเตือน> ข้อความ> แสดงตัวอย่างและเปลี่ยนเป็น “ไม่เลย”

หลังจากนั้นก็จะไม่มีใครสามารถเห็นข้อความที่ส่งถึงคุณได้ จนกว่าโทรศัพท์จะถูกปลดล็อก

ปิดใช้งานหรือปรับแบนเนอร์และป้ายแจ้งเตือน

หากคุณต้องการที่จะปิดใช้งานป้ายแจ้งเตือนและการแจ้งเตือนสำหรับแอปส่วนใหญ่ใน iPhone ของคุณ ไปที่ การตั้งค่า> การแจ้งเตือน> และเลือกแอปที่คุณต้องการปรับเปลี่ยน  โปรดสังเกตว่ามีสามตัวเลือกให้เลือก ได้แก่ หน้าจอล็อกศูนย์หมายถึงข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอล็อกของคุณ (เช่นข้อความขาเข้าแบบเต็มเว้นแต่คุณจะเปลี่ยนการตั้งค่าเริ่มต้น) ศูนย์การแจ้งเตือนคือคุณจะเห็นป้ายการแจ้งเตือนเมื่อคุณลากนิ้วลงจากด้านบนของหน้าจอ และแบนเนอร์คือการแจ้งเตือนแบบป็อปอัปที่คุณเห็นขณะใช้โทรศัพท์

ปิดการใช้งาน Live Photos

คุณเคยถ่ายรูปหรือรับภาพที่เป็นวิดีโอสั้น ๆ หรือไม่? เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาApple ได้เปิดตัว Live Photos ของ iPhone ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้คุณสามารถจับภาพการเคลื่อนไหวและเสียงได้อย่างรวดเร็ว หากคุณไม่อยากที่จะใช้บริการนี้ให้ไปที่ การตั้งค่า> กล้อง> รักษาการตั้งค่า> และปิดใช้งาน Live Photo

หยุด! เจ้าสิริตัวร้าย

หลายคนเข้าใจว่า Siri ที่ติดมากับเครื่อง iPhone นั้นเป็นเครื่องมือผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเข้าถึงความต้องการบางอย่าง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์มากในการทำให้ผู้คนไม่มองโทรศัพท์ขณะขับรถ แต่ในบางครั้ง ก็เป็นเครื่องที่น่ารำคาญสำหรับใครหลายๆคนเช่นกัน ซึ่งถ้าหากต้องการปิดใช้งาน ให้ไปที่ การตั้งค่า> Siri และการค้นหา> และปิดใช้งานตัวเลือกทั้งหมด

จากคำแนะนำ 5 ประการนี่ จะทำให้ iPhone ของคุณรบกวนน้อยลง หวังว่าวิธีที่เราได้หยิบยกมานี้คงจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆคนที่กำลังมองหาวิธีหยุดการรบกวนจากโทรศัพท์ของคุณ ซึ่ง Apple นั่นก็ต่างมีฟีเจอร์ที่ห้ามการรบกวนอยู่หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการคุณจะเลือกใช้งานในรูปแบบไหน

Categories
สอนใช้

3 วิธีรีเซ็ต iPad ของคุณ

3 วิธีรีเซ็ต iPad ของคุณ
3 วิธีรีเซ็ต iPad ของคุณ

คุณมีปัญหาเกี่ยวกับ iPad ของคุณหรือไม่? วันนี้เราจะช่วยทำให้ iPad ของคุณกลับมาใช้งานได้ปกติและรวดเร็ว หลายคนต่างชอบ และคิดว่ามันเป็นฮาร์ดแวร์ที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งของ Apple เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนานในการชาร์จครั้งเดียวตามระยะเวลาที่ Apple รองรับ

แม้ว่าจะมีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ iPad ของคุณทำงานผิดปกติ แต่วันนี้เรามีสามวิธีง่ายๆ ในการทำให้เครื่องกลับมาทำงานได้ตามปกติ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือการรีเซ็ตซึ่งสามารถแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพได้ และการรีสตาร์ทแบบบังคับ และตัวเลือกสุดท้ายคือการรีเซ็ตเป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงานซึ่งจะลบทุกอย่างออกจาก iPad ของคุณ

ก่อนที่คุณจะทำตามขั้นตอนเหล่านี้ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลในเครื่องของคุณ ทำการเก็บสำรองข้อมูลเรียบร้อยแล้ว และนี่คือคำแนะนำในการรีเซ็ต iPad ของคุณ

วิธีรีเซ็ต iPad แบบซอฟต์รีเซ็ต

1. กดปุ่มเปิด / ปิดเครื่องค้างไว้

2. ปัดปุ่ม “เลื่อนเพื่อปิดเครื่อง” ไปทางขวาเมื่อปรากฏบนหน้าจอ

3. หลังจาก iPad ปิดให้กดปุ่มเปิด / ปิด / ล็อคอีกครั้งจนกว่าโลโก้ Apple จะปรากฏขึ้น

วิธีรีเซ็ต iPad แบบบังคับให้รีสตาร์ท

          วิธีรีเซ็ตมีสองวิธีในการบังคับให้รีสตาร์ท iPad ซึ่งจะต้องทำหากเครื่องไม่ทำงาน  โดยส่วนใหญ่ iPad จะมีปุ่มโฮมที่ด้านล่างของหน้าจอ

วิธีแรก : กดปุ่มเปิด / ปิดและปุ่มโฮมค้างไว้พร้อมกันจนกว่า iPad จะปิด ซึ่งควรรีสตาร์ทด้วยตัวเอง เมื่อกดปุ่มเปิด / ปิดค้างไว้อีกครั้งหากไม่เป็นเช่นนั้นให้เลือกทำวิธีที่สอง

วิธีที่สอง : หากรุ่น iPad ของคุณไม่มีปุ่มโฮม (iPad Pro ปี 2018 ไม่มี) คุณจะต้องทำขั้นตอนต่อไปนี้ อย่างรวดเร็วหากวิธีแรกไม่ได้ผล

1. คลิกและปล่อยปุ่มเพิ่มระดับเสียง

2. คลิกและปล่อยปุ่มลดระดับเสียง

3. กดปุ่มล็อค / เปิด / ปิดค้างไว้จนกระทั่งหน้าจอเลื่อนเพื่อปิดเครื่องปรากฏขึ้น

4. เลื่อนเพื่อปิด และรอให้ iPad ของคุณปิด

5. กดปุ่มเปิด / ปิดค้างไว้จนกว่าจะเปิด

วิธีรีเซ็ต iPad แบบคืนค่าจากโรงงาน

          นี่คือวิธีพื้นฐานสำหรับวิธีรีเซ็ต iPad ซึ่งจะลบข้อมูลทั้งหมดของคุณและกู้คืนกลับไปเป็นการตั้งค่าจากโรงงาน ซึ่งวิธีนี้จะทำได้เหมือนกันในทุกเครื่องและเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา

1. เปิดแอปการตั้งค่า

2. ไปที่การตั้งค่าทั่วไป

3. แตะที่รีเซ็ต

4. แตะที่ “ลบเนื้อหาและการตั้งค่าทั้งหมด”

5. เลือกตัวเลือก สำรองหรือลบ

จากนั้นรอให้ iPad ของคุณรีเซ็ต ซึ่งอาจจะใช้เวลานานขึ้นอยู่กลับข้อมูลภายในเครื่องของแต่ละเครื่อง

จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรีเซ็ต iPad ของคุณเบื้องต้น เมื่อตัวเครื่องมีอาการผิดปกติ แต่ถ้าหากได้ทำตามวิธีใดวิธีหนึ่งใน 3 วิธีนี้แล้ว อุปกรณ์ของคุณก็ยังไม่สามารถใช้ทำงานได้ปกติ เราขอแนะนำให้นำตัวเครื่องเข้าศูนย์ซ่อมเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจดูอาการและซ่อมแซมให้กลับมาใช้ได้อย่างปกติ และนี่ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายและเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

HILO-88.COM
HILO-88.COM